ตีพิมพ์ใน Thai Nevada Post (ปักษ์ สอง กันยายน 2005)
อาบ อบ นวด แค่ชื่อก็อาจจะทำให้ชายไทยที่อยู่ในอเมริกาหลับตาพริ้มขึ้นมาทันที ไม่ว่าท่านจะเ็ป็นโสด แต่งงาน แล้ว หรือหย่าแล้วก็ตาม เราไม่ได้ภูมิืใจที่คนทั้งโลกมองเราว่าเป็นประเทศแห่งโสเภณี แต่เราก็ไ่ม่ปฎิเสธว่า เรื่องประเภทนี้ จะหาดีกว่าประเทศไทย ในด้านของราคาและการบริการที่ได้รับแล้ว ก็ไ่ม่รู้จะไปหาที่ไหนได้ในโลกอีก เด็กๆผู้ชายหลายๆ คนในประเทศไทยในสมัยที่ผมโตขึ้นมาก็ไปเปิดบริสุทธิ์กับที่ อาบ อบ นวดกันเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้างบประมาณน้อยหน่อยก็อาจจะไปซ่องโสเภณีราคาถูกๆ ที่โด่งดังในกลุ่มเด็กโรงเรียนชายล้วนก็คือ โรงแรม ศรีทอง ซอยข้างโรงแรม Asia ถนนเพชรบุรี ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็คงไ่ม่ต้องแล้วเพราะเด็กๆ แม้แต่เด็กโรงเรียนชายล้วนก็มีปัญญาไปหาแฟนมาเปิดบริสุทธิ์กันเองได้ แล้วผู้หญิงไทยยุคใหม่ก็เป็นยุคแห่งความมั่นใจ หญิงไทย ทำงานเก่ง มีความเป็นตัวของตัวเอง มีกำลัง และอำนาจไม่แพ้ผู้ชาย และก็มีการใช้ชีวิต sex ที่ไม่แพ้ผู้ชายเช่นกัน แต่จะว่าแย่หรือไม่แย่ลงนั้นก็แล้วแต่คนจะคิด
ฟังๆ ดูเหมือนกับว่า อาบ อบ นวด น่าจะลดลง ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เพราะว่าในเมื่อ จากสมัยก่อนที่ลำบากยากเย็นไปจับปลาในหนองน้ำ มาถึงยุคทีีมีปลามาขายในตลาด จนถึงยุคที่ปลามาว่ายกันให้สลอนอยู่ริมฝั่งน้ำให้จับง่ายๆ แบบปัจจุบัน แปลว่า สำหรับท่านชาย ความต้องการที่จะไปอาบอบนวด น่าจะลดลง ใช่หรือไม่ ? คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะการวิเคราะห์ฺดังกล่าวนั้น ไม่ตรงประเด็น
Demographic ของลูกค้า อาบ อบ นวด นั้น 90% คือคนที่มีลุกมีเมียแล้ว โดยเฉพาะอาบอบนวด เกรด A จะมีนักศึกษาที่มีฐานะดี หรือ คนทำงานหนุ่มๆ ก็ีมีบ้าง แต่ไม่ใช่ major customer เพราะพวกนี้ กำลังซื้อต่ำ มาได้เดือนละครั้งก็เก่งแล้ว (ยกเว้นแต่จะมีเงินแบบพานทองแท้ก็ว่าไปอย่าง) อาบ อบ นวด เกรด A ที่ว่านี้คืออะไร ก็คือ สถานที่ที่มี “เด็ก” ตามคำที่ลูกค้าเรียก หรือ “พนักงาน” ตามคำที่เจ้าของเรียก ที่สวยที่สุด หมดจด ที่สุด และสถาณที่ก็จะตกแต่งด้วยวัสดุหรูหรา ราคาแพง เหมือนกับโรงแรม สาม ถึง ห้าดาว (แต่กรุณาอย่าเอามาเปรียบเทียบกับโรงแรมใน ลาสเวกัส นะครับ ถึงแม้จะมีชื่อเหมือนกันหลายๆ แห่งกับโรงแรมที่นี่ก็ตาม) ที่สำคัญ สถาณภาพเกรด A นี้มักจะได้มาจากการที่เป็นสถาณที่ๆ เปิดใหม่ที่สุด โดย พอมีเปิดใหม่ที ลูกค้าที่เป็นลูกค้า