Wednesday, April 05, 2006

นักธุรกิจ กู้ชาติ

นี่ คือ Quote ของ อ.ต่อตระกูล ยมนาค ผู้มีชื่อเสียง อดีตนายก ของ วิศวกรรมสถาณแห่งประเทศไทย (ถ้าไม่รู้จักก็ลองหาข้อมูลทาง online นะครับ) ตอนนี้ท่านเป็นหนึ่งใน 300 ของกลุ่มวิศวกรช่วยชาติ ถอดความจากที่ ท่านกล่าวไว้ในการสัมภาษณ์ กับ อาจารย์ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในรายการ “รู้ทันทักษิณ” โดยมีผู้ร่วมบรรยาย คือ คุณปรีดา เตียสุวรรณ ประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย และ คุณไกร ตั้งสง่า อุปนายก วิศวกรรมสถาณแห่งประเทศไทย กรรมการสภาวิศวกร ตอนชุมนุมที่ สยามพารากอน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมา

ลองอ่านกันดู

อ.เจิมศักดิ์ : การมาชุมนุมของพวกเราที่ สยามพารากอนนี้ เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ซึ่งพวกเราก็เห็นว่ากำลังทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ คุณปรีดาเห็นว่าอย่างไร

คุณปรีดา : ธุรกิจเป็นสิ่งที่มีแต่ขยายไปมากขึ้นๆ ทุกๆ ที แล้วเป็นกำลังที่สร้างเงิน สร้างงานให้กับสังคมอย่างมหาศาล เพราะฉะนั้นถ้าพันธมิตรสามารถที่จะ เรียกกลุ่มธุรกิจให้มาร่วมมือร่วมใจกัน ออกไปประท้วงการปฎิบัติงานของคุณทักษิณที่ผ่านมา แล้วขอให้ท่านลาออกไปเสีย ผมคิดว่าจะเป็นพลังที่มหาศาลที่สุด แล้วก็เป็นพลังสุดท้ายที่ยังไม่ได้ออกมาแสดงตัวอย่างเต็มที่

อ.เจิมศักดิ์: แล้วที่คนเขาว่าการชุมนุมนี่ทำให้เศรษฐกิจพังนี้ จริงหรือเปล่าครับ

คุณปรีดา: ความจริงสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้คือ คุณทักษิณถูกจับได้ว่า ขายหุ้นเจ็ดหมื่นสามพันล้าน แล้วยังมีความพยายามที่จะไม่เสียภาษีให้กับพวกเราให้กับสังคมแม้แต่บาทเดียว ตั้งแต่นั้นมา พลังสังคมก็ออกมาขับไล่คุณทักษิณ อย่างมหาศาล จนกระทั่งเศรษฐกิจในระยะหลังก็ถอยลงมา อย่างมากมายอยู่แล้ว ผมทำการสำรวดจู พบว่าปัจจุบันนี้ ธุรกิจได้หายไปประมาณ 15-40% แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด ก็คือขอให้คุณทักษิณลาออกไป เว้นวรรคตัวเองออกไป เราก็จะเดินเข้าไปสู่หุบเหว ทุกทีๆ เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางเลือก เราจะต้องจัดการให้ท่านลาออกไปซะ ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นธุรกิจของพวกเราก็จะแย่กันไปกว่านี้ ถ้าท่านไปแล้วทุกอย่างจะกลับสู่สภาพเดิม หรือดีกว่าเดิม

อ.เจิมศักดิ์: หมายถึงถ้าไม่มาชุมนุมเศรษฐกิจจะพังยิ่งกว่า ?

คุณปรีดา: แน่นอนเลยครับ

อ.เจิมศักดิ์: แล้วคุณไกร คิดอย่างไรเรื่องนี้

คุณไกร: พี่น้องครับ เศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ประเทศไทยเราได้นำมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองนั้น เป็นเพราะภาคเอกชน คุณทักษิณมีส่วนเพียงนิดหน่อย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เศรษฐกิจของเรากำลังใกล้จะแย่ เพราะเรามีผู้นำที่ไร้คุณธรรม และจรรยาบรรณ แล้วก็เป็นที่มาว่า ทำไมนักธุรกิจถึงต้องออกมา

อ.เจิมศักดิ์: อาจารย์ต่อตระกูลละครับ คิดอย่างไรในประเด็นที่เรามาชุมนุมที่นี่ แล้วมีคนเขาบอกว่าการชุมนุมทำให้เศรษฐกิจพังเนี่ยจริงหรือเปล่า

อ. ต่อตระกูล: พี่น้องครับ ผมอยู่แถวนี้ (แยกประทุมวัน) มาตั้งแต่ ม.1 ผมยังไม่เคยเห็นศูนย์การค้าสยามเนี่ย มีคนมากขนาดนี้ ผมว่า สามห้าง (พารากอน, สยามเซ็นเตอร์ และ สยามดิสคเวอรี่) คิดผิดที่ปิดครับ สยามแสควร์เป็นของจุฬา จุฬาเลยเปิดให้พวกเราเข้าไปกินได้ เข้าห้องน้ำได้ เศรษฐกิจไม่เปลี่ยนแปลง ผมเดินไปที่ถนน รถก็ว่างมากเลยครับ นี่เป็นตัวอย่างที่ว่า รถส่วนตัวหายหมด มีแต่รถประจำทาง สี่แยกราชประสงค์ ไม่ติดเลยครับ

อ.เจิมศักดิ์ : แสดงว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ถ้าทุกคนหันมาใช้รถประจำทาง แล้วก็รถขนส่งมวลชน จะทำให้บ้านเมืองของเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในอนาคต เห็นบอกว่าตอนเริ่มต้นนี่ ก็ Happy ดี ไม่ใช่หรือที่มีนักธุรกิจเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะว่ามีวิธีคิดคล้ายๆ กัน เป็นนักบริหารเหมือนๆ กัน คิดยังไงตรงนี้ครับ

คุณปรีดา: คือ เราต้องยอมรับ ว่าคุณทักษิณก็มีข้อดี คือคุณทักษิณทำงานเร็ว การลงทุนจากต่างประเทศ คุณทักษิณกุลีกุจอไปเอามา ทำงานเร็วกว่ารัฐบาลอื่นๆ อันนี้ชัดเจน โครงการโอท๊อป ที่ให้ชาวบ้านนำสินค้ามาขายในตลาดโลก นี่ผมก็เห็นว่าดี แต่ปัญหาคือ จุดดีเหล่านี้มีแค่เล็กๆ แต่จุดไม่ดีมีมากมาย ซึ่งเราจะคุยกันต่อไป

อ.เจิมศักดิ์ : ที่บอกว่ามันมีดีอยู่บ้างนี่ ผลประโยชน์มันไปตกกับใครกันครับ ความดีทั้งหลายแหล่นี่

คุณปรีดา: ที่ดีน้อยๆนี่ อาจจะไปสู่ชาวบ้านบ้าง แต่ได้ที่ไม่ดีมากๆ กับเศรษฐกิจโดยรวมนี่ ผมยกตัวอย่างจากการกระจายของเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ที่ผ่านมานี่ มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ในห้าปีนี้ มันไปดีอยู่ที่ตระกูลหลัก คือ ชินวัตร ดามาพงศ์ และอีก 10 ตระกูล คือมันมีการคำนวน โดยบริษัท Bloomberg ว่าคุณทักษิณและพวก ได้แก่ดามาพงศ์ และวงษ์สวัสดิ์ มีหุ้นที่อยู่ในมือจัดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นการกุมอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

คุณไกร: คุณทักษิณเอาธุรกิจกับการเมืองมาผสมกัน เพราะลืมไปข้อหนึ่ง ในการประกอบวิชาชีพทางธุรกิจ นอกจากคุณจะต้องเก่ง เก่งเรื่องการจัดการการเงิน เก่งเรื่องการบริหารแล้ว สิ่งที่ตามมาคู่กันคือ ต้องมีคุณธรรม ซึ่งทักษิณไม่มี

อ.เจิมศักดิ์ : อาจารย์ต่อตระกูลครับ ผมได้มีแถลงการณ์ของ กลุ่มวิศวกรเพื่อชาติ รวมตัวกันในบรรดาวิศวกรระดับใหญ่ๆ ทั้งนั้น รู้สึกว่าจะมีท่านอาจารย์เกษม จาติกวนิชย์ เป็นประธาน กลุ่มนี้เนี่ย ออกมาทำไม

อ.ต่อตระกูล: วิศวกร ไม่ใช่แค่สามร้อยคนที่ต้องออกมานะครับ แต่วิศวกร เราอยู่กับการใช้เงินของรัฐบาลเป็นแสนล้าน เราถามวิศวกรกี่คน กี่คน ว่าจะหาสักคนได้มั้ย ที่ไม่เคยถูกรีดไถ จะหาสักโครงการไหน ที่ไม่เคยถูกรีดไถ จะหาสักโครงการไหนมั้ย ที่ถูกรีดไถน้อย สักแค่ 5% ไม่มีเลยครับ มีแต่ 20% ถึง25% หรือ ถึง 30% ก็มี วิศวกร แต่ก่อนไม่เคยถูกรีดไถ ก็ถูกรีดไถ แล้วยังไม่ให้วิศวกรได้ทำหน้าที่ ว่าโครงการต่างๆนั้น ควรจะสร้างหรือไม่สร้าง ควรจะซื้อหรือไม่ซื้อ รัฐบาลนี้ มีผู้นำสูงสุดอยู่เพียงคนเดียว คือ (คนตะโกนบอก “ทักษิณ”) เราต้องให้มันออกไป คือว่า เขาใช้วิธีใหม่ครับ แว๊บเดียว คิดได้ แล้วก็บอกว่า เอาไปห้าพันล้าน ไปซื้อCTX มา เอาไปสี่แสนล้าน ไปสร้างรถไฟมา วิศวกรบอกว่า ต้องใช้เวลาสร้าง 20 ปี เขาก็บอกว่า สามปี คุณต้องทำให้ได้ โครงการเหล่านี้แทบจะไม่มีการคิดอะไรเลย ไม่มีการคิดที่ว่า ผลรายได้จะเป็นอย่างไร ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร จะพอเพียงหรือไม่ ลูกหลานเราอีก 20 ปีต้องเป็นหนี้กันไปตลอดชาติ

(มีต่อ)

อ.เจิมศักดิ์ หมายความว่าโครงการต่างๆ เหล่านี้ คุณทักษิณใช้วิธีสั่งการ ไม่ใช่ว่าจะให้วิศวกรผู้มีความรู้ มาศึกษาว่าควรทำหรือไม่ คุ้มทุนหรือไม่ ถ้าจะทำ ทำอย่างไร เสร็จเมื่อไหร่ แต่ทักษิณใช้สมองของตัวเองเท่านั้น ให้เอาแบบนี้ เสร็จในเวลากี่วัน แล้วก็ทำขนาดนี้เลย เสร็จแล้วพวกวิศวกรทั้งหลายก็ต้องไปสร้างใหัมัน fit กับที่นายก ต้องการ แบบนั้นหรือครับ

อ.ต่อตระกูล: ใช่ครับผม เขาคิดว่า แผ่นดินนี้ ไม่ใช่ของเราครับ แผ่นดินนี้ เขาคิดว่าเป็นของ ทักษิณ (คนตะโกนตามว่า “ออกไป”) เราจะไม่เหลือแผ่นดินครับ เพราะเขาจะเอาไปขายหมด