Top Class หรือ ลูกค้าเกรด A ก็จะแห่กันไปที่ใหม่อยุ่พักนึง ถ้าที่ใหม่ทำได้ดีจริงๆ ไปหาเด็กดีๆ ดังๆ และทำงานเก่ง (ขออย่าขยายความเลยว่าทำงานเก่งนี่คืออะไร คิดเอาเองนะครับ) ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนไม่มาก (ไม่ใช่ว่าเด็กที่ทำงานเก่งน้อย แต่เด็กที่เจ้าของและคนเชียร์แขกการันตีเลยว่า เก่ง และเป็นเด็กที่ีมีแขกติดเยอะมาก ถ้าย้ายทีทำงานแขกจะตามเด็ก) ถ้าดึงเด็กพวกนี้มาเข้าที่เปิดใหม่ได้ สถาน อาบ อบ นวดนั้นจะดังเป็นพลุแตก ทันที ถ้ายังรักษาคุณภาพต่อไปได้อีกครึ่ง ก็จะอยู่ตัว และก็็จะคืนทุน ทำกำไรมหาศาล และ่ค่อยๆ เสื่อมไปตามระบบ
แต่ถ้าท่านพลาดภายในเวลา 6 เดือนแรก ก็บอกได้เลยว่า ปิดประตูได้ เพราะลูกค้า เกรด A ที่มีเงินจะถลุงจริงๆ จะไ่ม่มา จะเหลือแต่ลูกค้าระบบประหยัด ที่มาดูตู้เป็นชั่วโมงๆ กว่าจะเลือกสักคน อาจะต้องมีการขายต่อปรับระบบ หรืออะไรก็ว่ากันไป แต่จะไม่มีการปิดในทันที ถ้าถึงขนาดปิดจริงๆ ก็คือต้องเก่าคร่ำคร่าเป็นสิบๆ ปี จนตึกใช้การไม่ได้แล้ว หรือว่า มีคนจะเอาที่ไปทำอย่างอื่นนั่นล่ะ ถึงจะปิด โดยลักษณะของธุรกิจคือมันจะเสื่อมไปจนถึงจุดที่เป็นซ่องโสเภณีสกปรกๆ ราคาถูกๆ แล้วก็จะอยู่ไปอย่างนั้น จะเห็นได้ว่า ลักษณะของธุรกิจโดยรวม ก็เหมือนกับตัว โสเภณีเองนั่นเอง แรกๆ มาใหม่ๆ ไฉไล แพงระยับ สาว สวย พอแก่ลงก็ต้องลดราคา ทรุดโทรม แล้วก็เน่าไปตามสัจธรรม ดังนั้นเคล็ดลับของการที่จะอยู่ในยุทธจักอย่างยั่งยืนก็คือ การที่จะต้องมีการ resurrect หรือ ชุบชีวิต กันอยู่ตลอดเวลา ที่เรียกว่าชุบชีวิตนั้น ไ่ม่ใช่การทำที่เดิมใหม่ แต่เป็นการไปหาที่ใหม่ สร้างอาคารใหม่ แล้ว โอน “ใบอนุญาติเดิม” ไปใส่ ในธุรกิจอาบอบนวดนั้น ใบอนุญาติ มีค่าที่สุด ใบอนุญาติที่ว่านี่ มีลักษณะอย่างไร ก็มีลักษณะเป็นจำนวนห้อง ถ้าท่านมีใบอนุญาติกี่ห้อง ก็แทบจะนับเงิน หนึ่งแสน หรือสองแสน บาท คูณจำนวนห้องไปได้เลย นั่นจะกลายเป็นมูลค่าของ Asset ในมือของท่าน
ใบอนุญาิติเหล่านี้คือข้อจำกัดที่จะทำให้เจ้าของอาบอบนวดสักคนที่คิดจะสร้างใหม่ ต้องวางโครงการว่าจะทำได้ใหญ่ขนาดไหน ถ้ามีใบอนุญาติ ร้อยใบ ก็ทำได้แค่ ร้อยห้อง หรือ จะแบ่งเป็นสองแห่ง ก็ทำได้ แค่ 70 กับอีกที่ 30 เท่านั้น ใครที่เปิดเกิน มี 200 แต่ทำ 250 นี่ก็เจอสั่งปิดมาแล้ว หรือเจอปรับห้องละแสนบาทต่อปี มาแล้ว ก็คือเหมือนกับสั่งปิดนั่นเอง ใครจะมีปัญญาจ่ายได้ ถามว่า แล้วทำไมไม่ขอใหม่ให้ได้มากตามความต้องการ คำตอบก็คือ เพราะพระราชบัญญัติสถาณบริการสมัย พล เอก เปรม ที่ต้องการจำกัดสถาณบริการเพื่อภาพพจน์ของประเทศ โดยออกเืมื่อปี พศ 2520 มีข้อความมากหลาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ จะไม่มีการออกใบอนุญาติใหม่อีกต่อไป และนั่น กลายเป็นสาเหตุให้ใบอนุญาติที่มีอยู่มีค่ายิ่งกว่าทอง เพราะสถาณการณ์กลับไปเป็นเหมือนกับ รถ taxi สมัยก่อนที่มีจำนวนจำกัด ค่าทะเบียนแพง คนที่ต้องการจะเปิดอาบอบนวด 200 ห้อง แต่มีใบอนุญาิติแค่ 150 ก็ต้องซื้อมาอีก 50 ให้ได้ จะไปซื้อจากไหน ก็ต้องไปซื้อจากคนที่เขามีอยู่ ก็ต้องดูอีกว่าเขาอยากขายหรือเปล่า เพราะว่าถ้าเขาทำของเขาดีๆ อยู่แล้วจะขายทำไม คนที่อยากขายมักจะเป็นคนที่ ไม่ติดหนี้ธุรกิจอื่นๆ หัวบาน ต้องเอาเงินไปหมุน หรือไม่ก็ขายเพราะว่าอยากออกจากวงการ หรือไม่ก็ขายเพราะรู้ว่าคนที่จะเอาไปทำมันเจ๊งแน่ๆ แล้วก็ทำสัญญา lock ล่วงหน้าเพื่อซื้อคืน ราคาถูกๆ ทำกำไรแบบทึ่มๆ ไปเลย ก็แล้วแต่ แต่การซื้อขายแต่ละครั้งไม่ค่อยจะเป็นเรื่องเล็กในวงการคนทำธุรกิจประเภทนี้ แต่มันไม่ค่อยจะอยู่ในหนังสือพิมพิ์ก็เท่านั้น คนที่รู้ก็คือคนในวงการและตำรวจ
ตีพิมพ์ใน Thai Nevada Post (ปักษ์ แรก ตุลาคม 2005)
จากฉบับที่แล้ว ต้องขอแก้ว่าโรงแรมศรีทองนั้นอยู่ซอยข้างโรงแรมเอเชีย ไม่ได้อยู่ข้างโรงแรมแอมบาสเดอร์แต่อย่างใด ต่อจากฉบับที่แล้วคือเรื่องของการชี้ขาดในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับใบอนุญาติ โดยที่บอกไว้ว่า โกลัก หรือนาย กุลประเสริฐ สุขขี ได้ค้นพบช่องโหว่ในกฎหมาย Zoning ที่จะเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลให้กับตัวเขาเองได้ ขุมทรัพย์ที่ว่าก็คือโอกาสในการขอใบอนุญาติใหม่ ที่จะเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามสิบปี ที่ไม่เคยมีการออกใบอนุญาติใหม่ได้มาก่อน สาเหตุที่จะออกได้นั้นก็เนื่องมาจากว่า การออกกฎหมาย Zoning ที่มี คุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์เป็นผู้ริเริ่มนั้น ได้มีการชี้ขาดว่าได้ทำให็กฎหมายควบคุมสถาณบริการสมับป๋าเปรมมีอันต้องหมดสภาพไป ดังนั้น การขอใบอนุญาติใหม่จึงทำได้ แล้วความหมายของการชี้ขาดตรงนี้ัมันทำให้นั้น มีผลอะไรกับคนที่มีใบอนุญาติเก่าๆ อยู่ในมือ ก็ไม่ต่างอะไรกับใบอนุญาติ taxi ในสมัยก่อนที่มีการซื้อขายใบละเป็นเหมื่น เป็นแสน พอเปิดเสรีให้ขอได้ตามใจชอบ แล้วเกิดอะไรขึ้น? ก็กลายเป็นกระดาษไร้ค่าดีๆนี่เอง เพราะใครๆ ก็ขอได้ ถ้าโกลักขอได้ ผ่านตลอดฉลุย ก็จะเป็นกรณีแรกที่เกิดจากกฎหมาย Zoning และจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ ถนนรัชดาก็จะเป็นดงอาบอบนวดที่แท้จริง เพราะคนจะแข่งกันเปิดใน Zone นี้ คนที่มีใบอนุญาติอยู่ในมือที่อยากจะวางมือ โดยการขายกิจการ บวกราคาใบอนุญาติก็ทำไ่่ม่ได้แล้ว เพราะ ใบอนุญาติในมือกลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่า จะขายก็ขายได้แต่ตึกเท่านั้น กลายเป็นผู้เสียผลประโยชน์อย่างมหาศาล แล้วคนที่มีใบอนุญาติในมือมากที่สุดคือใคร ก็ไม่ใช่ใคร นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ของเรานั่นเอง ก่อนจะถึงตรงนี้ก็ต้องย้อนเล่าประว้ตินายชูวิทย์สักเล็กน้อย วิรุฬห์ทราบดีว่าท่านผู้อ่านหลายๆคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับนายชูวิทย์เป็นอย่างดี ประวัติก็เล่าไปแล้วตั้งแต่ เปิดตัวจนถึง การตั้งพรรคต้นตระกูลไทย ลอยแพ ลูกพรรค แล้วก็มาเข้าพรรคชาติไทย เป็น สส ระบบบัญชีรายชื่อ สำเร็จ เข้าไปนั่งในสภาได้ ถ้าถามว่านายชูวิทย์มีใบอนุญาติจริงๆหรือ ถ้ามีจะเป็น สส ได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่า ในทางกฎหมายไม่มีหรอกครับ เพราะว่า มันผิดกฎ เหมือนกับนักการเมืองอื่นๆ ที่เป็นนักธุรกิจก็ต้อง โอนหุ้นให้ ลูก หลาน เมีย พี่ น้อง หรือ แม้แ่ต่คนใช้ และคนขับรถ ให้ออกไปเป็นชื่อคนอื่นเสีย เป็นอันจบ จึงจะเป็น สส ได้ แต่ถามว่า อิทธิพลในการตัดสินใจทางธุรกิจล่ะ เป็นอย่างไร วิรุฬห์ก็ฟันธงได้เลยว่า นายชูวิทย์ยังมี influence ในกิจการอยุ่อย่างเต็มที่ ลองคิดกันดูให้ดีๆ ท่านผู้อ่าน ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจพันล้าน เวลาท่านจะล้างมือเล่นการเืมือง (ล้างมือในทางกฎหมาย) ท่านจะ clear ตัวเองให้เข้าลู่วิ่งได้ ท่านจะขายทิ้งหมดให้คนไม่รู้จัก แบบเหมือนพระเจ้าตากจะเข้าตีเืมืองจันทร์เลยหรือไม่ ไม่ทิ้งทางหนีทีไล่ไว้เลยหรือ ท่านคงไม่ทำแน่ๆ ท่านก็คงจะต้องเผื่อถอยไว้สักหน่อย เผื่อว่าสอบตก จะได้กลับมาทำธุรกิจได้ แล้วหุ้นต่างๆ นี่จะเอาไปฝากไว้กับใครดี ก็ต้องไปฝากไว้กับคนที่ไว้ใจได้ เวลาที่มาถึงแล้ว มันจะได้ยกคืนมาให้เราได้ โดยเรื่องความไว้ใจนี่ มีสองประการคือ กลุ่มที่หนึ่ง คนที่คุยกันรู้เรื่อง บอกให้ยกให้กลับก็ยกให้ คนพวกนี้คือคนในสายเลือด ลูกเมีย กลุ่มที่สองคือ หุ้นส่วนเก่า ที่มันอาจจะไม่ยกคืนให้ก็ได้ แ่ต่มันก็ไม่มีวิทยายุทธมากพอที่จะทำ ธุรกิจนี้ได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องพึ่งความรู้จากท่านอยู่ดี ชูวิทย์นั้นเลือกวิธีที่เนียนกว่า คือเลือกแบบหลัง ยกหุ้นให้เมียน้อยตัวเอง แล้วก็หุ้นส่วนเก่า