คุณไกร: พี่น้องครับ อาจารย์ต่อตระกูลเราเรื่องที่คุณทักษิณไปทำผิดโผ เดี๋ยวผมขออนุญาติเล่านิดนึงนะครับ ว่าสำนักงานนโยบายขนส่งและจราจร หรือ สนข. เขาได้วางแผนระบบ Mega Project สิบกว่าปีที่แล้ว วางไว้ล่วงหน้า รถไฟแต่ละเส้นที่ออกมา นั่นคือมันสมองของวิศวกรและการวางแผน ผมจะเล่านะครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก่อนการเลือกตั้ง ทักษิณ 2 เรามีรถไฟฟ้า 7 สายด้วยกัน พวกเราก็ไปซื้อบ้านที่บางใหญ่ ซื้อบ้านเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการที่อีก 30 นาที นั่งรถไฟฟ้า จากบางใหญ่มาใจกลางกรุงเทพมหานครได้ เขาสัญญากับพวกท่านนะครับพี่น้องครับ ติดข้างเสาไฟฟ้าว่า รถไฟฟ้าจะผ่านตรงนี้ ผู้พัฒนาที่ดิน เร่งไปพัฒนาประมาณ 600 โครงการ นนทบุรี ปทุมธานี เพียงหวังว่าเศรษฐกิจ หวังว่าประชาชนจะได้มาซื้อบ้านของเขา แต่มันไม่ใช่ พอกุมภา 48 (เดือนที่มีการเลือกตั้ง) ผ่านไป เขาก็ไปตัดเหลือ 5 สาย โดยตัดเส้นบางใหญ่ออก พวกเราก็โวยวาย เขาบอก เขาทำได้ ผมเป็นนายกซะอย่าง ยังไม่พอนะครับ พอถึงวันที่ 4 (ธันวาคม) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านบอกว่า พอเพียง จากห้าสาย พอสิบวันให้หลัง ประกาศเป็นสิบสายทันที นี่คือการโฆษณาชวนเชื่อ เขาก็ไปลากเส้นตามอำเภอใจ โดยไม่คิดว่า ประเทศเรามีงบประมาณ เท่าไหร่ บอกไปว่า 300 กิโลเมตร ถ้าคุณเลือกพรรคไทยรักไทย แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่า เขาโกหก ถ้าจะทำ 300 เมตรต้องใช้เวลาประมาณ 20 ปี Mega Project เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมาก ท่านต้องมีแนวคิดจากวิศวกร ในการวางแผนและนโยบาย มีเรื่องระเบียบการประมูล แต่เขาทำแบบนี้ เมื่อมกราที่ผ่านมา จากกระบวนการที่มีรายละเอียด ตั้งแต่บางซื่อไปบางใหญ่ มีแบบเรียบร้อย พร้อมที่จะสร้าง แต่งบประมาณไม่พอ เลยห้ากิโลก็พอ แต่อีกห้ากิโลมาเพิ่มให้อีก แล้วเดี๋ยวค่อยๆ ทำไป แต่เขาไม่ทำแบบนั้น เขาประกาศตูมทีเดียว 10 โครงการ แล้วเขาบอกว่า สามร้อยกิโลเมตรจะเป็นของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะเมื่อมกราที่ผ่านมาเขาได้ทำการเปิดประมูลแบบ International Bidding หรือการประมูลแบบสากล กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่เรียกว่า รีบรุก ลุกลน แล้วก็เร่งรีบ ทำไมหรือครับ เพราะเขาต้องการจะขาย โครงการนี้ให้เสร็จสิ้น เขามีขบวนการที่เรียกว่า การเปิดประมูลโดยใช้แบบสากลดังกล่าว ใครก็ได้ ยังไงก็ได้ ที่ไหนก็ได้ และเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะอะไรครับ? เขาก็บอกว่าให้ท่านส่งมาเลย จะเป็น Design Build หรือ จะทำไปสร้างไปก็ได้ จะทำแบบร่วมกับรัฐบาลก็ได้ จะทำแบบสัมปทาน BOT ก็ได้ (Build Operated แล้วก็ Transfer) หรือท่านจะทำอะไรก็ได้ หรือท่านจะส่งมา lotแรก มี Backhoe มาแปดคัน จะขอเพิ่มเป็น สิบคัน ก็ได้ ครั้งแรก ส่งวิศวกรมา สิบคน ครั้งที่สองส่งไปอีก 20 คน ก็ได้ พี่น้องต้องดูครับ ท่านจะสร้างบ้าน ท่านจะเป็นคนปลูกบ้าน ท่านมีสิทธิเลือก แล้วคนที่จะไปซื้อคือประเทศไทย โครงการทั้งหมดเป็นของเรา เราเป็นคนจ่ายภาษี เราจะต้องไปจ่ายเงินให้กับของที่เรายังไม่รู้ว่าคืออะไร เจ็บใจมั้ยครับแบบนี้ เขาทำต่อนะครับ คือพยายามจะเร่งทั้งหมดให้จบภายใน 6 ปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งหมดต้องประมาณ 20 ปี ถ้าท่านเป็นรัฐบาลที่ถูกต้อง ท่านทยอยทำ ทำไมครับ สายสีเขียวก็คือสะพานตากสิน เราต่อแค่ สองกิโลเมตรเท่านั้นเอง เพราะเขาขี้อิจฉา เขาอิจฉาว่า ชาวกรุงเทพมหานครจะได้รับความสะดวกสบาย จ่อมันแค่ถนนตากสินเอง ทำไมไม่ต่อถึงบางเสียที ในเมื่อเสานั้นพร้อมแล้ว เขาอิจฉาว่าทำไมคุณไม่ต่อจากอ่อนนุชไปจนจรดบางนา หรือศรีนครินทร์ ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีนโยบายปฎิบัติพลังงาน บอกว่าจะประหยัดพลังงาน แต่ให้พวกเราทนนั่งรถติด ถ้ารัฐบาลมีนโยบายประหยัดพลังงานจริง ท่านต้องรีบเร่งสร้างรถไฟฟ้า เราสนับสนุนแน่ แต่กระบวนการนั้นไม่ถูกต้อง

อ.เจิมศักดิ์ : คุณปรีดา ว่าอย่างไรครับ

คุณปรีดา: พี่น้องเคยได้ยินโครงการ Elite Card มั้ยครับ ที่เอาไปขายให้ชาวต่างชาติหัวละ 1 ล้านบาทน่ะ พังไปเป็นหลายพันล้านนะครับ วิธีการทำงานทำอย่างไรรู้มั้ยครับ คุณทักษิณเรียกผู้ว่าการท่องเที่ยวเข้ามา ผมจะขาย Card อันนี้ให้กับชาวต่างประเทศนี่ล่ะครับ 1 ล้านคน คนละ 1 ล้านบาท เพราะฉะนั้น น่าจะได้เงินทั้งหมด 1 ล้านล้านบาท มาเข้าประเทศไทย เงื่อนไขสำคัญของการที่จะขาย Card ใบนี้ก็คือ ใครที่มาซื้อ Card นี้จะมีสิทธิไปซื้อที่ดินได้ 10 ไร่ เราทุกคนก็รู้ๆ กันอยู่ว่าชาวต่างประเทศ ซื้อที่ดินไม่ได้ คุณทักษิณก็ไปสัญญากับเขาว่าจะให้ซื้อได้ 10 ไร่ ปรากฎว่าเวลาชาวต่างประเทศไปซื้อจริงๆ ขึ้นมา วิ่งเอา Card นี้ไปที่กรมที่ดิน กรมที่ดินบอกว่า ไม่รู้เรื่อง เพราะถึงมีคำประกาศออกมาก็จริง แต่กฎหมายยังไม่ได้เปลี่ยนเลย คิดดูสิครับว่า ทำงานใหญ่ขนาดนี้ รายละเอียดแบบนี้ ยังพลาดได้ เสร็จแล้วในที่สุดชาวต่างประเทศเขาก็ขาดความเชื่อถือ แห่กันเอา Card มาคืน ก็ขาดทุนไปเป็นหลายพันล้านบาท

อ.เจิมศักดิ์ : รู้สึกว่าจะติดหนี้ CNN อยู่ด้วยใช่มั้ย ที่ไปโฆษณาในนั้น
คุณปรีดา: ถูกต้องครับ นี่ละครับฝีมือการทำงานของรัฐบาลทักษิณที่ผ่านมา

อ.เจิมศักดิ์ อ้าวก็เห็นบอกว่าเขาเก่งเรื่องการตลาดไม่ใช่หรือ

คุณปรีดา: ก็คือการตลาดที่โฆษณาตัวเองไงครับ ผลงานยังไม่ทันออก วิ่งไปโฆษณาตัวเองแล้ว

อ.ต่อตระกูลครับ เร็วๆ นี้มันมี Mega Project หลายอันที่ทักษิณไปเชิญชวนคนต่างชาติ บอกว่าให้ช่วยๆ กัน คิดโครงการด้วย แล้วพอเสร็จแล้ว มาแลกเปลี่ยนสินค้าการเกษตรกัน ผมสงสัยว่าตอนทักษิณขึ้นมาเป็นนายกใหม่ๆ ใช้ความเป็นชาตินิยม IMF ไม่ใช่พ่อ ด่าทั้ง IMF ด่ารัฐบาลที่แล้ว ด่าไปร้อยแปด เรื่องต่างชาติ แล้วเขาไปให้คนต่างชาติช่วยทำไม อาจารย์คิดว่ามีคำอธิบายอย่างไรสำหรับเรื่องนี้

อ.ต่อตระกูล: ประเทศไทยหมดตัวครับ คือคำอธิบายง่ายๆ เราไม่มีเงินจะสร้างอะไรแล้ว แต่ดันไปสัญญากันไว้ ว่าจะสร้างให้คนกรุงเทพ กระทรวงการคลังบอกว่าจะหาเงินได้ แต่หาไม่ได้ ก็เลยต้องไปเชิญต่างประเทศมา บอกให้เอาเงินมาลงทุนด้วย ชาวต่างชาติก็บอกว่า ไม่เชื่อประเทศไทยหรอก ใครไม่มีเส้นประเทศไหนก็จะไม่ได้ หลอกเขามาหลายหนแล้ว คราวนี้ก็เลยคิดว่า ถ้ายอมง้อให้ชาวต่างประเทศเขา เขียนข้อเสนออะไรก็ได้ เสนอมา ไม่ต้องมี ข้อกำหนด ในโลกนี้ไม่เคยมีใครทำแบบนี้ครับ ประเทศที่ยากจนแค่ไหน เขาก็ไม่ทำแบบนี้ครับ มีประเทศไทยที่ถอดเสื้อผ้าให้เขาดูหมด เพราะว่าหมดเนื้อหมดตัวแล้ว ไปกราบไหว้ขอให้เขาเข้ามา ประธานาธิบดีฝรั่งเศสมาประเทศไทย แปลกใจมาก ว่าการ์ตูนของหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสเขาบอกว่า ไหนบอกว่าประเทศไทยรักชาติ สมัยที่เข้ามาแถวนี้ ประเทศไทยส่งคนไปรบ สมัยโน้น สงครามอินโดจีน ตายไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มาวันนี้เขาเขียนการ์ตูนเป็นรูปคุณทักษิณ บอกว่าจะซื้อประเทศไทยก็ได้ ขอให้ฝรั่งเศสมา(พยายามหาการ์ตูนที่ว่านี้แล้ว หาไม่เจอครับ ใครหาเจอบอกด้วย) น่าอับอายขายหน้ามาก เรายอมให้คนแบบนี้เป็นตัวแทนของเราได้อย่างไร