ไม่ใ่ช่คนนามสกุลเดียวกันแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครมาครหาได้เลย ทางกฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้ กิจการอาบ อบ นวด ของนายชูวิทย์ในช่วงที่เป็นนักการเืมืองและเป็น สส นั้น จริงๆ แล้วก็ลดความนิยมลงตามลำดับ ไม่ได้เป็นแถวหน้าห้าดาวของวงการต่อไป มีเจ้าอื่น เข้ามาทำตลาดกระจายๆ กันไปตามเรื่อง ดังนั้น อย่างที่บอกไปแล้วว่า โกลัก ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ ระดับ สองดาว ถึงสามดาว อยากเข้าทำตลาด ห้าดาวบ้าง จึงได้ตัดสินใจเข้าสมัครใบอนุญาติโดยใช้กฎหมายตัวนี้ โดยจะนำใบอนุญาติถึง 200 ห้องนี้ไปเปิดอาบ อบ นวด ชื่อ เอไลน่า สำหรับชูวิทย์นั้น พอมารู้ตัวอีกที เรื่องของนายโกลักก็ไปอยู่กับ กองบัญชาการตำรวจนครบาลเรียบร้อยไปแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการอุทรณ์ ซึ่งต่อมาได้ออกมาว่า รับอุทรณ์และให้เปิดได้ ชูวิทย์ซึ่งนั่งไม่ติด ก็เลยต้องหาวิธีสร้างเรื่อง แผนคือการยืมดาบฆ่าคน การยืมดาบฆ่าคน จริงๆแล้ว หมายถึงการไปหลอกให้คนอื่น ไปฆ่าคนให้เราโดยใช้ดาบเป็นอาวุธ (ตีความตรงไปตรงมาแบบหนังจีนกำลังภายใน) แต่ในกรณีของชูวิทย์นั้น ก็ต้องเอาความหมายมาตีแผ่เช่นนี้ คนที่ถูกหลอก = ประชากรกรุงเทพและนักการเมืองฐานเสียงกทม ดาบ = โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สาขารัชดา วิธีการฆ่า = การสร้างเรื่องให้เห็นว่าอาบ อบ นวด ของ โกลัก ใกล้กับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาดังกล่าว คนที่ถูกฆ่า = สถาณอาบ อบ นวด เอไลน่า ท่านผู้อ่านพอเห็นสมการลางๆ แล้วหรือไม่ นายชูวิทย์ ต้องการจะปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นสส อยู่ เลยต้องทำการค้นคว้า โจทย์คือจะทำอย่างไร ไม่ให้สถาณที่นี้เปิดได้ สิ่งที่พบคือ อาบ อบ นวด แห่งนี้ อยู่ตรงข้ามโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พอดี ดังนั้นวันหนึ่งจึงไปเีรียกนักข่าวทั้วเมืองให้มาถ่าย แล้วก็ป่าวประกาศว่าแบบนี้ัมันใช้ไม่ได้ มันยั่วยุ มาเปิดใกล้ๆ โรงเีรียนแบบนี้ได้อย่างไร นักข่าวพอเห็นข่าวนี้ ก็เหมือนเห็นเนื้อชิ้นใหญ่ จ้วงกันเสียไม่มีชิ้นดี พอสาวๆ ไปมากๆ ก็ไปถึง กองบัญชาการตำรวจนครบาลที่เป็นด่านสุดท้ายในการให้ใบอนุญาติ ตำรวจก็พูดไม่ออก ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ว่า ตามกฎหมายในเรื่องระยะทาง ให้เปิดได้ แต่จะไปลองพิจารณาดูอีกที เป็นอันว่าชูวิทย์ชนะยกแรกเรียบร้อย เพราะเกิดคลื่นในสังคมเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว และพอประชาชนอ่านข่าวเรื่องนี้มาก นักข่าวก็ยิ่งขุดมาก คนก็ยิ่งอ่านมากขึ้นอีก เหมือนเป็นแรงส่งซึ่งกันและกัน แล้วพอถึงจุดหนึ่ง นักการเมืองท้องถิ่น ก็ทนไม่ได้ ต้องก้าวเข้ามา แล้วก็ออกแถลงการณ์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็เห้นตรงกันว่าไม่ควรเปิด เป็นอันว่าชูวิทย์ชนะอีก เรื่องราวทำท่าจะไม่ค่อยดี สำหรับโกลัก ที่ลงทุนไปถึง ร่วม 200 ล้านบาท จะมาพังพาบเอาต่อหน้าต่อตา โกลักจึงไม่ยอม ขอสู้โดยผ่านเวทีสังคม และจะใช้สื่อเป็นเครื่องมือบ้าง โดยการมาออกรายการ ถึงลูกถึงคน ที่มี rating สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยมาเผชิญหน้ากับ นายชูวิทย์ในรายการ โดยคุณสรยุทธ สุทัศนจินดา พิธีกรของรายการค่อนข้างแน่ใจว่า จะมีการปะทะกันแบบเืลือดเดือดแน่ๆ เลยจัดให้ทั้งสองอยู่คนละห้องกัน โดยประเด็นที่ชูวิทย์บอกออกทีวีก็คือเรื่องเดิมว่า ไม่ควรจะสร้าง เพราะมันไ่ม่เหมาะสม ก็ว่ากันไป แต่สำหรับโกลักนั้น มาพร้อมทนายความและได้นำหลักฐานมาแฉชูวิทย์หลายเรื่อง ในการออกทีวีนั้น โกลักก็ทำให้ชูวิทย์เพลี่ยงพลำ้ในหลายๆ เรื่อง โดยที่ถ้าเป็นคนที่รู้จักวงการนี้ดีจะบอกได้ สำหรับประเด็นที่ใหญ่ๆ มีสองเรื่อง ดังนี้ ชื่อของผู้ถือหุ้น กิจการแห่งหนึ่งของนายชูวิทย์ โดยนายชูวิทย์อ้างว่าไม่รู้จัก แต่พอโกลักรุกหนักๆ ว่าแน่ใจนะว่าไม่รู้จัก ชูวิทย์ก็เหมือนจะไหวตัวทัน โดยอ้างพลิ้วไปว่า อ้อ จริงๆ เป็นลูกน้อง แต่โกลักก็ซ้ำเลยว่า นี่เป็นภรรยาของคุณ ชูวิทย์ไม่ยอมตอบ ยังคงยืนยันว่าเป็นลูกน้อง โกลักก็หัวเราะ โกลัก อ้างว่านายชูวิทย์เคยพยายามซื้อที่ดินแปลงที่ทำเอไลน่านี้ทำเป็นอาบ อบ นวดเหมือนกัน เพราะต้องการ monopolize ธุรกิจตัวนี้บนถนนรัชดา นายชูวิทย์ก็สวนกลับทันทีว่า ไม่จริง โดยใช้ตรรกะว่า ผมมีอยู่สามแห่งแล้ว บนถนนรัชดา จะไปเปิดอีกทำไม ซึ่งถ้าเป็นผู้ชมที่ไ่ม่เข้าใจธุรกิจตัวนี้ และนำตรรกะแบบธุรกิจทั่วไปที่นายชูวิทย์บอกมาคิด ก็อาจจะเชื่อ แต่ในความเป็นจริืงแล้ว ตรรกะดังกล่าวใช้กับธุรกิจ อาบ อบ นวดไม่ได้ เพราะลูกค้านั้นมีไม่จำกัด ยิ่งเปิดมากก็ยิ่งขายดีมาก เปิดติดๆ กันไปยิ่งดี คนไม่ชอบเด็กที่หนึ่ง ก็เดินไปอีกที่หนึ่งได้ ไม่ต้องนั่งรถไป เงินทองไม่รั่วไหล แต่จะมีคนดูกี่คนที่ดูทางนายชูวิทย์ออกก็ไม่รู้ คนที่ดูก็จะเห็นว่า นายชูิวิทย์ พลิ้วมาก มีหลักการ มีอารมณ์ขัน มี action เป็นจังหวะๆ ไป ในขณะที่โกลักนั้น พูดจาอย่างเกรี้ยวกราด มีอารมณ์ และออกเสียงภาษาไทยไม่ชัด ตามประสบการณ์แล้ว ชูวิทย์ซึ่งออกทีวีมาหลายครั้ง