คุณปรีดา: ขอต่อนิดหนึ่ง พี่น้อง ไหนๆ ก็พูดเรื่อง Mega Project แล้ว วิธีคิดของทักษิณเนี่ย ไม่เหมือนชาวบ้าน คนไทยทำได้ แต่ไม่ยอม คนไทยทำได้แต่ข้าไม่ให้ เพราะเขาไปคิดจำนวนยอดเงินครับ ระบบชลประทานคือระบบเขื่อน ทุกอย่างมีฝาย การสร้างอ่างเก็บน้ำ เขาคิดว่ามูลค่าอะไรก็ตามที่รวมๆ กันแล้ว พันล้าน นั่นคือ Mega Project แล้วเขาก็ให้ประมูลระบบสากล ก็คือให้ฝรั่งทำ ให้จีนให้ญี่ปุ่นทำ คนไทยเรา เรารู้เรื่องชลประทานดีกว่าใคร แต่เขาไม่ให้เราทำ เขากลับไปให้ต่างชาติทำ อย่างนี้เรียกว่าใช้ได้มั้ยครับ

คุณไกร: เมื่อห้าปีก่อนที่ รัฐบาลทักษิณเข้ามาใหม่ๆ จำได้หรือไม่ว่า คุณทักษิณบอกว่าเราจะพึ่งตัวเอง ทักษิณโนมิกส์ คือการพึ่งกำลังของรากหญ้า พึ่งกำลังของคนของประเทศเรา เราจะสร้างประเทศของเราเอง เราไม่ care ฝรั่ง UNไม่ใช่พอกู จำได้มั้ยครับ เสร็จแล้วเป็นไงครับ AIS ขาย ขายอะไรไปบ้าง ขาย ITV ขายดาวเทียม ให้ Singapore ไปเรียบร้อย นี่คือ ห้าปีให้หลัง

อ.เจิมศักดิ์: ขอถามทั้งสามท่านต่อว่า มีลูกกันหมดแล้วใช่มั้ยครับ (ทุกคนตอบว่ามีหมดแล้ว มีลูกคนละ 1 คน ถึง 2 คน คนละประมาณ 20 กว่าปี) แต่ละท่านมีลูกขนาดนี้ เวลาตัดสินใจในกิจการใหญ่ๆ คุณตัดสินใจเองหรือให้ลูกตัดสินใจ

คุณปรีดา: ลูกผม ผมยังมีปัญหาว่าจะให้มันออกจากบ้านไปเผชิญชีวิต คิดอะไรไม่ค่อยจะเป็นเลย อยากให้มันไปหาประสบการณ์ข้างนอกบ้าง ไม่มีทางหรอกครับ เด็กอายุแค่นี้ มันจะไปตัดสินใจอะไรใหญ่ๆ ได้อย่างไร

อ.เจิมศักดิ์: แล้วอย่างนั้นเชื่อหรือไม่ว่าทักษิณ บอกว่าเขาไม่รู้เรื่องเลย เจ็ดหมื่นสามพันล้าน ลูกๆเขาทำเอง คุณปรีดาเชื่อหรือไม่

คุณปรีดา: ตอนนี้คุณ สุวรรณ วลัยเสถียร ออกมาพูดว่า ลูกๆ ของเขาทำกันเองนี่ ผมหัวเราะกันเกือบตกเก้าอี้แน่ะ (คนดูเฮ ดังมาก)

อ.เจิมศักดิ์: ทำไมถึงหัวเราะละครับ

คุณปรีดา: มันเป็นคำพูดของบุรุษที่ผมนับถือ อย่างน้อยที่สุดคือเคยนับถือ แต่มันเป็นคำพูดที่ไร้เดียงสา และคิดว่าคนไทยมันโง่เหมือนลา

อ.เจิมศักดิ์ : คุณไกรละ เชื่อมั้ยว่า ทักษิณบอกไม่รู้เรื่องเลย ขายเจ็ดหมื่น สามพันล้าน


คุณไกร: หน้าเขาเป็นไงละครับพี่น้อง (คนตะโกนว่าเหลี่ยม) เชื่อได้มั้ยครับ (คนตะโกนว่า ไม่ได้)

อ.เจิมศักดิ์: อาจารย์ต่อตระกูลล่ะ เชื่อหรือเปล่าครับ

อ. ต่อตระกูล: ไม่เชื่อเด็ดขาดครับ

อ.เจิมศักดิ์: ทั้งสามท่านี้ เคยซื้อหุ้นหรือเปล่าครับ

คุณปรีดา และ คุณไกรบอก ว่า เคย แต่อาจารย์ต่อตระกูลบอกว่า ไม่เชื่อแล้ว ตลาดหุ้นไทย

อ.เจิมศักดิ์: ถามว่าเวลาที่เล่นหุ้น รู้สึกอย่างไร

คุณปรีดา: คือประการแรก ต้องดูว่ามันมี ทักษิณ Premium หรือเปล่า นะครับ ถ้ามีทักษิณ Premium นี่ ถ้าเราจับทางได้ ไปตามเขา มีสิทธิได้ คือ พูดง่ายก็คือ ถูกปั่นกันแหลกลาญด้วยกำลังเงิน และอำนาจที่มีอยู่ในมือของคน กลุ่มนี้ อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า 40% ของตลาดหุ้น อยู่ในมือ ของ คุณทักษิณและครอบครัว

อ.เจิมศักดิ์ ตกลงว่าไม่ค่อยจะกล้าเล่นตลาดหุ้นเท่าไหร่

คุณปรีดา: ก็แบบว่าระวังมากนะครับ ซื้อนิดๆ หน่อย

คุณไกร: ผมว่าคุณทักษิณ ทำให้ตลาดหุ้นของเราไม่มีความเป็นกลาง เขาเอารัฐมนตรีกระทรวงการคลังมาดูแลทั้งตลาดเงินและตลาดทุน ใช้ได้หรือไม่ครับ คนเดียว สามารถจะมีสองหัว สามารถจะบอกว่า ข้างในเป็นอย่างไร เพราะว่าเขาดูแลทั้งตลาดทุน และตลาดเงิน (ธนาคาร) เพราะฉะนั้น ความไม่โปร่งใสตรงนี้ พวกเราก็ต้องยอมรับว่าคือ แมงเม่าดีๆ นี่เอง ท่านจะต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้นที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณทั้งหมด

อ.เจิมศักดิ์: ฟังอย่างนี้แล้ว ต่างชาติเขามองทักษิณ แบบว่า ตลาดหุ้นก็ดี เศรษฐกิจของประเทศไทยก็ดี การบริหารธุรกิจและเศรษฐกิจเนี่ย ต่างชาติ เขามองอย่างไร

คุณปรีดา: คือเราไม่ต้องดูอะไรมากนะครับ ตั้งแต่คุณทักษิณเข้ามาบริหารประเทศเนี่ย ความเชื่อถือของต่างชาติที่เขามี สถาบันที่เรียกว่าPERC เนี่ย เขาให้ความเสี่ยงในการลงทุนของประเทศไทย ในเรื่อง คอรัปชั่น ตกลงมาทุกๆ ปี ถ้าผมจำไม่ผิด ปีก่อนเนี่ย เราตกจาก 32 มาเป็น 34 แล้วสำหรับคนที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อนๆ ผมที่ผมทำการค้ากับเขาอยู่เนี่ย เวลาเจอหน้าเขาก็ถามว่า ไอ้เจ็ดหมื่นสามพันล้านที่เขาขายออกไปเนี่ย แล้วพวกคุณไม่ได้สักสลึงนึงเลยเนี่ย คุณไม่อายกับความเป็นคนไทยบ้างหรือ ว่าคุณในฐานะที่เป็นคนไทยเนี่ย ยอมให้บุคคลซึ่งเป็นระดับสูงสุดของประเทศแบบนี้ มาทำกับคุณได้ คุณไม่ละอาย กับความเป็นไทยบ้างหรือ คิดดูสิครับ นี่ล่ะเป็นสิ่งที่ทำให้ ผมเนี่ย ทนไม่ไหว แล้วก็ออกมาเผชิญหน้ากับพวกคุณทักษิณ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม ในเรื่องที่เขาจะมากลั่นแกล้งธุรกิจผม แต่ตอนนี้ สรรพากร ก็มาแล้ว ที่บริษัทผม วันนี้หมายของกรมแรงงานก็เข้ามาแล้ว เขียนมา วันที่ 29 คือวันนี้ มาถึงมือผม 29 กลางวัน สั่งให้ผม ไปรายงานตัวที่กรมแรงงาน พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า จากวันที่ จากวันที่ออก เวลาที่เขียน จากวันที่ผมต้องไปปรากฎตัว ยังไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยครับ อันนี้เป็นหลักปฎิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ ใครสั่งมา

อ.เจิมศักดิ์ : น่าเห็นใจนะครับ

คุณปรีดา: ผมก็เห็นใจนะครับ ผมทราบนะครับ ว่าในกรมแรงงานก็มีข้าราชการที่ดี ทั้งหลายก็มีมากมาย ขอให้พวกเราปรบมือให้ข้าราชการดีๆ หน่อย(คนปรบมือ) แต่ว่าไอ้พวกที่ไม่ดี ซึ่งผมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะมีเท่าไหร่ ที่ผมจะต้องไปเจอเขา แล้วยังไงผมจะกลับมาฟ้องท่าน ไอ้พวกที่ไม่ดีเราเรียกว่าอะไรนะครับ (คนด่ามากมายด้วยคำหลายๆ แบบ)

คุณไกร: พี่น้องถ้ามี internet ลองไปสำรวจโลกดูนะครับ ลองเปิดดู Chicago Tribune, Washington Post, New York Times เขาจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่น้องกำลังประท้วงนายก นายกทักษิณไม่มีจรรยาบรรณ และจริยธรรมในการปกครอง เขาบอกด้วยนะครับ ว่าผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วยังแถมเอาการเมืองมายุ่งกับธุรกิจ แล้วเขาก็บอกต่อไปว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องแล้ว อยุ่ในกระบวนการระบอบประชาธิปไตย ผมขออนุญาติเรียกพี่น้องว่า พวกเราไม่ใช่ม๊อบ แต่พวกเราคือ March เ็ป็นน้องสาวของม๊อบ (การประท้วงแบบ Large Scale ในสหรัฐอเมริกา จะเรียกเป็น March เช่น Million Man March ที่เป็นการประท้วงสิทธิของคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา – ดร.พร) พวกเราสงบสุข ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า Violence หรือความรุนแรง เพราะฉะนั้นปรบมือให้ตัวเองหน่อยครับ เราไม่มีความรุนแรง เรามีความสงบสุข

อ.เจิมศักดิ์: คุณทักษิณเขาบอกตลอดเวลาว่า เขาไ่ม่เคยยุ่งเลย เรื่องหุ้น เื่รื่องธุรกิจ เขาวางมือเรียบร้อยแล้ว เชื่อหรือเปล่าครับอาจารย์

อ.ต่อตระกูล: ไม่เชื่อเด็ดขาดครับ คุณพานทองแท้ แกไม่รู้เรื่องทำธุรกิจอะไรหรอก แกอยู่แถวสยามแสควร์เนี่ยล่ะ ไม่รู้เรื่อง เจ็ดหมื่นล้านของตัวแกหรอก

อ.เจิมศักดิ์: วันก่อนนี่ ได้ฟังหรือเปล่า ผมได้สัมภาษณ์ท่านทูต กษิตม์ ภิรมย์ ท่านบอกว่าสมัยเป็นทูตอยู่ที่ญี่ปุ่น คุณทักษิณกำลังนั่งรถจะไปพบนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาในรถ แล้วก็สั่งซื้อหุ้นที่ประเทศไทย คุณปรีดาวันนั้นได้ฟังหรือเปล่า

คุณปรีดา: ครับ ผมฟังอยู่ แล้วผมก็คิดว่านี่คือใบเสร็จที่แจ้งโทษได้อย่างชัดเจน

คุณไกร: วันนั้นที่เขาบอกกันว่า รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือหุ้นไ่ม่ได้ แต่ดันไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งซื้อหุ้น ของผมนี่มี ยังทีเด็ดกว่า ปีที่แล้วนี่ มาที่บริษัทผม ไม่ใชุ้คุณทักษิณนะ ผู้ลงทุนกลุ่มนึงไปที่บริษัท AIS แล้วผู้ลงทุนกลุ่มนี้ก็ซื้อหุ้นที่บริษัทผมด้วย ก็มีนัดกันว่าจะมาที่บริษัทผม บ่ายสองโมง หลังจากไปเยี่ยมบริษัท AIS แล้ว แต่หลังจากนั้นมีโทรศัพท์มาหาผมว่า ขอยกเลิกมาเยี่ยมบริษัทผม เพราะบอกว่า พอคุณทักษิณรู้ ก็อยากพบผม อยากจะมาอธิบายเรื่องประเทศ เรื่องหุ้นให้คนลงทุนพวกนี้ ทั้งๆ ที่ดำรงตำแหน่งนายกอยู่

อ.เจิมศักดิ์: พี่น้องครับ รัฐธรรมนูญมาตรา 209 เขียนไว้ชัดเจนว่า บุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้น หรือกิจการของบริษัทไม่ได้ เพราะจะมีผลประโยชน์ มีส่วนได้ส่วนเสีย ฟังอย่างนี้แล้ว ท่านทูตกษิตม์ ก็ดี ทั้งคุึณปรีดา เตียสุวรรณ ให้เป็นพยานหลักฐานเบื้องต้นชัดเจน พี่น้องยังคิดว่า นายกทักษิณเป็นรัฐมนตรีของประเทศไทยอยู่อีกหรือเปล่า (คนตะโกนร้องบอกว่าไม่เป็น)

อ.เจิมศักดิ์: คุณปรีดาพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า การที่ทักษิณบริหารธุรกิจ มันทำให้คนประมาณ 10 ตระกูลร่าร่วยขึ้นแต่คนอื่นๆ แย่ลง แต่เขาก็ให้คนจนไม่ใช่หรือ เขาเอาเงิน 7 หมื่นล้านไปให้กองทุนหมู่บ้าน หมู้บ้านละล้าน ธนาคารออมสินเอาไปปล่อย อาจารย์ต่อตระกูลก็เป็นกรรมการอยู่ด้วยนี่ครับ ผลมันเป็นอย่างไร

อ.ต่อตระกูล: ผมเป็นกรรมการนะครับ ตอนที่ทักษิณเจอท่านปลัดกระทรวงการคลัง ก็ประกาศว่าทำไมมันได้ง่ายขนาดนั้น เอามันแบบนี้ละทุบกระปุกออมสินเด็กเลย ได้มา 7 หมื่นล้าน แล้วเขาอนุมัติอย่างไรรู้มั้ยครับ เขาส่ง fax มาให้กรรมการบอร์ดทุกคน ให้เซ้นไปใน fax ว่า ให้รัฐบาลกู้ ผมไม่เคยรู้เลยว่า เงื่อนไขคืออะไรบ้าง เห็นมีแต่รัฐบาลจะจ่ายเฉพาะดอก แต่เงินต้นจะเป็นยังไงไม่มีใครทราบ

อ.เจิมศักดิ์: โอ้โห รัฐบาลชุดนี้นี่เขาใช้วิธีทำงานแบบนี้เองหรือครับ แทนที่จะให้กรรมการออมสินประชุมกัน เพื่อจะได้ถกเถียงกันว่าควรจะให้กู้หรือไม่ กับเงินเจ็ดหมื่นล้านนี่ กลับใช้วิธีส่ง fax ไป ให้เซ็น เออ นี่เขาทำงานกันแบบนี้นะ

อ.ต่อตระกูล: ครับ แล้วผมก็โดนปลด เพราะผมไม่เซ็น (คนปรบมือ)

อ.เจิมศักดิ์: พอไม่เซ็นแล้วผลเป็นยังไงละครับ

อ.ต่อตระกูล: เขาก็เอาตำรวจไปแทนผมครับ

อ.เจิมศักดิ์: ตกลงบ้านเรานี่ใช้ตำรวจปกครองละกันนะครับ เออ คุณปรีดา ตกลงเรื่องกองทุนหมู่บ้านนี่ ที่คุณติดตามอยู่นี่ ผลมันออกมาใช้ได้มั้ยครับ

คุณปรีดา: ผมนี่เป็นคนที่มีอคติกับกองทุนหมู่บ้านมาตั้งแต่แรก ผมก็ดูๆ อยู่ แต่พอผมทราบว่าท่านจะเอาจริง เป็นหมู่บ้านละล้านนี่ ผมตกใจมากๆ ก็เลยพูดไว้เลยว่า นโยบายนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ เพราะจะทำให้คนเสียนิสัย วันๆ ไม่ทำอะไร รอเมื่่อไหร่ จะได้เงินอย่างเดียว ผมได้ทำงานเรื่องนี้มา 4-5 ปีก่อนที่รัฐบาลไทยจะเข้ามา ผมไปช่วยจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ของหมู่บ้าน ทำงานกับ ธกส. ที่จะไปสร้างการออมทรัพย์ในแต่ละหมู่บ้านให้เกิดขึ้นมา โดย ในสิบปีหลังนี้ ธกส. ก็ทำได้ดี ไปสร้างสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ถึง หมื่นกว่าหมู่บ้าน สหกรณ์ออมทรัพย์นี้หมายถึงอะไร ก็หมายถึง ธกส.เดินไปในหมู่บ้าน ก็จะไปหาคนที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้านนั้นๆ มารวมกันสัก 5-6 คน โดยส่วนใหญ่ก็มีผู้ใหญ่บ้านอยู่ด้วย คนเหล่านั่้นก็จะรวบรวมเงินจากชาวบ้าน ไปฝากธกส. พอได้ดอกเบี้ยก็มาแจกคืนให้ชาวบ้าน ในขณะเดียวกันก็จะให้ชาวบ้านมากู้ด้วย โดยมีโครงสร้างคล้ายๆ กันแล้วมันออกมาดี เพราะเป็นคนที่ชาวบ้านเชื่อใจ ก็เหมือนธนาคารย่อยๆ นี่เอง เพราะฉะนั้น ข้อเสนอตอนนั้นที่เราพยายามจะ กราบเรียนรัฐบาลทักษิณไปนั้นว่าไอ้เงินที่จะไปลง 1 ล้านบาทต่อหมู่บ้าน มันควรจะไปลงที่สหกรณ์ออมทรัพย์ มันจึงจะถุกต้อง แล้วก็บอกว่า ถ้าทำแบบนี้แล้ว มันจะเกิดความอิจฉากันขึ้นมาเอง แล้วเขาก็จะไปตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ตาม แล้วพอเขาตั้งเป็นระบบแล้ว จึงเอาเงินไปให้เขา เห็นมั้ยครับ นี่จะเป็นวิธีที่สร้างงานและผลิตผลอย่างแท้จริง แต่ปรากฎว่าเอาเงิน 7 หมื่นล้านไปลงให้ทุกหมู่บ้านเลยเนี่ย มันเลยทำให้เกิดองค์กรที่ มาใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ท้ายที่สุด นิด้า หรือแม้แต่ สถาบันพระปกเกล้า ก็ได้แสดงออกมาชัดเจนว่าเงินที่ออกมานี่ มันไม่ได้ไปสร้างงานอะไรเลย มันมีแต่ไปสร้างหนี้ ที่เกิดมาจากการบริโภค โทรศัพท์มือถือ มอเตอร์ไซค์ ใช้ไป แล้วก็ไม่ได้อะไรคืนมา และมันก็กลายเป็นหนี้ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตร พี่น้องต้องจำไว้ว่า ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรเป็นธนาคารที่ไม่สามารถที่จะถูกตรวจสอบได้ เพราะอะไรทราบมั้ยครับ เพราะสองธนาคารนี้ไม่ได้อยู่ในกระบวนการชอง Bank ชาติ เพราะฉะนั้นนักการเมืองจะทำอะไรกับธนาคารสองธนาคารนี้ก็ทำได้ ธนาคารออมสินที่ฝากเงินของลูกเราเนี่ย เขาทำได้หมด แล้วไม่ต้องรายงานเลย เมื่อเช้านี้หนังสือพิมพ์ลงแล้วว่า รัฐบาลได้ผ่อนการชำระเงินคืินธนาคารออมสิน 5 หมื่นล้านบาท รัฐบาลไม่มีเงินแล้ว แล้วช่วงที่ผ่านมาที่ใช้เงินไปหาเสียง เข้าไปสู่ระบบประชานิยม หาเสียงเข้าตัวโดยไม่สนว่าเงินจะไปอยู่ที่ไหนบ้าง ในที่สุดแล้ว มันก็พิสูจน์ ออกมาว่าเราถังแตกขนาดไหน

อ.เจิมศักดิ์ คุณปรีดาบอกว่ารัฐบาลถังแตกเนี่ย ขอถามที่อยู่ในวงการก่อสร้างดีกว่า คนที่อยู่ในวงการก่อสร้างจะมี sense ที่ดีในเรื่องนี้แน่ๆ คิดว่าไงครับ คุณไกร อาจารย์ต่อตระกูล

คุณไกร: รัฐบาลนี้หมดเงินแล้วนะครับ ถามพี่น้องนิดนึงนะครับ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตั้งแต่รัฐบาลชุดนายกชวน นายกทักษิณทำอะไรให้พวกเราบ้าง มีมั้ยครับ ไม่มีเลยนะครับ เพราะเขากั๊กไว้ ไม่เคยสร้างระบบรถขนส่งมวลชนอะไรเลย ยกเว้นสร้างให้กทม สองกิโลเมตร น่าอายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่มีเงินไงครับ เขาถึงเอา mega project ไปขายให้ต่างชาติ เท่านั้นไม่พอ พี่ไทยได้อะไรครับ เศษก้างปลา เพราะว่า เขาออกแบบจากเมืองนอก ออกแบบจาก ฝรั่งเศส ญี่ปุ่นเสร็จ เราไม่ได้อะไร เขาก็สร้างระบบการตลาด บอกมาว่าจะทำทีเดียวสิบเส้น แล้วเป็นไง ทำไม่ได้ คุณเสนอมาเลย เปลี่ยนเส้นทางได้ เปลี่ยนสถานีได้ เปลี่ยนอะไรก็ได้ โดยที่เราเป็นเจ้าของประเทศแท้ๆ ตอนนี้เงินรัฐบาล เข้าใจว่ารัฐบาลกระทรวงการคลังคงเห็นแล้วนะครับ ประมาณ 4 หมื่นล้าน ถ้าหักส่วนต่างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย ส่วนต่างที่ต้องจ่ายให้ผู้ลงทุน ในฐานะของการกระจายเป็นบริษัทมหาชน รัฐบาลอาจจะเหลือประมาณ 3 หมื่นล้าน พอมั้ยครับ เงินเดือนข้าราชการปีนี้ เพราะฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าจากนี้ไป โครงการของรัฐขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นมาด้วยมือของรัฐบาลชุดนี้

อ.เจิมศักดิ์: ผมมีอีก 2-3 คำถาม อ. ต่อตระกูลช่วยประเมิณให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยว่า การที่จะไล่ทักษิณเนี่ย พี่น้องลงทุนกันมากมาย แต่ละคนเสียงานการ อดนอน เสียค่ารถมา ประเมิณแล้ว เป็นการลงทุนมหาศาลที่จะขับไล่ทักษิณ ถามว่าการลงทุนพวกนี้คุ้มค่ามั้ย

อ.ต่อตระกูล: คุ้มค่า หาค่าไม่ได้ครับ ถ้าให้ทักษิณอยู่ต่อไปอีก 3 ปี เขาจะไม่อยู่สามปี เขาต้องอยู่อีก 20 ปี ถึงตอนนั้นประเทศไทย จะเป็นอาร์เจนตินา และจะไม่มีทางกลับคืนมาได้อีกแล้ว นั่นคือเราจะไม่เหลืออะไรเลย จุฬาก็ต้องเอาไปขาย ไปทำ resort

อ.เจิมศักดิ์: คิดว่าคุ้มค่ามั้ยครับ คุณปรีดา

คุณปรีดา: อาจารย์ครับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราที่ทำให้เราต้องออกมา แสดงพลังกับนักการเมืองที่ฉ้อฉลเนี่ย มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำตลอดไปครับ ผมพนันได้เลยว่าอีก 15-20 ปี จากนี้ไป พี้น้องก็ต้องมารวมตัวเพิ่อ ล้างระบบการเมือง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ครั้งสุดท้ายเราทำเมื่อ พฤษภา 35 ก่อนหน้านั้น ก็ปี 1973 มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ชั่วราย ไม่ได้เป็นสิ่งที่ร้าวราน หรือก้าวร้าวอะไร มันเป็นวิธีที่เราในฐานะประชาชน ต้องมีสิทธิ์มาล้างระบบการเมืองตลอดเวลา

อ.เจิมศักดิ์: ถ้าการลงทุนพวกนี้คุ้ม เราก็ต้องทำต่อไป ทีนี้พอทักษิณเขาไม่ได้เป็นนายกแล้วนี่ นักธุรกิจสามคนนี้คิดว่าเขาจะไปประกอบอาชีพอะไร

คุณไกร: ขออนุญาตินะครับ ที่เดียวที่คุณทักษิณควรจะไปคือ British Virgin Island ครับ (คนปรบมือ) ที่นั่นสะอาด น้ำใส หาดทรายสีขาว สมควรที่นายกจะไปอย่างมาก

อ.ต่อตระกูล: เพื่อนผมมาจากประเทศลาวเมื่อเช้านี้ เขาบอกว่าใ้ห้บอกนายกทักษิณว่า ประเทศลาวก็ไม่เอาเขา เขาบอกว่าเขารู้มานานแล้วว่านายกคนนี้ น่ากลัวมาก ทำไมคนไทยไม่รู้ ถ้าคนไทย 60 ล้านคน ยังปล่อยคนแบบนี้ให้อยู่เป็นนายกได้ ถ้าทักษิณไปอยู่ที่ลาว คนไม่เกิน 10 ล้าน พริบตาเดียว เขาซื้อหมดประเทศได้เลย

อ.เจิมศักดิ์: อ้อ ลาวกลัวเพราะมีคนไม่กี่ล้านคน แล้วสิงคโปร๋ไม่กี่แสนคนเนี่ย ทำไมทักษิณเสียรู้ Singapore ได้ครับ

อ.ต่อตระกูล: พูดไม่ได้ เพราะเห็นบอกว่า ทักษิณเป็นหนี้สิงคโปร์อยู่นานแล้ว หลายสิบปีแล้ว

คุณปรีดา: คุณทักษิณรักใน อดีตนายก ลีกวนยูมาก และก็รักท่านมหาธีย์ มากน่าจะไปทำอะไรแถวๆนั้ไนได้ด้วยเงินของท่าน อีกอย่าง คฤหาสน์ ที่ใหญ่โตเป็นหลายร้อยล้านที่ London ก็น่าจะเป็นที่ๆ ท่านไปเสวยสุขได้อย่างสบาย

อ.เจิมศักดิ์: แล้วถ้าท่านทักษิณเป็นนายกต่อไป นักธุรกิจอย่างพวกท่านจะไปทำอะไร

คุณปรีดา: ผมไปขายเต้าฮวยครับ

อ.เจิมศักดิ์: แล้วคุณไกรล่ะ

คุณไกร: พี่น้องครับ นายกทักษิณมีอำนาจมืดอยู่ในมือ เขาเล่นงานนักธุรกิจคนใดก็ตามที่มาต่อต้านเขา สำหรับในสมาคมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยเราแบ่งนักธุรกิจออกเป็นสามประเภท 1. นักธุรกิจที่ทำให้เขา เอื้อประโยขน์ให้เขา และได้ผลประโยชน์จากเขา เช่นพวกค้าไก่ – ประเภทสอง นี่ เอ็งอย่ามายุ่งกับข้า ข้าขออยู่คนเดียว อย่ามายุ่งกับผม หากินอย่างเดียว – และประเภทที่สาม ก็คือพวกผม แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่กล้ามาขึ้น พวกผมก็ออกมาก่อน พี่น้องครับ เราไปสง่างามบนถนนราชดำเนิน มากกว่าครึ่งมาจากนักธุรกิจที่ไม่ประสงค์จะออกนาม ธุรกิจเขาเดือดร้อน เพราะทุกครั้งที่เขายุ่งเกี่ยวกับการเมือง วันรุ่งขึ้นสรรพากรมาหาเขาทันที

อ.เจิมศักดิ์: แล้วสรรพากรไปฟังเขาำทำไมล่ะ

คุณไกร: เขาเช็คบิลครับ เขาเช็คบิลทุกๆ อย่าง พี่น้องครับ นักธุรกิจเป็นผู้เสียภาษีให้กับประเทศชาติ ทุกๆ วันที่ 7 วันที่ 15 วันที่ 30 วันที่ 7 เราหัก ณ ที่จ่าย วันที่ 15 เราเสีย VAT วันทีี 30 Operate Tax ครึี่่งปี เราต้องนำส่ง สิ้นปี เราต้องนำส่ง สิ้นปี เสียตลอด ทุกๆ อาทิตย์ เราต้องจ้างพนักงานประจำ เขามีกระบวนการข่มขู่ สรรพากรนี่ ถ้าท่านนำ VAT เกิน กว่าที่เราควรจะนำส่ง ท่านอย่าหวังจะได้คืน ไม่งั้นเขาก็จะขอดูบัญชีหน่อย เขาก็จะบังคับให้เราจ่ายเกิน ไม่สามารถที่จะเรียกร้องเอาคืนได้ เขาใช้กรมสรรพากรเป็นอาวุธฆ่านักธุรกิจ ถ้าใครกระด้างกระเดื่อง แสดงตัวเป็นปฎิปักษ์ เขาจะเล่นงานโดยกรมสรรพากร การที่เรามีม๊อบเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีการแถลงข่าว ณ สำนักงา่นแห่งหนึ่ง สำนักงานนั้น หลังจากที่เราแถลงข่าวแล้ว วันรุ่นขึ้น สรรพากรเล่นงานทันที หัวใจของนักธุรกิจ เราต้องการมีกำไร อีกด้านหนึ่ง เราต้องการมีคุณธรรมกับลุกค้า แต่ท่านทักษิณไม่ ท่านทักษิณไม่สนใจ ไม่มีคุณธรรม จะทำซะอย่าง เพราะฉะนั้น จากนี้ไป ผมเองก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น

อ.เจิมศักดิ์: อาจารย์ต่อตระกูลละครับ จะไปทำอะไรดี

อ.ต่อตระกูล: ตอนแรกว่าจะไปขายโรตีครับ แต่ก็มีอุปสรรคเพราะร้าน โรตีบอย ครอบครัวทักษิณก็จะมาซื้อกิจการ ทำอะไรเขาก็จะมายึดไปหมด รุ่นลูกหลานท่านไม่ต้องเรียนหนังสือหรอกครับ เรียนไปก็ไม่มีงานทำ เพราะว่าจะเหมือนกับ ซูฮาร์โต และครอบครัว ในอินโดนีเซีย ที่กิจการทั้งประเทศ อยู่ในมือเขาหมด แล้วคนอื่นไม่ต้องทำ ไม่ต้องเรียนอะไร ไม่ต้องเข้าจุฬา ไม่ต้องเข้าเตรียมอุดม ไม่ต้องเข้าสาธิต อยู่บ้านเฉยๆ แล้วเป็นกรรมกรอย่างเดียว

อ.เจิมศักดิ์: คำถามสุดท้ายสำหรับทุกๆ ท่าน นะครับ อยากจะถามว่า ท่านอยากจะพูดอะไรกับ บรรดานักธุรกิจบ้าง ไหนท่านใดเป็นนักธุรกิจช่วยยกมือหรือชูธงหน่อยครับ (คนเฮ) เออ เยอะเหมือนกันนะครับ

คุณปรีดา: พวกผมสามคนออกมานี่ ถ้าไม่สามารถขจัดระบอบทักษิณได้ คุณต่อตระกูลจะไปขายโรตี ผมก็ไปขายเต้าฮวย แล้วคุณทำอะไรนะ

คุณไกร: ผมอยู่เฉยๆ ล่ะ

คุณปรีดา: พวกเราหมดอนาคตครับ แต่ผมเรียนได้เลยว่า ถ้าพวกเราทั้งหลาย หรือพวกท่านทั้งหลายไม่ออกมา ประเทศนี้จะไม่มีอะไรเหลือให้เราทำอะไรกับมันได้ เสร็จแล้วเราก็ต้องมานั่งเสียใจว่า เรามีโอกาสที่จะทำลายระบอบนี้ แต่เราไม่ได้ทำอะไรกับมัน อันนั้นจะเป็นสิ่งที่จะอยู่ในใจเราอย่างเศร้าหมองไปตลอดชาติ ตอนนี้พวกผมที่นี่มีความสุขที่อย่างน้อยได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ เพราะฉะนั้น พี่น้องนักธุรกิจครับ ถึงเวลาแล้วครับ ก่อนที่ชาติจะล่มสลาย ก่อนที่ชาติเราจะตกไปเป็นแค่ของ สิบตระกูล ก่อนที่ชาติ จะตกไปเป็นของสิงคโปร์ ของฝรั่งมังค่า ของคนอื่นๆ เราต้องรวมพลังทำลายระบบนี้ออกไปให้ได้ และวิธีทำลายก็คือ อย่าให้มีการเลือกตั้งวันที่สอง เพราะถ้าวันที่สองเกิดขึ้น มันจะเละไปกว่านี้อีก เรามีความสามารถที่จะผนึกกำลังกันให้ได้ อย่างวันที่หนึ่ง ผนึกกำลังกันมาให้ได้เป็นล้านๆ ไปที่สนามหลวง แสดงให้เขาเห็นอีกสักครั้ง ว่าอย่าทำอย่างนี้ ระบอบทักษิณต้องไป ปัญหามันอยู่ที่คุณไม่ได้อยู่ที่สภา ไปยุบสภาทำไม มากันสักล้านคน อย่าให้การเลือกตั้งนี้เกิดขึ้น เพราะถ้าเกิด เราจะคาดเดาไม่ได้เลยว่าจะมีอะไรแย่ลงไปอีกหรือไม่ มันจะเกิดการนองเลือดหรือเปล่า มาช่วยกันหน่อยเถอะครับ

อ.เจิมศักดิ์: เห็นด้วยมั้ยครับ (คนดูเฮ) คุณไกร วันที่ สองทำไงดี
คุณไกร: พี่น้องครับ ถ้าวันที่สองต้องมีการเลือกตั้ง เขาไ่ม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เขาพยายามจะสร้างว่า ระบอบประชาธิปไตย ควรจะเป็นแบบนี้ ตามแนวทางที่เขาคิดไว้ เื่มื่อต้นเหตุไม่ใช่ของจริง กรรมการไม่เป็นกลาง ประชาธิปไตยก็เป็นของปลอม ถ้าพี่น้องต้องไปเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ของเรา เราก็ต้องไป แต่พี่น้องต้องกา ไม่เลือกใคร เราจะบอกเขาว่า เราไม่เลือกใคร ทักษิณสอนอะไรเราบ้าง เขาสอนให้เรารักประชาธิปไตย เขาสอนให้เราสอนลูกสอนหลานได้ว่า ประชาธิปไตยมันคืออะไร ทักษิณสอนให้เรารู้ว่า คนเลวไม่จำเป็นต้องได้ดีเสมอไป

อ.ต่อตระกูล: วันที่สองนี่ ต้องทำแบบที่จังหวัดพิจิตรทำครับ พอมาทำ poll ก็บอกเขาไปว่าจะเลือกทักษิณ เขาจะได้ไม่ทุ่มเงินมา หลอก poll ให้มั่นใจว่าเขาชนะ พอเปิดออกมาทั้งประเทศไทย ไม่เอาทักษิณ

อ.เจิมศักดิ์: พี่น้องครับมีคนบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องไปเลือกตั้ง จริงๆ แล้วเราไม่อยากจะเลือก แต่ถ้าเราไม่ไปเลือกตั้ง วันนั้นเขาเตรียมบัตรผีไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจะลงแทนเรา แล้วดันไปเลือกเบอร์สอง เพราะฉะนั้นเราคงต้องไป ถ้าถึงวันนั้น ไม่เลือกผู้ใด ไม่เลือกพรรคใด อันนั้นเป็นสิทธิ อันชอบธรรม พี่น้องเห็นด้วยมั้ยครับ (เฮ) พี่น้องครับ อย่างไรก็ตาม เราต้องทำให้ทักษิณออกไปให้ได้ ถ้าเขายังอยู่เศรษฐกิจจะเสื่อมทรามลงอย่างรวดเร็ว แม้พวกเราจะเหนื่อย แม้พวกเราจะเสียต้นทุนอย่างมหาศาล ถ้ารวมคนเป็นแสน ต้นทุนวันหนึ่งเป็นหลายสิบล้าน หลายร้อยล้าน แต่เราต้องทำต่อไป พี่น้องสู้ใช่มั้ยครับ

ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)

ขอขอบคุณนักธุรกิจกู้ชาติทั้งสามท่านครับ

ปล: ถึงตอนนี้ วันที่ 6 เมษายน ในประเทศไทย ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ นายกทักษิณ พูดแค่ว่า “จะไม่รับตำแหน่ง” เท่านั้น เป็นคำสัญญาอีกอันหนึ่งซึ่ง เราไม่มีทางเชื่อถืออะไรไ้ด้ กับคนไร้สัจจะเช่นนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราต้องสู้ต่อไป รัฐบาลก็ยังตั้งไม่ได้ ยังอีกนานกว่าการต่อสู้อันนี้จะจบลง แต่อย่างน้อบ ความตึงเครียดก็ลดลงไปได้ระดับหนึ่ง

สุดท้ายผมอยากจะขอเสนอ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรเข้าชิงตำแหน่ง ดาราแสดงนำฝ่ายชาย ของ Academy Awards หรือ Oscar ให้กับการแสดง ในค่ำคืนวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา เป็น Acting แห่ง ศตวรรษจริงๆ น้ำตาหลั่งไหลท่วมทำเนียบ โดยผ่านสายตาของคนไทยทั้งชาติ ถ้ารวมนักแสดงรอบๆ ตัวเช่นนายเนวิน (สาขา special effect) และ คุณหญิงอ้อ และพวกลูกๆ อาจจะได้ 11 ตัวเลยก็ได้ ให้ไปเลย ภาพยนต์แห่งปี “Gangs of Bangkok”

The Clash of Sex Tycoons

ตีพิมพ์ใน Thai Nevada Post (ปักษ์ สอง กันยายน 2005)

อาบ อบ นวด แค่ชื่อก็อาจจะทำให้ชายไทยที่อยู่ในอเมริกาหลับตาพริ้มขึ้นมาทันที ไม่ว่าท่านจะเ็ป็นโสด แต่งงาน แล้ว หรือหย่าแล้วก็ตาม เราไม่ได้ภูมิืใจที่คนทั้งโลกมองเราว่าเป็นประเทศแห่งโสเภณี แต่เราก็ไ่ม่ปฎิเสธว่า เรื่องประเภทนี้ จะหาดีกว่าประเทศไทย ในด้านของราคาและการบริการที่ได้รับแล้ว ก็ไ่ม่รู้จะไปหาที่ไหนได้ในโลกอีก เด็กๆผู้ชายหลายๆ คนในประเทศไทยในสมัยที่ผมโตขึ้นมาก็ไปเปิดบริสุทธิ์กับที่ อาบ อบ นวดกันเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้างบประมาณน้อยหน่อยก็อาจจะไปซ่องโสเภณีราคาถูกๆ ที่โด่งดังในกลุ่มเด็กโรงเรียนชายล้วนก็คือ โรงแรม ศรีทอง ซอยข้างโรงแรม Asia ถนนเพชรบุรี ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็คงไ่ม่ต้องแล้วเพราะเด็กๆ แม้แต่เด็กโรงเรียนชายล้วนก็มีปัญญาไปหาแฟนมาเปิดบริสุทธิ์กันเองได้ แล้วผู้หญิงไทยยุคใหม่ก็เป็นยุคแห่งความมั่นใจ หญิงไทย ทำงานเก่ง มีความเป็นตัวของตัวเอง มีกำลัง และอำนาจไม่แพ้ผู้ชาย และก็มีการใช้ชีวิต sex ที่ไม่แพ้ผู้ชายเช่นกัน แต่จะว่าแย่หรือไม่แย่ลงนั้นก็แล้วแต่คนจะคิด

ฟังๆ ดูเหมือนกับว่า อาบ อบ นวด น่าจะลดลง ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เพราะว่าในเมื่อ จากสมัยก่อนที่ลำบากยากเย็นไปจับปลาในหนองน้ำ มาถึงยุคทีีมีปลามาขายในตลาด จนถึงยุคที่ปลามาว่ายกันให้สลอนอยู่ริมฝั่งน้ำให้จับง่ายๆ แบบปัจจุบัน แปลว่า สำหรับท่านชาย ความต้องการที่จะไปอาบอบนวด น่าจะลดลง ใช่หรือไม่ ? คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะการวิเคราะห์ฺดังกล่าวนั้น ไม่ตรงประเด็น

Demographic ของลูกค้า อาบ อบ นวด นั้น 90% คือคนที่มีลุกมีเมียแล้ว โดยเฉพาะอาบอบนวด เกรด A จะมีนักศึกษาที่มีฐานะดี หรือ คนทำงานหนุ่มๆ ก็ีมีบ้าง แต่ไม่ใช่ major customer เพราะพวกนี้ กำลังซื้อต่ำ มาได้เดือนละครั้งก็เก่งแล้ว (ยกเว้นแต่จะมีเงินแบบพานทองแท้ก็ว่าไปอย่าง) อาบ อบ นวด เกรด A ที่ว่านี้คืออะไร ก็คือ สถานที่ที่มี “เด็ก” ตามคำที่ลูกค้าเรียก หรือ “พนักงาน” ตามคำที่เจ้าของเรียก ที่สวยที่สุด หมดจด ที่สุด และสถาณที่ก็จะตกแต่งด้วยวัสดุหรูหรา ราคาแพง เหมือนกับโรงแรม สาม ถึง ห้าดาว (แต่กรุณาอย่าเอามาเปรียบเทียบกับโรงแรมใน ลาสเวกัส นะครับ ถึงแม้จะมีชื่อเหมือนกันหลายๆ แห่งกับโรงแรมที่นี่ก็ตาม) ที่สำคัญ สถาณภาพเกรด A นี้มักจะได้มาจากการที่เป็นสถาณที่ๆ เปิดใหม่ที่สุด โดย พอมีเปิดใหม่ที ลูกค้าที่เป็นลูกค้า Top Class หรือ ลูกค้าเกรด A ก็จะแห่กันไปที่ใหม่อยุ่พักนึง ถ้าที่ใหม่ทำได้ดีจริงๆ ไปหาเด็กดีๆ ดังๆ และทำงานเก่ง (ขออย่าขยายความเลยว่าทำงานเก่งนี่คืออะไร คิดเอาเองนะครับ) ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนไม่มาก (ไม่ใช่ว่าเด็กที่ทำงานเก่งน้อย แต่เด็กที่เจ้าของและคนเชียร์แขกการันตีเลยว่า เก่ง และเป็นเด็กที่ีมีแขกติดเยอะมาก ถ้าย้ายทีทำงานแขกจะตามเด็ก) ถ้าดึงเด็กพวกนี้มาเข้าที่เปิดใหม่ได้ สถาน อาบ อบ นวดนั้นจะดังเป็นพลุแตก ทันที ถ้ายังรักษาคุณภาพต่อไปได้อีกครึ่ง ก็จะอยู่ตัว และก็็จะคืนทุน ทำกำไรมหาศาล และ่ค่อยๆ เสื่อมไปตามระบบ

แต่ถ้าท่านพลาดภายในเวลา 6 เดือนแรก ก็บอกได้เลยว่า ปิดประตูได้ เพราะลูกค้า เกรด A ที่มีเงินจะถลุงจริงๆ จะไ่ม่มา จะเหลือแต่ลูกค้าระบบประหยัด ที่มาดูตู้เป็นชั่วโมงๆ กว่าจะเลือกสักคน อาจะต้องมีการขายต่อปรับระบบ หรืออะไรก็ว่ากันไป แต่จะไม่มีการปิดในทันที ถ้าถึงขนาดปิดจริงๆ ก็คือต้องเก่าคร่ำคร่าเป็นสิบๆ ปี จนตึกใช้การไม่ได้แล้ว หรือว่า มีคนจะเอาที่ไปทำอย่างอื่นนั่นล่ะ ถึงจะปิด โดยลักษณะของธุรกิจคือมันจะเสื่อมไปจนถึงจุดที่เป็นซ่องโสเภณีสกปรกๆ ราคาถูกๆ แล้วก็จะอยู่ไปอย่างนั้น จะเห็นได้ว่า ลักษณะของธุรกิจโดยรวม ก็เหมือนกับตัว โสเภณีเองนั่นเอง แรกๆ มาใหม่ๆ ไฉไล แพงระยับ สาว สวย พอแก่ลงก็ต้องลดราคา ทรุดโทรม แล้วก็เน่าไปตามสัจธรรม ดังนั้นเคล็ดลับของการที่จะอยู่ในยุทธจักอย่างยั่งยืนก็คือ การที่จะต้องมีการ resurrect หรือ ชุบชีวิต กันอยู่ตลอดเวลา ที่เรียกว่าชุบชีวิตนั้น ไ่ม่ใช่การทำที่เดิมใหม่ แต่เป็นการไปหาที่ใหม่ สร้างอาคารใหม่ แล้ว โอน “ใบอนุญาติเดิม” ไปใส่ ในธุรกิจอาบอบนวดนั้น ใบอนุญาติ มีค่าที่สุด ใบอนุญาติที่ว่านี่ มีลักษณะอย่างไร ก็มีลักษณะเป็นจำนวนห้อง ถ้าท่านมีใบอนุญาติกี่ห้อง ก็แทบจะนับเงิน หนึ่งแสน หรือสองแสน บาท คูณจำนวนห้องไปได้เลย นั่นจะกลายเป็นมูลค่าของ Asset ในมือของท่าน

ใบอนุญาิติเหล่านี้คือข้อจำกัดที่จะทำให้เจ้าของอาบอบนวดสักคนที่คิดจะสร้างใหม่ ต้องวางโครงการว่าจะทำได้ใหญ่ขนาดไหน ถ้ามีใบอนุญาติ ร้อยใบ ก็ทำได้แค่ ร้อยห้อง หรือ จะแบ่งเป็นสองแห่ง ก็ทำได้ แค่ 70 กับอีกที่ 30 เท่านั้น ใครที่เปิดเกิน มี 200 แต่ทำ 250 นี่ก็เจอสั่งปิดมาแล้ว หรือเจอปรับห้องละแสนบาทต่อปี มาแล้ว ก็คือเหมือนกับสั่งปิดนั่นเอง ใครจะมีปัญญาจ่ายได้ ถามว่า แล้วทำไมไม่ขอใหม่ให้ได้มากตามความต้องการ คำตอบก็คือ เพราะพระราชบัญญัติสถาณบริการสมัย พล เอก เปรม ที่ต้องการจำกัดสถาณบริการเพื่อภาพพจน์ของประเทศ โดยออกเืมื่อปี พศ 2520 มีข้อความมากหลาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ จะไม่มีการออกใบอนุญาติใหม่อีกต่อไป และนั่น กลายเป็นสาเหตุให้ใบอนุญาติที่มีอยู่มีค่ายิ่งกว่าทอง เพราะสถาณการณ์กลับไปเป็นเหมือนกับ รถ taxi สมัยก่อนที่มีจำนวนจำกัด ค่าทะเบียนแพง คนที่ต้องการจะเปิดอาบอบนวด 200 ห้อง แต่มีใบอนุญาิติแค่ 150 ก็ต้องซื้อมาอีก 50 ให้ได้ จะไปซื้อจากไหน ก็ต้องไปซื้อจากคนที่เขามีอยู่ ก็ต้องดูอีกว่าเขาอยากขายหรือเปล่า เพราะว่าถ้าเขาทำของเขาดีๆ อยู่แล้วจะขายทำไม คนที่อยากขายมักจะเป็นคนที่ ไม่ติดหนี้ธุรกิจอื่นๆ หัวบาน ต้องเอาเงินไปหมุน หรือไม่ก็ขายเพราะว่าอยากออกจากวงการ หรือไม่ก็ขายเพราะรู้ว่าคนที่จะเอาไปทำมันเจ๊งแน่ๆ แล้วก็ทำสัญญา lock ล่วงหน้าเพื่อซื้อคืน ราคาถูกๆ ทำกำไรแบบทึ่มๆ ไปเลย ก็แล้วแต่ แต่การซื้อขายแต่ละครั้งไม่ค่อยจะเป็นเรื่องเล็กในวงการคนทำธุรกิจประเภทนี้ แต่มันไม่ค่อยจะอยู่ในหนังสือพิมพิ์ก็เท่านั้น คนที่รู้ก็คือคนในวงการและตำรวจ

ตีพิมพ์ใน Thai Nevada Post (ปักษ์ แรก ตุลาคม 2005)

จากฉบับที่แล้ว ต้องขอแก้ว่าโรงแรมศรีทองนั้นอยู่ซอยข้างโรงแรมเอเชีย ไม่ได้อยู่ข้างโรงแรมแอมบาสเดอร์แต่อย่างใด ต่อจากฉบับที่แล้วคือเรื่องของการชี้ขาดในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับใบอนุญาติ โดยที่บอกไว้ว่า โกลัก หรือนาย กุลประเสริฐ สุขขี ได้ค้นพบช่องโหว่ในกฎหมาย Zoning ที่จะเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลให้กับตัวเขาเองได้ ขุมทรัพย์ที่ว่าก็คือโอกาสในการขอใบอนุญาติใหม่ ที่จะเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามสิบปี ที่ไม่เคยมีการออกใบอนุญาติใหม่ได้มาก่อน สาเหตุที่จะออกได้นั้นก็เนื่องมาจากว่า การออกกฎหมาย Zoning ที่มี คุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์เป็นผู้ริเริ่มนั้น ได้มีการชี้ขาดว่าได้ทำให็กฎหมายควบคุมสถาณบริการสมับป๋าเปรมมีอันต้องหมดสภาพไป ดังนั้น การขอใบอนุญาติใหม่จึงทำได้ แล้วความหมายของการชี้ขาดตรงนี้ัมันทำให้นั้น มีผลอะไรกับคนที่มีใบอนุญาติเก่าๆ อยู่ในมือ ก็ไม่ต่างอะไรกับใบอนุญาติ taxi ในสมัยก่อนที่มีการซื้อขายใบละเป็นเหมื่น เป็นแสน พอเปิดเสรีให้ขอได้ตามใจชอบ แล้วเกิดอะไรขึ้น? ก็กลายเป็นกระดาษไร้ค่าดีๆนี่เอง เพราะใครๆ ก็ขอได้ ถ้าโกลักขอได้ ผ่านตลอดฉลุย ก็จะเป็นกรณีแรกที่เกิดจากกฎหมาย Zoning และจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ ถนนรัชดาก็จะเป็นดงอาบอบนวดที่แท้จริง เพราะคนจะแข่งกันเปิดใน Zone นี้ คนที่มีใบอนุญาติอยู่ในมือที่อยากจะวางมือ โดยการขายกิจการ บวกราคาใบอนุญาติก็ทำไ่่ม่ได้แล้ว เพราะ ใบอนุญาติในมือกลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่า จะขายก็ขายได้แต่ตึกเท่านั้น กลายเป็นผู้เสียผลประโยชน์อย่างมหาศาล แล้วคนที่มีใบอนุญาติในมือมากที่สุดคือใคร ก็ไม่ใช่ใคร นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ของเรานั่นเอง ก่อนจะถึงตรงนี้ก็ต้องย้อนเล่าประว้ตินายชูวิทย์สักเล็กน้อย วิรุฬห์ทราบดีว่าท่านผู้อ่านหลายๆคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับนายชูวิทย์เป็นอย่างดี ประวัติก็เล่าไปแล้วตั้งแต่ เปิดตัวจนถึง การตั้งพรรคต้นตระกูลไทย ลอยแพ ลูกพรรค แล้วก็มาเข้าพรรคชาติไทย เป็น สส ระบบบัญชีรายชื่อ สำเร็จ เข้าไปนั่งในสภาได้ ถ้าถามว่านายชูวิทย์มีใบอนุญาติจริงๆหรือ ถ้ามีจะเป็น สส ได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่า ในทางกฎหมายไม่มีหรอกครับ เพราะว่า มันผิดกฎ เหมือนกับนักการเมืองอื่นๆ ที่เป็นนักธุรกิจก็ต้อง โอนหุ้นให้ ลูก หลาน เมีย พี่ น้อง หรือ แม้แ่ต่คนใช้ และคนขับรถ ให้ออกไปเป็นชื่อคนอื่นเสีย เป็นอันจบ จึงจะเป็น สส ได้ แต่ถามว่า อิทธิพลในการตัดสินใจทางธุรกิจล่ะ เป็นอย่างไร วิรุฬห์ก็ฟันธงได้เลยว่า นายชูวิทย์ยังมี influence ในกิจการอยุ่อย่างเต็มที่ ลองคิดกันดูให้ดีๆ ท่านผู้อ่าน ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจพันล้าน เวลาท่านจะล้างมือเล่นการเืมือง (ล้างมือในทางกฎหมาย) ท่านจะ clear ตัวเองให้เข้าลู่วิ่งได้ ท่านจะขายทิ้งหมดให้คนไม่รู้จัก แบบเหมือนพระเจ้าตากจะเข้าตีเืมืองจันทร์เลยหรือไม่ ไม่ทิ้งทางหนีทีไล่ไว้เลยหรือ ท่านคงไม่ทำแน่ๆ ท่านก็คงจะต้องเผื่อถอยไว้สักหน่อย เผื่อว่าสอบตก จะได้กลับมาทำธุรกิจได้ แล้วหุ้นต่างๆ นี่จะเอาไปฝากไว้กับใครดี ก็ต้องไปฝากไว้กับคนที่ไว้ใจได้ เวลาที่มาถึงแล้ว มันจะได้ยกคืนมาให้เราได้ โดยเรื่องความไว้ใจนี่ มีสองประการคือ กลุ่มที่หนึ่ง คนที่คุยกันรู้เรื่อง บอกให้ยกให้กลับก็ยกให้ คนพวกนี้คือคนในสายเลือด ลูกเมีย กลุ่มที่สองคือ หุ้นส่วนเก่า ที่มันอาจจะไม่ยกคืนให้ก็ได้ แ่ต่มันก็ไม่มีวิทยายุทธมากพอที่จะทำ ธุรกิจนี้ได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องพึ่งความรู้จากท่านอยู่ดี ชูวิทย์นั้นเลือกวิธีที่เนียนกว่า คือเลือกแบบหลัง ยกหุ้นให้เมียน้อยตัวเอง แล้วก็หุ้นส่วนเก่า ไม่ใ่ช่คนนามสกุลเดียวกันแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครมาครหาได้เลย ทางกฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้ กิจการอาบ อบ นวด ของนายชูวิทย์ในช่วงที่เป็นนักการเืมืองและเป็น สส นั้น จริงๆ แล้วก็ลดความนิยมลงตามลำดับ ไม่ได้เป็นแถวหน้าห้าดาวของวงการต่อไป มีเจ้าอื่น เข้ามาทำตลาดกระจายๆ กันไปตามเรื่อง ดังนั้น อย่างที่บอกไปแล้วว่า โกลัก ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ ระดับ สองดาว ถึงสามดาว อยากเข้าทำตลาด ห้าดาวบ้าง จึงได้ตัดสินใจเข้าสมัครใบอนุญาติโดยใช้กฎหมายตัวนี้ โดยจะนำใบอนุญาติถึง 200 ห้องนี้ไปเปิดอาบ อบ นวด ชื่อ เอไลน่า สำหรับชูวิทย์นั้น พอมารู้ตัวอีกที เรื่องของนายโกลักก็ไปอยู่กับ กองบัญชาการตำรวจนครบาลเรียบร้อยไปแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการอุทรณ์ ซึ่งต่อมาได้ออกมาว่า รับอุทรณ์และให้เปิดได้ ชูวิทย์ซึ่งนั่งไม่ติด ก็เลยต้องหาวิธีสร้างเรื่อง แผนคือการยืมดาบฆ่าคน การยืมดาบฆ่าคน จริงๆแล้ว หมายถึงการไปหลอกให้คนอื่น ไปฆ่าคนให้เราโดยใช้ดาบเป็นอาวุธ (ตีความตรงไปตรงมาแบบหนังจีนกำลังภายใน) แต่ในกรณีของชูวิทย์นั้น ก็ต้องเอาความหมายมาตีแผ่เช่นนี้ คนที่ถูกหลอก = ประชากรกรุงเทพและนักการเมืองฐานเสียงกทม ดาบ = โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สาขารัชดา วิธีการฆ่า = การสร้างเรื่องให้เห็นว่าอาบ อบ นวด ของ โกลัก ใกล้กับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาดังกล่าว คนที่ถูกฆ่า = สถาณอาบ อบ นวด เอไลน่า ท่านผู้อ่านพอเห็นสมการลางๆ แล้วหรือไม่ นายชูวิทย์ ต้องการจะปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นสส อยู่ เลยต้องทำการค้นคว้า โจทย์คือจะทำอย่างไร ไม่ให้สถาณที่นี้เปิดได้ สิ่งที่พบคือ อาบ อบ นวด แห่งนี้ อยู่ตรงข้ามโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พอดี ดังนั้นวันหนึ่งจึงไปเีรียกนักข่าวทั้วเมืองให้มาถ่าย แล้วก็ป่าวประกาศว่าแบบนี้ัมันใช้ไม่ได้ มันยั่วยุ มาเปิดใกล้ๆ โรงเีรียนแบบนี้ได้อย่างไร นักข่าวพอเห็นข่าวนี้ ก็เหมือนเห็นเนื้อชิ้นใหญ่ จ้วงกันเสียไม่มีชิ้นดี พอสาวๆ ไปมากๆ ก็ไปถึง กองบัญชาการตำรวจนครบาลที่เป็นด่านสุดท้ายในการให้ใบอนุญาติ ตำรวจก็พูดไม่ออก ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ว่า ตามกฎหมายในเรื่องระยะทาง ให้เปิดได้ แต่จะไปลองพิจารณาดูอีกที เป็นอันว่าชูวิทย์ชนะยกแรกเรียบร้อย เพราะเกิดคลื่นในสังคมเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว และพอประชาชนอ่านข่าวเรื่องนี้มาก นักข่าวก็ยิ่งขุดมาก คนก็ยิ่งอ่านมากขึ้นอีก เหมือนเป็นแรงส่งซึ่งกันและกัน แล้วพอถึงจุดหนึ่ง นักการเมืองท้องถิ่น ก็ทนไม่ได้ ต้องก้าวเข้ามา แล้วก็ออกแถลงการณ์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็เห้นตรงกันว่าไม่ควรเปิด เป็นอันว่าชูวิทย์ชนะอีก เรื่องราวทำท่าจะไม่ค่อยดี สำหรับโกลัก ที่ลงทุนไปถึง ร่วม 200 ล้านบาท จะมาพังพาบเอาต่อหน้าต่อตา โกลักจึงไม่ยอม ขอสู้โดยผ่านเวทีสังคม และจะใช้สื่อเป็นเครื่องมือบ้าง โดยการมาออกรายการ ถึงลูกถึงคน ที่มี rating สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยมาเผชิญหน้ากับ นายชูวิทย์ในรายการ โดยคุณสรยุทธ สุทัศนจินดา พิธีกรของรายการค่อนข้างแน่ใจว่า จะมีการปะทะกันแบบเืลือดเดือดแน่ๆ เลยจัดให้ทั้งสองอยู่คนละห้องกัน โดยประเด็นที่ชูวิทย์บอกออกทีวีก็คือเรื่องเดิมว่า ไม่ควรจะสร้าง เพราะมันไ่ม่เหมาะสม ก็ว่ากันไป แต่สำหรับโกลักนั้น มาพร้อมทนายความและได้นำหลักฐานมาแฉชูวิทย์หลายเรื่อง ในการออกทีวีนั้น โกลักก็ทำให้ชูวิทย์เพลี่ยงพลำ้ในหลายๆ เรื่อง โดยที่ถ้าเป็นคนที่รู้จักวงการนี้ดีจะบอกได้ สำหรับประเด็นที่ใหญ่ๆ มีสองเรื่อง ดังนี้ ชื่อของผู้ถือหุ้น กิจการแห่งหนึ่งของนายชูวิทย์ โดยนายชูวิทย์อ้างว่าไม่รู้จัก แต่พอโกลักรุกหนักๆ ว่าแน่ใจนะว่าไม่รู้จัก ชูวิทย์ก็เหมือนจะไหวตัวทัน โดยอ้างพลิ้วไปว่า อ้อ จริงๆ เป็นลูกน้อง แต่โกลักก็ซ้ำเลยว่า นี่เป็นภรรยาของคุณ ชูวิทย์ไม่ยอมตอบ ยังคงยืนยันว่าเป็นลูกน้อง โกลักก็หัวเราะ โกลัก อ้างว่านายชูวิทย์เคยพยายามซื้อที่ดินแปลงที่ทำเอไลน่านี้ทำเป็นอาบ อบ นวดเหมือนกัน เพราะต้องการ monopolize ธุรกิจตัวนี้บนถนนรัชดา นายชูวิทย์ก็สวนกลับทันทีว่า ไม่จริง โดยใช้ตรรกะว่า ผมมีอยู่สามแห่งแล้ว บนถนนรัชดา จะไปเปิดอีกทำไม ซึ่งถ้าเป็นผู้ชมที่ไ่ม่เข้าใจธุรกิจตัวนี้ และนำตรรกะแบบธุรกิจทั่วไปที่นายชูวิทย์บอกมาคิด ก็อาจจะเชื่อ แต่ในความเป็นจริืงแล้ว ตรรกะดังกล่าวใช้กับธุรกิจ อาบ อบ นวดไม่ได้ เพราะลูกค้านั้นมีไม่จำกัด ยิ่งเปิดมากก็ยิ่งขายดีมาก เปิดติดๆ กันไปยิ่งดี คนไม่ชอบเด็กที่หนึ่ง ก็เดินไปอีกที่หนึ่งได้ ไม่ต้องนั่งรถไป เงินทองไม่รั่วไหล แต่จะมีคนดูกี่คนที่ดูทางนายชูวิทย์ออกก็ไม่รู้ คนที่ดูก็จะเห็นว่า นายชูิวิทย์ พลิ้วมาก มีหลักการ มีอารมณ์ขัน มี action เป็นจังหวะๆ ไป ในขณะที่โกลักนั้น พูดจาอย่างเกรี้ยวกราด มีอารมณ์ และออกเสียงภาษาไทยไม่ชัด ตามประสบการณ์แล้ว ชูวิทย์ซึ่งออกทีวีมาหลายครั้ง จึงมีวิทยายุทธในการออกสื่อได้เหนือกว่า โกลักมาก เป็นอันว่าโกลักก็แพ้ไปอีกที ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านก็คงจะสงสัยแล้วว่า ผมมองนายชูวิทย์ในแง่ร้าย ก็อาจจะพูดเช่นนั้นได้ แต่ผมไม่ได้มองเขาในแง่ร้ายเพราะเขามีหนวดแหลม หรือ เป็นเจ้าของกิจการโสมมแต่อย่างใดไม่ แต่ผมดูจากสิ่งที่เขาทำมาตลอดในอดีต จริงๆ แล้วนายชูวิทย์เคยเป็นข่าวมาตั้งแต่ คดีสั่งรื้อบาร์เบียร์ การแฉตำรวจแบบครึ่งๆ กลางๆ ใช้แต่ชื่อ ย่อ พอมีตำรวจมาถามว่าใครก็ไม่ยอมบอก ทำให้ตำรวจต้องไปสุ่มย้าย มีตำรวจที่ไม่ได้รุ้เรื่องโดนย้ายไปหลายคน แล้วก็มีการตั้งพรรคใหม่ จะทำเพื่อประชาชน พอมีคนดีคนเก่งมาร่วมด้วย ก็ลอยแพเขาเสียเฉยๆ แบบนั้น พรรคก็ต้องยุบ แล้วไปอยู่พรรคใหม่ มาเป็นนักการเมือง แล้วก็มีกรณีหมิ่นเหม่เรื่องนี้อีก ถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่ผิดเลยครับ ทุกอย่างถูกกฎหมาย แต่ถ้าถามว่า นายชูวิทย์คนนี้น่าไว้ใจหรือไม่ ผมว่า ไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย นับว่าเป็นเดชบุญของคน กทม ที่ไม่ได้เอาคนคนนี้มาเป็น ผู้ว่า ตอนที่เขาลงรับสมัคร ล่าสุดสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ชูวิทย์ชนะขาดไปแล้ว โดยทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีคำสั่งไม่อนุมัติใบอนุญาติสถาณประกอบการ เอไลน่า ส่วนตัวโกลักเองก็ออกมาออกข่าวว่า ไม่ฟ้อง (จากที่เคยขู่ว่า ถ้าไม่ให้อนุญาติจะฟ้อง กองบัญชาการตำรวจนครบาล) จะขออำลา ไม่ทำอะไรแล้ว ถามว่าทำไมโกลักถึงยอมถอยง่ายๆ คำตอบก็คือ มีคนที่ใหญ่กว่า “มาก” เบื้องบน สั่งมาให้หยุด ถ้าไม่หยุด มีเรื่อง แค่นั้นเองครับ ท่านผู้อ่านลองคิดดูเองละกันว่าเป็นใคร เมืองไทยก็มีแค่นี้ละครับ หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่า การที่อาบ อบ นวด เอไลน่าถูกปิดในที่นี้เป็นชัยชนะของฝ่ายศีลฝ่ายธรรมที่อ่อนกำลังเหลือเกินในสังคมยุคนี้ ก็คงจะสบายใจดีที่คิดแบบนั้นครับ แต่สำหรับวิรุฬห์ เห็นว่า ถ้าเราจะทำอะไรให้ถูกต้องนั้น ผลลัพธ์ นั่นไม่ใช่ประเด็นเดียวที่เราต้องคิดถึง แต่ต้องดู “ที่มา” + “กระบวนการ” ควบคู่กันไปด้วยครับ ถ้าที่มาและกระบวนการ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่ผลลัพธ์ไม่ได้ออกมาอย่างที่สังคมเห็นว่าควรจะเป็น อย่างน้อยเราก็ยังอธิบายให้ลูกหลานฟังได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ถ้าวันนึงเขาถามถึง

Tuesday, April 04, 2006

And the Academy Award goes to..Mr. Taksin Shinnawattra

Source: AP (Ass. Press)

Yes, Ladies and Gentleman. First time in the history of the Academy that we have the best performing male actor from Foreign Country, he’s the one and only Prime Minister of Thailand. Mr.Taksin Shinnawattra. His role in the movie “The Last (day of) Prime Minister” won the heart of all critic. Estimating from the review, the scene that won him this award is probably when he makes the half-ass speech that he will “not take the prime minister position in the new government. His tears that did not exactly come out of his eyes reflect so many emotions. Mr. Jemsak Pintong, the Political Acting Critic said yesterday that “I think the tears of Mr.Taksin is the result of three reason which are (1) the asset that he might be ceased by the government in the near future, (2) the asset that he might be cheated by Temasek and (3) the sadness that suddenly he remember that he hasn’t have any erection in the past 6 months. “There are lots of broken lines that show so many hidden agenda.” Mr. Jemsak said. “..which reflects so much sense of cunning that totally belong to him but also fool all the Thais that he is a good guy. He is truly the actor of the century”

Sondhi Limtongkul the media firebrand who has been a harsh critic on Mr.Taksin since the cancel of his show “Thailand Weekly” on TV9, said last night that “I congratulate him for receiving this Oscar. He definitely deserved it. I've never seen any one act so good in such a long long time. Thinking back, there are so many scenes that can win him the award. Within only one movie, he play so much roles in different emotion such as being a ruthless leader, a crazy man, a baby hugger, a father who set up his son, a husband who can not give his wife and orgasm for years, and also a thief. He’s the actor of all actors.”

Mr. Apisit Wechachiwa, the leader of opposition party also salute him for his success “In my life as a politician, I always admire the cool-cat acting of Mr.Chuan Leekpai, as my master. But compare to Mr.Taksin’s acting to Mr Chun’s I think Mr. Chuan will be just like a light bulb while Mr. Taksin is a Sun. I should learn more from him. I still don’t know how to bring tears when ever I want yet. I am working on it.”

Mr. Wassana Permlarp, who also received the high-honor award HoY or “เหี้ย” of the year did not be able to join the academy because he and other three member of the Election Committee was killed by suffocation with load of waste election cards in the past election. It was a sad news but because of the overwhelming weight of Mr.Taksin’s Success. There are only 3 lines of this mass murder suicide on the local newspaper. The funeral for him and other three of Election Committee will be at Sanlam Lang which the public are allow to throw rocks, trash or spit on the 4 bodies. The family of all 4 members will be sit there as well, but only spitting on them are allowed (confirmed by Apria Kosayothin – BKK Governor)

Mr. Taksin will appear for Public Trashing Party around next week. People are excited to congratulate him by throwing shit, also spiting and may be throwing fetus in the plastic bag to him. However, the there is no confirmation about the date because Mr.Taksin still consider the specification regarding what kind of trash will be allowed to throw to him. Critic said that it is likely to be “FUCKMAEW”.