จึงมีวิทยายุทธในการออกสื่อได้เหนือกว่า โกลักมาก เป็นอันว่าโกลักก็แพ้ไปอีกที ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านก็คงจะสงสัยแล้วว่า ผมมองนายชูวิทย์ในแง่ร้าย ก็อาจจะพูดเช่นนั้นได้ แต่ผมไม่ได้มองเขาในแง่ร้ายเพราะเขามีหนวดแหลม หรือ เป็นเจ้าของกิจการโสมมแต่อย่างใดไม่ แต่ผมดูจากสิ่งที่เขาทำมาตลอดในอดีต จริงๆ แล้วนายชูวิทย์เคยเป็นข่าวมาตั้งแต่ คดีสั่งรื้อบาร์เบียร์ การแฉตำรวจแบบครึ่งๆ กลางๆ ใช้แต่ชื่อ ย่อ พอมีตำรวจมาถามว่าใครก็ไม่ยอมบอก ทำให้ตำรวจต้องไปสุ่มย้าย มีตำรวจที่ไม่ได้รุ้เรื่องโดนย้ายไปหลายคน แล้วก็มีการตั้งพรรคใหม่ จะทำเพื่อประชาชน พอมีคนดีคนเก่งมาร่วมด้วย ก็ลอยแพเขาเสียเฉยๆ แบบนั้น พรรคก็ต้องยุบ แล้วไปอยู่พรรคใหม่ มาเป็นนักการเมือง แล้วก็มีกรณีหมิ่นเหม่เรื่องนี้อีก ถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่ผิดเลยครับ ทุกอย่างถูกกฎหมาย แต่ถ้าถามว่า นายชูวิทย์คนนี้น่าไว้ใจหรือไม่ ผมว่า ไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย นับว่าเป็นเดชบุญของคน กทม ที่ไม่ได้เอาคนคนนี้มาเป็น ผู้ว่า ตอนที่เขาลงรับสมัคร ล่าสุดสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ชูวิทย์ชนะขาดไปแล้ว โดยทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีคำสั่งไม่อนุมัติใบอนุญาติสถาณประกอบการ เอไลน่า ส่วนตัวโกลักเองก็ออกมาออกข่าวว่า ไม่ฟ้อง (จากที่เคยขู่ว่า ถ้าไม่ให้อนุญาติจะฟ้อง กองบัญชาการตำรวจนครบาล) จะขออำลา ไม่ทำอะไรแล้ว ถามว่าทำไมโกลักถึงยอมถอยง่ายๆ คำตอบก็คือ มีคนที่ใหญ่กว่า “มาก” เบื้องบน สั่งมาให้หยุด ถ้าไม่หยุด มีเรื่อง แค่นั้นเองครับ ท่านผู้อ่านลองคิดดูเองละกันว่าเป็นใคร เมืองไทยก็มีแค่นี้ละครับ หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่า การที่อาบ อบ นวด เอไลน่าถูกปิดในที่นี้เป็นชัยชนะของฝ่ายศีลฝ่ายธรรมที่อ่อนกำลังเหลือเกินในสังคมยุคนี้ ก็คงจะสบายใจดีที่คิดแบบนั้นครับ แต่สำหรับวิรุฬห์ เห็นว่า ถ้าเราจะทำอะไรให้ถูกต้องนั้น ผลลัพธ์ นั่นไม่ใช่ประเด็นเดียวที่เราต้องคิดถึง แต่ต้องดู “ที่มา” + “กระบวนการ” ควบคู่กันไปด้วยครับ ถ้าที่มาและกระบวนการ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่ผลลัพธ์ไม่ได้ออกมาอย่างที่สังคมเห็นว่าควรจะเป็น อย่างน้อยเราก็ยังอธิบายให้ลูกหลานฟังได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ถ้าวันนึงเขาถามถึง
Wednesday, April 05, 2006
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment