Monday, January 15, 2007

น่าอ่าน กับ น่าเชื่อถือ

น่าอ่านหรือไม่ก็ว่ากันไปนะครับ แต่น่าเชื่อถือนี่ ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง
เพราะผมคิดว่า คนที่เขียนอะไร"น่าอ่านที่สุด" เหตุผลดูเหมือนจะดี จับโน่นจับนี่มาตัดปะ เอาสีข้างถูจนถึงเลือดนี่ล่ะ คือคนที่ "ไม่น่าเชื่อถือที่สุด"
เพราะฉะนั้นเราในที่นี้คงต้องแยกแยะกันหน่อยละครับ ว่าเราจะอยู่ในสังคมแบบที่ อ่านดีอ่านมันอ่านเพลิน จริงเท็จไม่ว่า (นิยายน้ำเน่า) หรือจะเอาแบบ อ่านไม่มันมาก ข้อมูลขัดแย้งแต่แผ่ความจริงทุกๆด้านอย่างเป็นธรรม ไม่เอาดีใส่ตัว ไม่เอาชั่วใส่คนอื่น (สารคดีชั้นดี)
การที่เราจะมองให้เห็นถึงความดีความชั่วของแต่ละคน เราต้องมองทะลุเปลือกลงไปให้ถึงแก่น เราต้องมองทะลุความสุภาพ เราต้องมองทะลุข้อมูลอ้างอิงมากมายที่ส่วนใหญ่ถูกบิดเบือนโดยที่เราตามไม่ทัน เราต้องมองทะลุความสงบเงียบที่ทำตัวเหมือนเป็นมืออาชีพ ลงไปให้ถึง "จุดประสงค์" ของคนๆ นั้น
จุดประสงค์จะเป็นตัวบ่งว่า คนๆ นั้น น่าเชื่อถือ หรือไม่น่าเชื่อถือ ถ้าเป็นจุดประสงค์ที่ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อความดีงามก็น่าเชื่อถือแน่ๆ แต่ถ้าสักว่าทำเพื่อตัวเอง นั่นก็ไม่น่าเชื่อถือ
คนที่นำข้อมูลมาบิดเบือน พูดความจริงเพียงด้านเดียว ไม่ยอมให้เห็นภาพทั้งหมด แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาทำให้เกิดประโยชน์ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมว่าประเทศชาติจะพินาศฉิบหายเพียงใด
มันผู้นั้นคือคนที่เลวทราม ต่ำช้า และบัดซบที่สุด
ไม่ได้ออกนอกเรื่องเลยนะครับ คิดว่าผมพูดถึงใครก็ลองคิดๆ กันดูเองก็แล้วกัน
ขอไม่ Vote นะครับ เพราะผมคิดว่า ทุกๆ ท่านในที่นี้ (ยกเว้นคนเดียว) ต่างก็เป็นผู้มีเกียรติที่น่า"เชื่อถือ"ทั้งสิ้น ใครจะมีความสามารถในการเขียนมากหรือน้อย ใครจะชอบเขียนมากหรือน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอให้มีความจริงใจต่อกัน และต่อส่วนรวมก็พอแล้วครับ

Sunday, January 14, 2007

ทักษิณแฟนคลับ กับ สุวรรรณภูมิ

มาจนได้ ทักษิณ แฟนคลับ ชอบยกตัวอย่างเกินตัว เอาประเทศที่เขาพัฒนาจนสุดกู่แล้วมาเปรียบเทียบกับตัวเอง แถมเปรียบเทียบแบบผิดๆ ถูกๆ ไม่ดูตามาตาเรืออีกต่างหาก

-----------------
มีการจ้างงานในสนามบินวันละ 56,000 คน ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ประชากร 50,000 คนที่ใช้กำหนดสถานะการเป็นเมืองที่ใช้อยู่ในสหรัฐฯ ในพื้นที่ดังกล่าวมีทางมอเตอร์เวย์หลักสองสายที่เชื่อมสนามบินกับตัวเมืองอัมสเตอร์ดัม และพื้นที่อื่นๆ ของเมือง มีสถานีรถไฟสมัยใหม่ซึ่งอยู่ใต้อาคารผู้โดยสารเชื่อมโยงการเดินทางของสนามบินเข้ากับใจกลางของเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเชื่อมโยงกับส่วนต่างๆ ของประเทศเนเธอร์แลนด์และภูมิภาคโดยรอบภายในทวีปยุโรป
-- เป็นสนามบินที่ดี ก็ขอให้ดีต่อไป แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเป็นเมือง
ภายในอาคารผู้โดยสารของสนามบิน Schiphol จะมีศูนย์การค้าสมัยใหม่ ประกอบด้วย ช็อปปิ้งอาเขต และแหล่งบันเทิงที่กว้างขวาง ซึ่งผู้โดยสารและประชาชนทั่วไปสามารถใช้บริการได้ก่อนที่จะผ่านเข้าไปยังด่านศุลกากร ผู้โดยสารเครื่องบินจะเดินผ่านทางเดินในอาคารที่มีร้านขายของแฟชั่น ภัตตาคาร มุมกาแฟแบบดัทช์แท้ๆ อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ และซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารดีๆ ส่วนกลุ่มร้านค้าปลีกที่เรียกว่าร้าน See Fly Buy จะอยู่ในเขตพื้นที่ส่วนที่ต่อจากด่านศุลกากรเข้าไปในพื้นที่เขตนี้จะมีภัตตาคารทุกประเภท ธนาคาร ศูนย์ธุรกิจ ตลอดจนห้องอบซาวน่า นวดตัว หรือพักผ่อนเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง จากการสร้างเป็นอาคารผู้โดยสารที่มีศูนย์การค้าเช่นนี้ ทำให้สนามบิน Schiphol มีรายได้เพิ่มจากการให้เช่าและจับจ่ายใช้สอยของผู้โดยสาร

-- พื้นที่การค้าในสนามบินเขาก็มีกันมโหฬารทั้งนั้น ที่ SFO นี่แทบจะเป็นห้างอยู่แล้ว ก็ดีแล้ว แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเมือง

นอกจากนี้สนามบินสามารถดึงดูดประชาชนที่พักอาศัยในกรุงอัมสเตอร์ดัมให้มาช็อปปิ้งและหาความบันเทิงในอาคารสนามบินเฉพาะส่วนพื้นที่สำหรับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาทิตย์ เมื่อร้านค้าปลีกส่วนใหญ่ในเมืองไม่เปิดขาย-- ก็ห้างชานเมืองธรรมดา แต่อยู่ในเขตสนามบิน คนก็ต้องขับรถไปช๊อป แล้วห้างบ้านเราเปิดเจ็ดวันจะกลัวอะไร
สำหรับพื้นที่ซึ่งอยู่ตรงข้ามอาคารผู้โดยสารของสนามบิน Schiphol คือ World Trade Center ที่มีศูนย์ประชุมและการพาณิชย์ ตลอดจนสำนักงานภูมิภาคของบริษัทต่างๆ เช่น Thomson, CFS และ Unilever อีกทั้งมีโรงแรมระดับ 5 ดาว สองโรงติดกับศูนย์นี้ สำหรับในพื้นที่ซึ่งห่างออกไปขนาดเดิน 10 นาที จะเป็นกลุ่มอาคารสำนักงานคุณภาพระดับสูง ซึ่งเป็นที่ตั้งของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบินและบริษัทต่างประเทศด้านบริการทางพาณิชย์และการเงิน มูลค่าทางพาณิชย์ของทรัพย์สินเหล่านี้จะเห็นได้จากค่าเช่าสำนักงาน ซึ่งสามารถเรียกเงินกินเปล่าได้สูงมาก การค้นคว้าวิจัยของบริษัท Jones Lang LaSalle ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ แสดงให้เห็นถึงค่าเช่าสำนักงานในพื้นที่สนามบินเมื่อปี พ.ศ. 2543 ซึ่งโดยเฉลี่ยมีราคาตารางเมตรละ 363 ยูโรต่อปี เทียบกับในกลางเมืองอัมสเตอร์ดัม ซึ่งมีราคาตารางเมตรละ 250 ยูโรต่อปี และในเขตชานเมืองอัมสเตอร์ดัมที่มีราคาตารางเมตรละ 226 ยูโรต่อปี ทั้งนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2540 และ 2545 อัตราค่าเช่าพื้นที่สำคัญๆ ของสนามบิน Schiphol เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 65

-- อันนี้เป็นข้อความที่ ทำให้เกิดความขัดแย้งกันเองของสิ่งที่ ทักษิณแฟนคลับกำลังจะนำเสนอ เพราะนี่คือพื้นที่การค้าชั้นนำ เรื่องโรงแรม หรือศูนย์การประชุมใกล้สนามบิน ใครๆ เขาก็ทำ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเป็นเมือง มันเป็นธุรกิจ แต่จะให้เห็นว่า มันก็คือข้ออ้างเรื่องความสำเร็จของธุรกิจที่อยู่ใกล้สนามบิน ชานเมือง ของประเทศ เนเธอร์แลนด์ ซึ่งโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ รายได้ต่อหัว เทียบกับค่าครองชีพแล้ว ต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้มีอะไรมา การันตีว่า เราจะประสบความสำเร็จเหมือนเขา คนไทยเราชอบทำเลียนแบบโดยไม่ได้ดูให้ลึกอยู่ประจำ เปิดหนังสือสวย ก็เอาแบบนี้เลย นอกจากนี้ตลอดริมเส้นทางมอเตอร์เวย์ A4 และ A9 ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางพาณิชย์ของสนามบินประมาณ 500 และ 1,000 เมตร จะมีกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค กลุ่มธุรกิจ กลุ่มโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กลุ่มศูนย์จัดจำหน่าย กลุ่มศูนย์ข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร และศูนย์เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งบริษัททั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับผู้ที่ต้องใช้สนามบินในการทำธุรกิจทั้งสิ้น

-- ยินดีด้วย ก็ไม่เห็นมีใครบอกว่าเป็นสนามบินที่ไม่ดี แต่ไหน ขอดูแผนทำบ้านจัดสรร โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด ระบบรถเมล์ของเมือง บ้านพักคนชรา สวนสาธารณะ สนามกีฬา รอบสนามบินแห่งนี้หน่อย มีหรือไม่ ถ้ามี เกิดเป็นวงจร living – working – playing ได้ครบเมื่อไหร่ นั่นคือเมือง ไม่งั้นก็เป็นแค่สนามบิน ที่มีห้างอยู่แค่นั้น เอามาเปรียบอะไรกับ กรณีสุวรรณภูมิ ไม่ได้เลย

แล้วไอ้งานของ Wayne County ที่ Michigan เนี่ย ดูใน Plan ก็อย่างหนึ่ง เป็นเมืองล้อมสนามบิน ด้วย ย่านธุรกิจ แล้วกระจายออกไปเป็นที่อยู่อาศัย แต่ทำไม่ดูใน Perspective ก็เหมือนเป็นเมือง ที่แยก ออกมาจากสนามบิน แล้วมีถนนเชื่อม? แล้วทำไม พูดทุกเรื่อง ไม่พูดเรื่อง สิ่งแวดล้อมเลย

ทักษิณแฟนคลับ ช่วยลองไปทำการบ้านมาหน่อย วันหลังแทนที่จะนั่งอ่านอย่างเดียว ช่วยอ่านแล้วใช้สัญชาติญาณคิดหน่อยว่า เรามีอะไรเหมือน ประเทศฮอลแลนด์บ้าง คนที่โน่นรายได้มหาศาล แต่ของที่เขาซื้อ ราคาไม่ได้ต่างกับเรามาก รถยนต์ราคาถูกกว่าด้วย ของประเทศเรา ห้างชานเมืองที่ออกจากรัศมีความรวยของใจกลางกรุงเทพแล้ว มีห้างไหนที่อยู่รอด หรูหรา โดยไม่ต้อง down grade ห้างตัวเองลงไปให้คนแถวๆ นั้นเดินได้บ้าง แล้วพอ downgrade ตัวเองแล้ว จะคิดค่าเช่าแพงได้หรือไม่ ประเทศเรา นอกจากนายเหนือหัวของคุณแล้ว มีใครไปซื้อของราคาแพงๆ ได้เป็นประจำบ้าง ประเทศไทย คนเดินห้างสรรพสินค้า มีการซื้อแค่ 10% แต่ประเทศพัฒนาแล้ว คือ 70% คนทุกๆคนในสังคมของเขา ไม่ว่าจะเป็นยาม เป็นชาวนา ขับแท๊กซี่ เป็นคนกวาดถนน เขาไปเดินและซื้อของในห้างหรูๆ ได้ แล้ว ประเทศเราเป้นแบบนั้นหรือเปล่า อย่ามาอ้างว่าที่ ฮอลแลนด์ประสบความสำเร็จได้ เราก็ทำได้ มันคนละเรื่อง

แล้วไหนที่เกี่ยวกับเมืองบ้าง

แล้วไหน ประชาพิจารณ์?

ในบทตวามของ Dr. Sekada พูดถึงเรื่อง ที่อยู่อาศัยแค่ประโยคเดียวคือ Job growth, in turn, stimulates residential projects—further fueling Aerotropolis development. Airport areas are even developing their own “brand” image—“the DFW Area” and “the O’Hare Area,” for instance.

ไม่มีใครเถียงคุณว่า มันควรจะมีแผนพัฒนาการเจริญเติบโต ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ทีทำงาน ประหยัดเวลาเดินทาง แ่ต่ เราต้องดูปัญหาของเราเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ปัญหาตอนนี้ นอกจากเรื่องน้ำและเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ก็คือปัญหาเรื่องการจัดการ อำนาจสิทธิขาดของนายกรัฐมนตรี ต่อ มหานครสุวรรณภูมิ (Shin City) เขามีอำนาจมากเกินไปหรือเปล่า แล้วผลประโยชน์ ที่จะเกิดจากการซื้อขายที่ดินแถวๆสุวรรณภูมิ อยู่ในมือใคร

เออ ทักษิณแฟนคลับช่วยบอกหน่อยสิว่า ทำไมวิษณุ และ บวรศักดิ์ถึงได้ลาออก แต่สามห่วง วาสนา ปริญญา วีรชัยยังไม่ลาออก อย่ามาบอกว่า เขาทำตามหน้าที่ คนทั่วไปยกย่องเขานะ เพราะว่า คนที่ผมรักมากที่สุดในโลกสองท่านได้ ไปงานใส่ชุดข้าราชการเต็มยศ เพื่อรับเสด็จตอนเสด็จออกสีหบัญชร เจอวาสนา แกนั่งอยู่ ท่านทั้งสองของผมก็ เดินไปเดินมา คุยกับแขกคนอื่นๆ ไม่ได้เข้าไปทักวาสนา เพราะไม่รู้จัก แต่สังเกตุได้ว่า ไม่ีมีใครแม้แต่คนเดียว เดินเข้าไปคุยกับวาสนา เลยในเวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมง “ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว” แ้ล้วทันใดนั้นพอวาสนา ลุกขึ้นเดิน คนก็แตกตื่น เดินหนีแหวกเป็นวงล้อม เดินหนีลูกเดียว เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนเดินเข้ามาทัก ไม่อยากพูดด้วย เหมือนตัวเชื้อโรคดีๆ นี่เอง นี่หรือคนที่ ทักษิณแฟนคลับบอกว่า ทำถูกทุกประการ สี่คนก็ได้ ไล่ก็ไม่ไป ทุกวันนี้เห็นแล้วว่าอุ้มใึคร แบบที่เราเถียงกันสมัยโน้นน นานมาแล้วน่ะ ถ้าทำถูกคนทั่วๆ ไปเขาจะสั่งสอนน้าหนาแกแบบนี้หรือ

คนอื่นเขาโง่กว่าคุณหมดเลยหรือเปล่า ทักษิณแฟนคลับ

จับผิด forthai.net

ตอบกระทู้ใน ASA
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ปี 2006

คุณ Santi ครับ ผมได้อ่านแล้ว ก็นับว่าเป็นข้อมูลอีกด้านที่น่าสนใจ แต่ผมบอกได้เลยครับ ว่าข้อมูลเหล่านี้ ผมซึ่งไม่ได้เป็นนักฎหมาย แต่อาศัยการเปรียบเทียบข้อมูลและการยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ แล้ว ข้อมูล ใน Forthai.net นั้น
"โกหก" ครับผม เอกสารชี้แจงทั้งหลายแหล่นั้น ถ้าคนอ่านไปเรื่อยๆ มันก็ฟังดูดีหรอกครับ แต่วิธีการอธิบายนั้นคือ วิธีการที่ เครือจักรภพอังกฤษ ทำมาแล้วทำจนครองโลกมาแล้ว คือ divide and rule เป็นการทำความจริงในภาพหลัก แยกออกเป็นส่วนๆ พอแยกออกเป็นส่วนๆ คนจะไม่เห็นภาพความจริงทั้งหมด แล้วพอแยกเป็นส่วนๆ ก็แก้ตัวเฉพาะส่วนนั้น จบ แต่มันไม่ได้แก้ความเป็นจริงเลย

เอกสารอธิบายเรื่องต่างๆ เรื่องการขายหุ้น ชินคอร์ปที่มีอยู่ 6 หมวด ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพ ก็เหมือน การเล่นกล่องหมุน 6 สีที่เราเคยเล่นกันเด็กๆ ถ้ามองแต่ละด้าน สีสันดูดี แต่ถ้าจะแก้เกม มัวแต่ดูด้านเดียว แก้ไม่ได้แน่ๆ ต้องแก้โดยการหมุนไปมา จึงจะแก้ได้ เห็นสีสันที่หมดจด 6 ด้าน กรณีการแก้ตัวของ Website นี้ก็เช่นเดียวกัน วิธีการง่ายๆ คือถ้าท่านสังเกตุดีๆ ลองอ่านหนึ่งข้อ แล้วเปรียบเทียบกับ 5 ข้อที่เหลือ แล้วอ่านข้อสอง เปรียบเทียบกับห้าข้อที่เหลือะ จะเห็น Inconsistency หรือ ความไม่ตรงกันเองละครับ

เอาง่ายๆ ตรงนี้เลย ขอ Quote นะครับ จาก บทที่ 3 การมีต่างชาติถือหุ้นใหญ่ในบริษัท
โทรคมนาคม

---------

เชนกรณีโทรทั่วไทย 1 ชั่วโมง จาย 1 นาที (หากจาย 2 บาท/นาที เทากับ นาทีละ 3.3 สตางค ที่อเมริกา นาทีละ 15 เซ็นต เทากับ 6 บาท มากกวาบานเรา 181 เทา, ที่ออสเตรเลีย นาทีละ 25 เซ็นต เทากับ 6.25 บาท/นาที มากกวาบานเรา 189 เทา, ที่จีน นาทีละ 50 เซ็นตหยวน จายทั้งผูโทรออกและรับเขา เทากับ 5 บาท/นาที มากกวาบานเรา 151 เทา ทั้งหมดนี้แคโทรในเมืองเดียวกัน ทั่วประเทศแพงกวานี้มาก) ขณะที่ตนทุนอุปกรณและการเงินของเราแพงกวา มีแคบริหารตนทุนและคาแรงไดต่ํากวาเทานั้น

-------------
อันนี้คือ โกหก ตอแหล แน่นอนครับผม ผมนี่ล่ะอยู่ในสหรัฐอเมริกา จ่ายค่ามือถือเดือนละ $50 หรือ ประมาณ 2000 บาท โทรได้ 1500 นาที และบริการเสริมอื่นๆ ถ้าคิดซะว่าบริการพวกนั้นได้มาฟรี ก็ตกค่าโทร เท่ากับ 1.3 บาท ต่อนาที แค่นี้ก็ผิดแล้ว แล้วไอ้ที่บอกว่า โทรในเมืองไทย 1 ชั่วโมงจ่าย 1 นาทีนี่ ผมขอท้าเลยว่ามันคือ promotion ไม่ใช่การใช้ปกติ ทั่วไป มีใครใน Web ASA โทร 1 ชั่วโมง จ่าย 1 นาที มาเป็นเวลาสามปี แล้วบ้างครับ เพราะผม จ่ายอัตราในอเมริกาอัตราประมาณ ที่กล่าวไว้ มา สามปีแล้ว

ตัวคุณท่านๆ เอง หรือผู้บริโภค นั่นล่ะ ที่จะตอบได้ ว่าไอ้ค่าโทรศัพท์ที่เราโทรอยู่เนี่ย มันถูกหรือเปล่า

นี่อย่าลืมนะครับว่า นี่เป็นเพียงการวัดจากเงินต่อเงิน ไม่ได้วัดเปรียบเทียบจากค่าครองชีพของคนอเมริกันกับคนไทยซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คุณสมควรจะวัดมากที่สุด GDP (Gross Domestic Product) ในปี 2005 ของสหรัฐอเมริกา ต่อประชากร 1 คน คือ 39,935 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,597,400 บาท ต่อปี แต่เมืองไทยคือ 2,521ดอลลาร์ ต่อปี หรือประมาณ 100,840 บาท ต่อปี ต่างกันไม่มากครับ ประมาณ 15 เท่า

แล้วไอ้ประเด็นของเรื่อง ที่ยกขึ้นมานี่ ก็คือจะอ้างว่ารัฐบาลไทยจำเป็นจะต้องมีการให้ คนต่างชาติเข้ามาถือหุ้น เพื่อส่งเสริมการลงทุน รัฐบาลไทยไม่เคยช่วยกิจการ telecom เลย ทำให้แพง (อย่างที่บอกแล้วว่าไม่แพง) ก็ต้องถามกลีบไปว่า สิ่งที่ควรช่วยที่ว่าเนี่ย มันสมเหตุสมผลหรือไม่ มีการลดหย่อยภาษี สัมปทานต่างๆ นานา ให้คุณ เพื่อให้คุณประกอบธุรกิจได้ถูกลง แล้วคุณทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้มือถือถูกลงเพื่อผู้บริโภคหรือเปล่า ไม่มี แล้วมีกฎหมายที่พอให้สิทธิ สัมปทาน ลดภาษีแล้ว อะไรแล้ว มีกฎหมายมาเป็น Cap ที่จะคุมราคาค่าบริการไม่ให้มากเกินไปหรือเปล่า ไม่มีอีก (บอกไปแล้วว่ามันไม่ได้ถูกกว่าอเมริกา) มีแต่ไปทำให้หุ้นคุณขึ้น แล้วคุณก็ขาย ได้กำไรมหาศาล ใครได้ ? ก็มีแต่คุณ กับผู้ถือหุ้น รัฐบาลได้อะไร ไม่ได้อะไร เพราะยกเลิกสัมปทานไป แล้ว แล้วคนไทยได้อะไร ไม่ได้ เพราะค่ามือถือก็แพงเหมือนเดิม แล้วจะให้รัฐบาลเอาเงินภาษีของคนไทย ไปส่งเสริมให้กิจการพวกคุณแข็งแกร่งดีวันดีคืนเพื่ออะไร ? ถ้ากำไรของคุณไม่เคยกลับคืนสู่สังคมเลย

แล้วไอ้ทีสนธิ ใช้ดาวเทียมถ่ายทอด คำมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นดาวเทียมถ่ายทอด เขาขอใช้สัญญาณถ่ายทอด (เป็นลูกค้า) ไม่ได้มีสิทธิ เข้าไปควบคุมการใช้ เพื่อใช้ในการจารกรรม ต่างกับความเป็น “เจ้าของ”ที่ชินมี (ชื่อดาวเทียมสะกดว่า ไ-ท-ย-ค-ม ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเล่นๆ) แล้วเอาความเป็นเจ้าของสัมปทาน ไปให้กับสิงคโปร์ อันนี้สิเปิด Access ให้ สิงคโปร์ มันพูดกันคนละเรื่อง ไปไหนมา สามวาสองศอก

ส่วนเรื่องยูคอม ก็เหมือนเดิมคือ เห็นสุนัขถ่ายกลางถนน เราก็น่าจะถอดกางเกงถ่ายบ้าง นั่นเอง บริษัทธุรกิจไทย ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย และมือกฎหมาย มาทำการค้า เขาเป็นนักธุรกิจ แต่นี่ คุณคือ “นายกรัฐมนตรี” ต้องทำตัวเป็นประชาชนตัวอย่าง ไม่ใช่หาช่องโหว่ เพื่อเป็นตัวอย่างให้คนหาช่องโหว่ทั้งประเทศ แล้วประเทศชาติเราจะเป็นอย่างไร

สุดท้ายนี้ นี่เลยครับ
Quote

3.17 นายสนธิยังผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 39 วรรค 1 ทั้ง 4 ประเด็น เพราะ (1) พยายามลมรัฐบาล (2) หมิ่นประมาทและละเมิดสิทธิสวนบุคคลอื่น (3) กอม็อบ และ (4) เนื้อหาหยาบคาย

บุคคลยอมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจํากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทํามิได เวนแตโดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแหงกฎหมายเฉพาะเพื่อ (1) รักษาความมั่นคงของรัฐ (2) เพื่อคุมครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเปนอยูสวนตัวของบุคคลอื่น (3) เพื่อรักษาความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือ (4) เพื่อปองกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน

-------------------

ดูกันทีละวรรคนะครับ

“รัฐ” ไม่ได้แปลว่า “รัฐบาล” แล้วเขาไม่ได้จะล้มรัฐบาล เขาต้องการให้นายก “ออกไป”
ถ้าคิดว่าโดนหมิ่นประมาทก็ไปฟ้องเอาสิ จะไ้ด้ไปพิสูจน์กันในศาลว่าใครจริงใครโกหก
เขาก็ไ่ม่เห็นไป ตีรันฟัน แทง เผาบ้าน อะไรใครนี่ ก็ชุมนุมกันโดยสงบ ขนาดวันนี้ไปที่สยามพารากอนนึกว่า เมืองจะเป็นอัมพาต รถก็ไ่ม่เห็นติด แล้วคนที่เขาเลือกจะมาก็มากันเอง ไม่ได้บังคับ ถ้าจะตีความว่าการก่อม๊อบไม่เป็นการรักษาความสงบ นี่มันประเทศ Communist แล้ว กลับไปยุคเผด็จการที่ห้ามมีการชุมนุมมากกว่า ห้าคน ออกกฎหมายมาเลย
คำหยาบคา่ย มีแน่ แต่ไ่ม่ใช้เนื้อหา คนไปฟังก็รู้ๆ กันอยู่

นี่ละครับ www.forthai.net

ผมอ่านแล้ว ก็หัวเราะก๊ากเลย ถ้านี่คือรัฐบาลของประเทศไทย ชี้แจงแบบนี้ นี่มันตลกคาเฟ่ชัดๆ หลอกได้แต่คนที่ไม่ไ่ด้ติดตามข่าวสารข้อมูลเท่านั้นละครับ หลายๆ ท่านอยากอ่านแล้ว มาลอง Post ดูกันก็ได้ แต่ผมว่า ถ้าโกหก หนักขนาดเท่าที่ จับได้แค่นี้ ที่เหลือก็ เศษขยะครับ

ถ้าอยากหัวเราะดังกว่านี้ ไปที่่ Web พรรคไทยรักไทย ที่มีการชี้แจงคำถาม 40 คำถามของสนธิ ดีกว่า อันนั้น ฮากว่าเยอะ ยิ่งกว่า ไปไหนมาสามวาสองศอกอีก แต่เป็นแบบที่่ว่า ถามว่า ไหนแบบที่จะส่งพรุ่งนี้ แต่ตอบมาว่า สถาปนิกมีหน้าที่สร้างสรรค์สังคม เพื่อสิ่งแวดล้อมอันดีงาม ฟังดูดี แต่ไม่ได้ตอบอะไรเลย บางอันยิ่งตอบแล้วยิ่งเข้าีตัวเองหนักขึ้นอีก ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรค คนแรกที่ไล่ออกเลยคือ หัวหน้าฝ่าย PR

การเมืองบ้านเรา กำลังจะมี Joke ราคา สองพันกว่าล้าน เล่นโดยคนไทยทั้งประเทศ วันอาทิตย์นี้ ส่วนผมไม่ีมีโอกาสได้เล่น ไ่ม่ใช่เป็นเพราะจะนอนหลับทับสิทธิ์นะครับ แต่เป็นเพราะสถาณกงศุลใน นคร ลอส แองเจลลิส ได้ทำการปิดการลงทะเบียนใหม่ ทันทีหลังประกาศยุบสภาหนึ่งวัน คนที่จะมีสิทธิเลือกต้งคืนคนไทยเคยเลือดมาแล้วเท่่านั้น

ขอให้สนุกๆ ครับ

มันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?

ขอเห็นต่างกับ คุณ somtui54 หน่อยนะครับ

เขียนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2006


กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย – ผมก็ไม่เห็นพวกที่ต่อต้านเขาจะทำอะไรนอกจากรวมตัวกันชุมนุม ตามกฎหมาย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจาก “ด่า” เท่านั้นเอง เขาไม่ได้เอาปืนมาไล่นายกนะครับ นั่นสิกฎหมู่จริงๆ นายกแกยุบสภาไปเอง ใครบอกให้แกยุบ ใครจะทำอะไรแกได้ อำนาจล้นฟ้าขนาดนั้น แล้วถ้าฟังกันจริงๆ ก็มีแต่คำถามทั้งนั้น ที่ถามนายกรัฐมนตรี แต่นายกไม่เคยตอบ ตั้งแต่ เรื่อง ปตท เรื่อง การไฟฟ้า เรื่องเครื่องบิน C130 เรื่อง CTX เรื่อง สมเด็จพระสังฆราช เรื่อง อะไรต่อมิอะไร อีกอย่าง คุณลองดูคนที่คุณบอกว่ามาใช้ กฎหมู่ ที่ว่า มีใครบ้าง คุณจะเห็นได้ว่ามีเกือบทุกๆ คน ตั้งแต่ พระ นักเรียน นักศึกษา สื่อ พนักงานของรัฐ นักธุรกิจ ครู ข้าราชการ เกือบจะทุกคนแล้ว คนพวกนี้ไม่ใช่พวกไม่มีสมอง ผมก็รอมานานแล้วว่าเมื่อไหร่นายกจะตอบคำถาม ถ้านายกตอบแบบ clear ๆ ไปเลย ใครจะนั่งชุมนุมอยู่ ถ้านายกตอบได้ทุกคำถาม คนก็ยอมรับ ก็จะเหลือคนไม่กี่ร้อยมาชุมนุมซึ่งจะไม่มีความหมาย แต่นี่มีคนเป็นแสนๆ มาชุมนุม เขาเป็นคนที่ถูกหลอกหรือครับ เขาเป็นคนที่ชักจูงได้หรือครับ หรือว่า รับเงินมา คนเป็นแสนๆ เนี่ยนะครับ ? ว่าแต่คุณ somtui54 เคยฟังคนที่คุณประนามเขาว่าเป็นพวกใช้กฎหมู่บ้างมั้ยครับว่าเขาพูดอะไรกันบ้าง?

ฝ่ายค้านไม่เลือกตั้ง – ต้องถามว่า ถ้าคุณ somtui54 เป็นนักกีฬา จะเข้าไปแข่งในการแข่งขันที่รู้แน่ๆ มั้ยครับว่า ต้องถูกโกง กรรมการ ก็ของเขา (กำนัน นายอำเภอ ตำรวจ) กฎก็ของเขา (กติกา กกต กฎหมายใหม่ etc) เขาตั้งเอง ทุกอย่าง แล้วแทนที่จะได้เวลาเตรียม 3 เดือน ดันให้แค่สองเดือนอีก ถ้าเกมมันไม่ชอบธรรมแล้วจะไปเล่นทำไม เสียเงินเสียเวลาเปล่าๅ นี่ไม่ได้แปลว่าผมชอบประชาธิปปัตย์นะครับ พวกนี้ก็ทำชาติพังไปทีนึงแล้วผมเห็นด้วย แล้วจนบัดนี้ยังตัดสินใจอะไรเด็ดขาดไม่ได้เลย แล้วจะไปเจรจากับพรรคไทยรักไทยอีก ไม่มีจุดยืนอะไรเลย แต่ผมอยากให้เห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งแค่นั้นเอง

คำถาม Classic ว่า ถ้าไม่เอานายกทักษิณแล้วจะเอาใคร ก็ต้องดู logic ที่ว่า คนเรามันมีระดับของ Toleration อยู่ ก็คือการยอมรับที่จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับความผิดเล็กๆ น้อยๆ ผมต้องถามคุณ somtui54 ว่า ถ้าคุณกับผมเป็นชาวนาคนหนึ่ง อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เราก็เจอผู้ใหญ่บ้านมามาก ทั้งบริหารงานห่วยแตก แล้วก็โกง วันหนึ่งเราเจอครูประชาบาลหน้าตาดี บุคลิกภาพดี พูดภาษาอังกฤษ เก่ง เราก็เคลื้ม เรามันชาวบ้านธรรมดานี่ เราก็เลือกเขาเป็นผู้ใหญ่บ้าน เขาก็มีโครงการใหม่ๆ ทำโน่นทำนี่ เต็มไปหมด ให้เราไปลงทุน มีโครงการพัฒนาหมู่บ้านไปเรื่อย แต่เรารู้ล่ะว่าเขาโกง เขาเอาเงินไปจ้างญาติๆ เขามาทำงานให้หมู่บ้านทั้งนั้น แต่เราก็ยอมเพราะว่า “ไม่รู้จะมีใครดีกว่านี้แล้ว”

แต่ถ้าวันหนึ่งลูกสาวพี่ เดินมาบอกพี่ว่า "พ่อๆ ครูเขาข่มขืนหนู ข่มขืนติดต่อกันมาสองปีแล้ว"พี่จะถามตัวเองอีกมั้ยว่า "เออ จะไปฆ่ามัน แต่ไม่รู้จะเอาใครมาเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อ"พี่คงไม่ถามแล้วแน่ๆ ไปฆ่ามันก่อนแล้วใครจะเป็นก็ช่างหัวมันใช่มั้ยสำหรับผมนี่ล่ะคือระดับความชั่วของนายกคนนี้ที่มันกำลังทำกับประเทศไทย มันไม่ใช่แค่รับประทาน แต่มันกำลังข่มขืนประเทศอยู่แต่ทีนี้มันมีอีก เรื่องนึง ถ้าเกิดว่าลูกสาวพี่ ไม่ใช่เด็กดีล่ะ อาจจะเป็นเด็กติดยามาก่อน เคยโกหกพ่อแม่บ่อยๆ แล้วก็อาจจะเคยนอนกับผู้ชายมาแล้วหลายคน ต่อให้ทำแท้งมาแล้วด้วยเอา พี่อาจจะไม่เชื่อก็ได้ใช่มั้ย

"เอ็งเอาอะไรมาพูด ครูเขาเป็นคนดี เขาไม่มาทำอะไรกับเอ็งหรอก อย่ามาโกหกข้าอีกนะ อีนังตัวดี ไปให้พ้น"อีกสองวัน ลูกสาวพี่ ผูกคอฆ่าตัวตายเลย ต่อมาเพื่อนๆ ของลูกพี่ ยืนยันว่าลูกพี่โดนข่มขืนจริง แถมพี่ยังรู้จากเพื่อนๆ ในหมู่บ้านอีกด้วยว่า ลูกสาวคนอื่นๆ ก็โดนเหมือนกันแต่ประเด็นก็คือ ต่อให้พี่เสียใจร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายเลือดมันก็ช้าไปแล้ว ลูกสาวพี่ตายไปเรียบร้อยแล้ว จะไปฆ่าไอ้ครูบ้านี่ให้ตายทั้งโคตร ลูกสาวพี่ก็ไม่พื้นคืนมาแล้วก็เหมือนคนที่ออกมาต่อต้านนายก เขาก็อาจจะไม่ได้เป็นคนที่มีประวัติศาสตร์ที่ขาวสะอาดมาก่อน แต่เราต้องดูว่า เรื่องที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่มีมูลหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเพราะเขาไม่ได้สะอาด เรื่องของเขาต้องเป็นเรื่องโกหกแน่นอน แล้วพอพี่เกิดไม่สนใจเรื่องที่เขาเตือน ปล่อยให้เวลาผ่านไป แผ่นดินที่เราอยู่ ก็อาจจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างเป็นของต่างชาติหมด แล้วพี่จะออกมาเดินขบวนต่อต้านนายกคนนี้ มันก็ช้าไปแล้ว เพราะมันก็ไม่สนแล้วเหมือนกัน ขายทุกอย่างให้ต่างชาติ จนหมดประเทศไปแล้ว เขาจะรวยเช็ดเม็ดเสียยิ่งกว่าตอนนี้อีกหลายเท่าตัว

กลับมาที่คำถามว่า ไม่เอาทักษิณแล้วจะเอาใคร ผมก็บอกเลยว่า “ใครก็ได้” ที่เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าประโยชน์พวกพ้อง ใครก็ได้ที่ไม่ได้สนแต่จะปั่น GDP ไม่ต้องจบปริญญาเอก ไม่ต้องเป็นนักธุรกิจพันล้าน ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษเก่ง

วันนี้ประเทศเราเพี้ยนไปมากแล้ว เราบอกกันว่า โกงก็โอเค แต่ขอให้ทำงานเถอะ วันนี้มันก็พิสูจน์แล้ว ว่าโกง มันก็ไม่โอเค ผมว่าเราควรจะเลือกคนที่มีเจตนาดีเพื่อสังคม แต่ไม่เก่งมาก ดีกว่าคนที่เก่งมาก เทห์มาก แต่มีเจตนาร้าย สนใจแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง

ถ้าคุณ somtui54 เป็นคนดีมีจริยธรรม แบบที่ผมกล่าว ผมยินดีที่จะ vote ให้คุณ

ไม่มีใครเถียงหรอกครับว่าไ้อ้เรื่องทั้งหลายที่เขาทำเช่น ขายหุ้น 73,000 ล้าน มันผิดกฎหมาย ก็เขาเขียนกฎหมายเองน่ะ แต่มันผิด”จริยธรรม” คนได้รับเงินช่วยเหลือจาก Tsunami ยังเสียภาษีเลย แล้วคุณเป็นใครไม่เสียภาษี แล้วตอนนี้เขาก็จะมาขึ้นภาษีเรา แต่พอการประท้วงรุนแรง นายทนง ลำไย ก็จะมาลดภาษีเอาใจคน แล้วก็ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ถ้าเขาเอา 73,000 ล้านของเขามาขึ้นให้นี่จะไม่ว่าเลย แ่ต่นี่มันเงินพวกเราชัดๆ นี่มันรัฐบาลหรือบริษัทกันแน่น

นายกเคยให้สัมภาษณ์ว่า คนที่เอาเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารบนเกาะต่างๆทั่วโลกเพื่อการหลบเลี่ยงภาษีนี่เป็นพวกไม่รักชาติ แล้วไม่ทราบใครมีบัญชีอยู่ที่เกาะ British Virgin Island ครับ?

ใครบอกว่าจะแก้กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ เวลาผมเข้ามาเป็นนายก ? พอเป็นแล้วกลับมาอ้างกฎหมายตัวนี้ ขายสัมปทานให้ต่างประเทศ จนหมด

ใครบอกว่ารู้ตัวหมดแล้ว พวกป่วนปักษ์ใต้ แต่จับไม่ได้สักคน

ใครบอกว่าจะไม่ถ่าย ไ่ม่ย้าย ไม่โอน องค์กรครู มาวันนี้จะโอนให้ อบต.

ใครบอกว่าจะแก้การจราจรในกรุงเทพให้หมดภายใน 6 เ้ดือน

คนที่พูดแล้วลืม ไม่รักษาสัจจะแบบนี้หรือครับทีุ่คุณว่า น่าจะมาเป็นผู้นำของเรา?

การบริหารที่คุณว่า เก่ง ถ้าคุณมีโอกาสที่จะทำธุรกิจที่คุณทำได้คนเดียว ผูกขาด แล้วตั้งราคาได้ตามใจชอบจะรวยหรือไม่

ถ้าคุณมีอำนาจในการสั่งลดภาษีให้องค์กรของคุณเองได้ ประหยัดไปเป็นหมื่นๆล้านจะรวยหรือไม่

ถ้าคุณมีอำนาจในการลดเส้นทางกำไรของการบินไทย แล้วเอาไปใหสายการบินตัวเอง ให้การบินไทยขาดทุนลงทุกวัน แล้วสายการบินของคุณเองกำไรทุกวัน คุณจะรวยมั้ย?

ถ้าสั่งแปรรูธุรกิจพลังงานที่มีกำไรมหาศาล แล้วเอาไปขายให้นักลงทุนต่างชาติ โดยที่นักลงทุนต่างชาติพวกนี้ไม่เปิดเผยตัวตน (ทำไม่เขาถึงไม่เปิดเผยล่ะ ถ้าเปิดแล้วคนจะรู้ว่าคือนักการเมืองแถวๆนี้ล่ะ) มีหุ้นในธุรกิจพวกนี้ บังคับราคาขายออกแรกๆ ให้ต่ำ แล้วพอเปิด ราคาก็พุ่งไปสูง แล้วคนที่ต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงๆคือใคร พวกเราใช่มั้ย แทนที่รัฐวิสาหกิจจะ ควบคุมราคาน้ำมันเพื่อประชาชน กลายไปเป็นคนกำหนดราคา สูบเลือดสูบเืนื้อเรา คุณจะรวยมั้ย ถ้าทำแบบนี้

เวลาขายการไฟฟ้า หรือ ปตท หรือ ดาวเทียม คิดบ้างมั้ยว่าแผ่นดิน ที่เวณคืนคนเขามาเป็นของบรรพบุรุษ ดาวเทียมก็เป็นของชาติ เป็นชื่อพระราชทาน สัมปทานที่เป็นสมบัติของประชาชน ดันเอาไปขาย Singapore ให้ต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของ

ล่าสุดนี่ Mega Project แทนที่จะค่อยๆ ไปนรกแบบ Argentina แต่จะนั่งรถด่วนไปเลย ไม่ขายแล้ว เอานี่เลยให้ต่างชาติเข้ามาทำโครงการไปทั้งโครงการแล้วก็ให้ตั้งราคาตามใจชอบไปเลย ไม่ต่างกับการที่เรามีลูกสาว แล้วนายกคนนี้เอาลูกสาวของเราไปเร่ขาย ถามว่าใครอยากนอนกับเด็กคนนี้บ้าง ให้เสนอราคามา ใครมีข้อเสนอดีๆ จะให้นอนด้วย แล้วก็เอาไปเร่ขายคนอื่นๆ โดยนักการเมืองก็ กินค่า Commission เหมือนเดิม ก็คือไม่ต่างกับแมงดา นั่นเอง

นี่หรือครับคนเก่งที่คุณว่า ? คุณเคยคิดมั้ยว่าในขณะที่คนจนในประเทศของเราเป็นหนี้เป็นสินจนลงๆ คนบางคนกลับมี ทรัพย์สินเพิ่ม จาก สองหมื่นล้านมาเป็นสองแสนล้านภายใน 5 ปี มันมีอะไรผิดปกติสักอย่างหรือเปล่า?

ผมจะรอฟังคำตอบนะครับ คุณ somtui54

การแก้ปัญหาการเลือกตั้ง สว.

แก้ปัญหาการเลือกตั้ง สว โดย Campaign “Vote Distribution”

เขียนเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2006

สถาณการณ์ในกทม การเลือก สว ต่างจากที่อื่น เพราะมี สว ได้หลายๆ คน คนที่จะได้รับเลือกคือ ได้คะแนนตามลำดับ

คนสมัคร สว นั้น มีอยู่ สี่แบบ
หนึ่ง คนดีและดัง
สอง คนดีแต่ไม่ดัง
สาม คนเหี้ยและดัง
สี่ คนเหี้ยและไม่ดัง

ปัญหาของโจทย์นี้คือ การได้รับเลือกตั้งไม่ได้อยู่ที่การเป็นคนดี แต่อยู่ที่การเป็นคนดัง ดังนั้นคนที่ได้รับเลือกตั้ง คือคนดีและดัง กับคนเหี้ยและดัง แต่ก็แน่นอนว่า ถ้าสังคมเรายังเป็นสังคมที่มีความดีมากกว่าความเลว (โดยเฉพาะสังคมที่เข้าถึงข่าวสารได้มากกว่าเช่นในกรุงเทพ) ถ้าว่ากันตามจำนวน คนที่เลือก คนดีและดัง ต้องมากกว่าคนเหี้ยและดังแน่ๆ

ไอ้พวก เหี้ย และไ่ม่ดัง ไม่ต้องไปสนใจมัน เพราะมันได้เสียงน้อยอยู่แล้ว

แต่ปัญหาคือ ทำไงจะให้คนที่ดีแต่ไม่ดัง จึงจะได้รับเลือกเข้ามาด้วย

วิีธีการทางทฤษฎีก็คือ การสู้ด้วยการ แบ่งปัน vote ออกไป

เช่นสมมุติว่า ถ้ามีการทำ Survey ผลที่ออกมาอาจจะ เป็นดังนี้

คนที่ดีและดัง เช่น คุณกล้านรงค์ จันทิก (นอนมาแน่) อาจจะได้สัก 200,000 เสียง หรือ คุณรสนา โตสิตระกูล (อันนี้ดังข้ามคืน) อาจจะได้สัก 150,000 หรือ อาจารย์ ขวัญสรวง อติโพธิ์ อาจจะได้ 100,000 (ถ้าเลือกคนนี้ เหมือนได้ อาจารย์แก้วสรร มาด้วย) เป็นต้น

คนที่เหี้ย และดัง เช่น สมัคร สุนทรเวช (เหี้ยสัดดดด)อาจจะได้สัก 30,000 หรือ พรเทพ เตชะไพบูลย์(อันนี้เหี้ยปานกลางถึงมาก ตามแต่โอกาส) อาจจะได้ 25,000 เป็นต้น หรือ ธนา เบญจาธิกุล (ทนายของคนเหี้ย ที่ฟ้องสนธิ+สโรชาร่วม สองพันล้าน) อาจจะได้สัก 20,000 ยังดีที่อาจารย์สุนีย์ (อาจารย์แม่_ง หรือ อี-หมด-ฟอร์ม ตามโฆษณา) ไม่ได้ลงด้วย ไม่งั้นก็อาจจะได้ เีสียงของพวกวิทยาลัยรัตนบัณฑิตอีกเป็นหมื่น

จะเห็นได้ชัๆ เลยว่า คุณกล้านรงค์ ได้เสียง มากมาย โดยที่ล้น ไม่ได้ต้องการมากขนานนั้น ก็ชนะอยู่แล้ว แต่คนแบบ พี่ บุญยอด สุชถิ่นไทย ที่มาจากผู้ัจัดการ เป็นคนข่าวที่แท้จริงจะเข้ามาเล่นการเมือง กลับเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก อาจจะได้คะแนนสัก 5,000 จากการ Survey และ อาจารย์ ผกา สัตยธรรม อาจารย์สังคมที่เป็นอาจารย์ดีเด่นจากโรงเรียนสาธิตจุฬา(มีแต่เด็กสาธิตจุฬารู้จัก) อาจจะได้สัก 3,000 คะแนน หรือ นายวิทยา จังกอบพัฒนา ที่สมัคผู้ว่า กทม มา สี่ร้อยกว่ารอบแล้ว (สมมุติว่าเป็นคนดี แต่ไม่ดังละกัน) อาจจะได้สัก 500 คะแนน

ถ้าเป็นแบบนี้ ตารางคือ

กล้านรงค์ 200,000
รสนา 150,000
ขวัญสรวง 100,000
สมัคร 30,000
พรเทพ 25,000
ธนา 20,000
บุญยอด 5,000
ผกา 3,000
วิทยา 500


ที้นี้ ถ้าีมีการรวมตัวกันเป็น pack เพื่อหาเสียงร่วมกัน เอากลุ่ม คุณกล้าณรงค์ รสนา ขวัญสรวง มารวมกันแล้ว เอาสามคนนี้ pick อีก สามคนเป็นคู่หู ไปเลย

เอา สูงสุด คู่ตำสุด

กล้านรงค์ + วิทยา = 200,000 + 500 = 200,500
หารสองไป ได้คนละ 100,250 คะแนน

รสนา + ผกา = 150,000 + 3,000 = 153,000
หารสองได้ไปคนละ 76,500 คะแนน

ขวัญสรวง + บุญยอด = 100,000 + 5,000 = 105,000
หารสองได้ไปคนละ 52,500 คะแนน

ออกมาแล้ว อันดับจะเปลี่ยนทันที

กล้านรงค์ 100,250
วิทยา 100,250
รสนา 76,500
ผกา 76,500
ขวัญสรวง 52,500
บุญยอด 52,500
สมัคร 30,000
พรเทพ 25,000
ธนา 20,000

เห็นชัดๆ ว่าไอ้พวกเหี้ยและดัง ก็แพ้ได้ !!

แต่นั่นคือ ทฤษฎี ในการปฎิบัติจริง จะต้องมีวิธีการที่ ล้ำลึกเล็กน้อย ดังนั้น การนำทฤษฎีไปใช้ (Implementation) ก็คือ

1. ทำ Survey อย่างละเอียด ต้องหา ตัวเลขออกมาให้ได้ว่า จะมีสักกี่คนที่เลือกคุณ กล้านรงค์ เอาให้ได้ว่า ไม่ควร +- เกิน 5% เพราะเราควรจะได้ Number ออกมาที่เป็นจริง Survey ไปให้หมด ดูด้วยว่าคนเหี้ยและดังคนไหนจะเข้า แล้วจะ Mark เป็น Main Benchmark ที่จะต้องเอามันออกไป จากนั้นเอา คนดีและดัง กับคนดีและไม่่ดังมาเรียงอันดับกัน เพื่อ จับคู่

อธิบายปัญหาสู่สังคม ให้เข้าใจ ว่านี่คือปัญญา คนบางคนมี vote เกิน บางคนมี Vote ไม่พอ ให้คนเข้าใจ Concept ของปัญหาก่อน

จัด Campaign เป็น คู่ “เลือกคนนี้ ก็เหมือนเลือกผม” เอาไปด้วยกันทุกที่ เวลาหาเสียง คุณกล้านรงค์ เอาคุณวิทยาไป คุณรสนาเอาอาจารย์ผกาไป อาจารย์ขวัญเอาพี่บุญยอดไป

จัดทีม “ไ่ม่เอาคนเหี้ย” ไปกระจายข่าวทำลายชื่อเสียง พวกเหี้ย (จริงๆ ก็คือแฉมัน) ทำให้คะแนนพวกเหี้ย น้อยลงไปอีก

ต้องมี ทีม Survey Life ตลอดเวลา


ทั้งหมดนี้คือ แผนที่จะเอาคนดีเข้าสภาให้ได้ แต่่ว่า มันต้องใช้กำัลัง และคนเยอะ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เวลา เราจะมีเวลาพอมั้ย

เราควรจะดีใจหรือเปล่า กับการรัฐประหารครั้งนี้

เราควรจะดีใจหรือเปล่า กับการรัฐประหารครั้งนี้

เขียนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2006 - วันปฎิวัติโดยทหารของพระเจ้าอยู่หัวเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ


อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าขอ แขวน คีย์บอดร์ดจนกว่าจะถึงปีใหม่ แต่เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ ก็คงต้องขอคุยสักหน่อย

ก็แน่นอนว่าถามว่าดีใจมั้ย คนที่ไม่ชอบทักษิณแบบผมก็คงดีใจที่ทักษิณหมดอำนาจแล้ว (อาจจะกลับมาใหม่ได้ แต่อย่างน้อยวันนี้ก็หมดแล้ว) แต่ถามว่าเสียใจมั้ยก็คงต้องบอกว่าเสียใจเหมือนกัน

เหตุผลที่เสียใจก็คือ ผมรู้สึกว่า เหมือนเป็นคนที่ทำงานด้วย Computer ใช้ software เป็นใช้ งานทั่วๆไปเป็น แต่ก็ใช้อย่างหนัก download อะไรต่อมิอะไร ไม่เคยดูแล defrag ป้องกัน virus หรือ spyware พอใช้ไปมากๆ หนักๆ จนมีปัญหาลุกลามแก้ไขไม่ได้ ก็ใช้วิธี format เครื่องใหม่ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด มีปัญหาอะไรก็นิยมที่จะ format เครืื่องใหม่ แล้วก็ลง program ใหม่หมด แต่ก่อนที่ผมจะ format ผมก็ต้องเอา file ที่ผมทำงานอยู่ออกมา ซึ่งก็ต้องเอาไป clean พอเครื่อง format แล้วก็ต้อง เอา ไฟล์พวกนี้มาทำงานต่อ ก็ติดไวรัสอีก พอเป็นหนักก็ format อีก

ผมไม่เคยลองที่จะเรียนการแก้ไข ให้ระบบดำเนินไปตามปกติ ลองดูวิธีป้องกัน ใช้ firewall, ใช้ anti-virus อย่า download อะไรพิเรนทฺ์เข้ามา แล้วก็ update วิธ๊ป้องกันเสมอๆ มีอะไรก็แก้แต่เนิ่นๆ อย่าปลอยให้ลุกลาม มันก็คงจะใช้ Computer ไปได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้อง format ใหม่

ไม่อยากให้ท่านที่เป็นเซียนคอมพ์มองในแง่ technical ว่ามันมีวิธีแก้ไขหลายวิธีกว่าที่ผมพูดมา ที่ผมพูดคือการเปรียบเทียบในเชิงสังคมเท่านั้น การรัฐประหารก็เหมือนกันการ format เครื่อง เริ่มต้นใหม่ ลง program ใหม่ สะอาด เราคนใช้เปี่ยมด้วยความหวัง แล้วก็บอกตัวเองว่าต่อไปนี้จะใช้ดีๆ แต่พอเวลาผ่านไป ก็ทำตัวเหมือนเดิม เราก็ต้องมา format แล้ว format อีกมาเป็น สิบๆ ครั้ง แต่สิ่งที่เราไม่เคยเปลี่ยนคือ พฤติกรรมของเรา เราไม่เคยพัฒนาการวิธีการใช้ computer ให้ถูกวิธี เพราะเรารู้่ว่า มีปัญหาอะไร ก็ format ได้ ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง ไม่ต้องพัฒนาอะไร

พอ format บ่อยๆ ก็ดัน format เร็ว ลง program เร็ว มีระบบการจัดการ format เขียนเป็นแผน format ได้ ทำเสร็จภายใน 2 ชั่วโมงได้ เป็นงั้นไป แทนที่จะใช้ คอมพิวเตอร์ดีๆ ไม่ต้องมา format

แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าปุ่ม format นี้หายไป ไม่มีอีกแล้ว เราจะทำอย่างไรถ้า computer มันพัง หรือมันช้าจนใช้การอะไรไม่ได้ เราจะไปหาคนนอกมาช่วยซ่อมให้เรา แล้วถ้าเขาเอา spyware ของเขาใส่ไว้ในเครื่องเรา เราจะรู้หรือไม่ แล้วพอเราทำอะไรไม่ได้ ซ่อมไม่เป็น ก็คงทำได้อย่างเดียวคือ …….“ทิ้งเครื่อง computer เครื่องนี้ไป” ? ไปหาเครื่องใหม่มาใช้ ?

การพยายามเรียนรู้ และเปลี่ยนพฤติกรรมก็คือการทำงานตามระบบ ไม่ว่าจะเป็นศา่ล หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมคิดอยู่ว่า ถ้าทักษิณ กลับมาเป็นนายกอีก ก็ไล่ต่อไป ฟ้องศาลต่อไป ประท้วงต่อไป ผมไม่คิดว่าเขาจะมาเป็นนายกอลังการแบบ 377 กะรัตได้อีกแล้ว แต่สิ่งที่จะพัฒนาชัดๆซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือ “ตัวของเรา” ซึ่งก็คือการเมืองและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ที่นับวันมีแต่จะมากขึ้น เป็นยุคที่คนพูดเรื่องการเมืองมากที่สุด ตั้งแ่ต่ผมเคยเห็น (เกิดปี 2520 ไม่ทันเหตุการณ์เดือนตุลา)คนเริ่มสนใจประเด็นทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับซับซ้อน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สื่ออาจจะถูกปิดตา แต่เราก็มีช่องทางในการเลือกรับข้อมูล โลกเรามีเทคโนโลยีขนาดนี้ เราจะปิดตาใครได้

ตอนนี้ ก็คือ เหมือนกับเรากลับไป ยุค รสช อีกแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาว่า ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์คนนี้ที่เพิ่ง format ให้เราเสร็จไปเมื่อกลางดึกที่ผ่านมานี้ จะไม่เอา spyware ใส่เครื่อง หรือว่า ยึด computer ของเราไป แล้วให้เราใช้ได้เฉพาะเวลาที่เขาอนุญาติเท่านั้น …. ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องของเราแท้ๆ

หวังว่า เขาคงจะเป็นคนดี ที่เข้ามาช่วยเราดูแลอย่างจริงใจ และสอนให้เรารู้จักปรับพฤติกรรมตัวเอง และให้เราใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี จะได้ไม่ต้อง format กันอีก

และแน่นอนว่า ตัวเราเองก็ไม่ควรจะหยุด การปรับพฤติกรรมเพื่อใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้อง ไม่กลับไปใช้แบบไม่ยั้งคิดอีก

อยากฟังความเห็นของ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ท่านอื่นบ้างครับ

ทางเลือกของทักษิณ หลัง วันที่ 19 กันยายน

เขียนเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2006 หลังการปฎิวัติ 1 วัน

ผมเขียนกระทู้นี้ตอนที่ผมฟังคำประกาศฉบับที่ 3 ของ คณะปฎิรูปการปกครองที่ยกเลิก สส สว รัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ หมดสิ้นเลย ก็เลยคิดถึง คำว่า Format ขึ้นมาได้ ทันที เลยเขียนกระทู้นี้ขึ้น

แต่พอวันนี้กลับมาบ้าน ตอนเย็น มานั่งอ่านไปถึง ชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่ามัน Format จริงๆ หรือเปล่าหว่า เพราะว่า ปกติ แล้วเท่าที่เคยอ่านในประวัติศาสตร์มา (เรียนมาน้อย ความรู้น้อยนะครับเอาว่าตีความเอาจากที่เคยเห็น)

ต้องมีการออกประกาศจับสมาชิกรัฐบาลชุดนี้ อย่างเป็นทางการ – อันนี้ ไม่มี มีแต่พาไปควบคุมตัว มีหมายเรียกให้รายงาน
มีการประกาศยึดทรัพย์ - ยังไม่มี
ยกเลิกกฎเกณฑ์เดิมทั้งหมด - ประกาศแล้ว แต่ไปๆ มาๆ ชักมีประเด็นใหม่ๆ มากขึ้น

พอยิ่งมีประกาศมากขึ้นๆ มันก็ยิ่งแปลก เพราะว่า

มีการขอความเห้นจากเยาวชน – อันนี้ นี่เหมือนกำลังพยายามปูทางเพื่อให้เกิด generation ใหม่ของ การมีส่วนร่วมของประชาธิปไตยในกลุ่มเด็กเลยก็ได้ แต่ต้องดูกันต่อไป เอาเป็นว่า ปฎิวัติแล้วมีการขอระดมสองแบบ Brain Storming จากเยาวชนนี่ ไม่เคยเห็นมาก่อน ในโลก
บางตำแหน่งอยู่ ให้ทำงานต่อได้ – คุณหญิงจารุวรรณ นี่คงไม่มีใครกังขา เพราะท่านก็ทำงานมานาน แต่มีการเพิ่มดาบอาญาสิทธิ์ให้โดยยุบคตง ถ้านี่คือการปฎิวัติจัดการกับรัฐบาลทักษิณ คุณหญิงท่านก็เป็นหนามยอกอกของ ระบอบทักษิณอยู่แล้ว ก้ผ่านไป แต่ที่แปลกคือตั้งกกต โดยเอา กกต ที่เป็นที่รู้กันว่า โดนล๊อคโดยสว ของระบอบทักษิณเข้ามา

คือมันน่าคิดเพราะว่า ถ้าจะจัดการระอบทักษิณแบบขุดรากถอนโคนเลย ไม่ยาก ตั้งใหม่เลย ห้าคนนี้ เอา นาม ยิ้มแย้ม, อาจารย์แก้วสันต์ แล้วก็ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตั้งร่วมเ็ป็น กกต ใหม่เลยก็ทำได้ รับรองระบอบทักษิณจบเห่แน่ แต่ก็ไม่ทำ จะด้วยเหตุผลอะไรก็คงจะเดาได้หลายประการ แต่ผมขอเดาว่า คณะปฎิรูปฯ ต้องการให้เกียรติกับฐานรากของระบบที่เป็นมาก่อน และเป็นฐานรากที่มาจากเนื้อหาของพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีให้กับศาล (ศาลรับ แล้วก็ประชุมร่วม ทำงานร่วมกัน รับเรื่องฟ้องร้อง กกต แล้วก็บอกให้กกต ลาออกแต่ก็ไม่ออก สุดท้ายติดคุก จนมีการตั้ง กกตใหม่ ซึ่งมีการสะกัดโดยสว ทาส แต่ก็เป็นชุดที่มาจากพระมหากรุณาธิคุณที่ก่อให้เกิดการริเริ่ม คณะปฎิรูปฯซึ่งไม่มีวันหมิ่นพระบารมีแม้แต่น้อยนิด จึงรีบประกาศให้กกต คงอยู่ทันที)

(เห็นแล้วนะครับ อีกด้านหนึ่ง พระเ้้จ้าอยู่หัวท่าน ไม่โปรดเกล้าพระราชทานตำแหน่ง สตง ใหม่ ที่สว ชุดทาส นำโดย นายสุชิน ตั้งนายวิสุทธิ์ มนตรีวัฒน์ เป็น หัวหน้า สตง แทนคุณหญิง แสดงว่าคุณหญิงได้รับพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ คณะปฎิรูปจึงตั้งคุณหญิงทันทีเช่นเดียวกัน)

นอกจากจะตั้งใหม่แล้ว มีการติดดาบให้อีก เช่น ให้พรบ ตรวจเงินแผ่นดิน 2542 ทำการต่อได้ แต่ ทุบ คตง ออกหมดให้คุณหญิงมีอำนาจสิทธิขาด – อันนี้มันก็ชัดอยู่แ้ล้ว่า ดาบนี้จะเอาไปใช้กับใคร ก็ต้องเอาไปใช้ล้างระบอบทักษิณแน่นอน แต่ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องทำให้เชื่องช้า วุ่นวาย ทั้งๆ ที่ตอนนี้ พลเอก สนธิ เป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแล้ว สังอะไรก็ได้ จะยึดทรัพย์เลย หรือจะสั่งหน่วยไล่ลารัฐมนตรีทุกคน แล้วจับมารวมตัว มายิงเป้าที่ พัน 1 เลยก็ได้ ส่วนคนที่จับได้แล้ว จะให้นายพัน ยิงหัวให้หมดทุกคนเลยก็ไ้ ไม่มีใครกล้าหือแน่ๆ (จะให้พูดกันจริงๆ ถ้าพลเอกสนธิ คิดอะไรเล่นๆ ออกในหัว แล้วให้เลขาพิมพ์ เดินไปห้องส่ง ททบ ห้า อ่านออกทีวี ก็กลายเป็น กฎหมายแล้ว จะสั่งให้ ผู้ชายทุกคนในประเทศโกนหัวหมดยังได้เลย) แต่ทำไมไม่ทำ

สาเหตุผมคิดว่า คณะปฎิรูปต้องการเริ่มกระบวนการฟื้นฟูโดยด่วน ต้องการดึงความมั่นใจจากต่างชาติให้มากที่สุด และต้องการให้การ เช็คบิล ดังกล่าว เป็นไปตามพยาน หลักฐาน ไม่ใช่คำสั่งแบบเผด็จการ ที่อาจจะมีการกังขาได้ เพราะไม่เช่นนั้น ต่อให้ฆ่านายทักษิณกับสมุนตายไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคนหลายคนที่รักทักษิณยิ่งชีพ (ใน web นี้ก็มี ถ้าไม่รู้ว่าใครลองย้อนไปดูข้างบน เรียนมาจนบัดนี้ ความรู้มากมาย น่าเสียดายจริงๆ ยังตาบอดอยู่) อาจจะคิดว่า เขาเป็น hero แต่ถ้าเอาเขาเข้ามาในกระบวนการยุติธรรม แล้วทหารไม่เข้าไปยุ่ง (อันนี้ต้องดูกันต่อไป) ถ้าผลออกมาว่าเขาผิด เขาก็คือ อาชญากร และจะเป็นบันทึกไปอีกตลอดกาลว่า นายทักษิณคืออาชญากร เป็นคนขี้คุก ผมว่าดีกว่า ฆ่าให้ตายแบบกังขา แ้ล้วจะเป็นก้าวใหม่ว่า เป็นนายก ก็อย่าคิดว่าทำอะไรก็ได้ ติดคุกได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเท่าที่เห็น ผมคิดว่าผมผิดที่ด่วนสรุปว่านี่คือ format ผมคิดว่า มันคือการกรองและซ่อมแบบ เบ็ดเสร็จ เหมือนกับที่เคยเห็นใน bible ว่า โมเสสของให้พระเ้จ้าลงโทษ อาณาจักร อียิปต์ โดยพระเจ้าจะทำการฆ่า ลูกคนหัวปีในทุกบ้าน ยกเว้นบ้านที่มีเลือดแพะ (ใครช่วย update ว่า detail ถูกหรือเปล่า) เพราะบ้านนั้นคือบ้านที่นับถือพระเจ้า ถ้าไม่มี ก็คือนับถือฟาโรห์ ลูกคนหัวปีต้องตาย อย่างในกรณีของเราก็คือ คนที่มีเลือดแพะที่ประตูบ้าน ก็กำลังจะเดินออกมาในถนนอย่างถูกต้อง คนที่ไม่ยอมรับพระเจ้าก็อาจจะต้องตายจริงๆ ก็ได้ ต้องค่อยๆ ดูต่อไป

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มันคงจะเป็นอะไรที่ ไกลจาก Format เหลือเกินแล้ว อาจจะเหมือนกับที่พี่ลูกน้ำบอกจริงๆ ก็ได้ว่า มันเป็นแค่การ Quarantine เชื้อโรค เท่านั้นก็ได้

ทีนี้ มันก็สนุกที่จะคิดเล่นๆ ว่า ถ้าผมเป็นทักษิณ ผมจะีทำอะไรได้บ้าง ก็น่าคิด มีเงิน ตั้งห้าพันล้าน ดอลลาร์ จะกลับมาครองอำนาจในประเทศไทย ไม่น่าจะยากเย็นเกินไป แต่ก็คงแบ่งได้ เป็นสอง Scenario

หาวิธีกลับมาให้ได้ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ถ้าตามที่ท่านพลเอก สนธิ บอกก็มีเวลา 1 ปี
กลับมาหลังเลือกตั้งแล้ว

ถ้า Scenario ที่ 1 ต้องรีบทำอย่างรีบด่วน คิดไปคิดมา สิ่งที่ต้องทำคือ

รีบจัดตั้งรัฐบาลพลัดถินให้เสร็จ และต้องรีบให้ประเทศ พี่ใหญ่ รับรองให้ได้ (เช่น พ่อบุช พ่อปูติน พ่อชีรัค พ่อแบลร์ไม่เกี่ยว จะพ้นตำแหน่งแล้ว อะไรพวกนี้ ประเทศมนตรีความมั่นคงก็พอ) อันนี้ไม่ง่าย แต่อย่าประมาทความ ตอแหล แบบมี Synergy ของทักษิณ
รีบปลุกระดมทหารในสังกัด ให้ได้ (อันนี้ยากมาก แต่คนที่อยู่ข้างพลเอกสนธิ ก็ไม่ใช่ว่าจะเต็มร้อย ปฎิวัติเพราะทำใจก็มี ถ้าเอาพวกนี้กลับมาได้ ด้วยเงิน หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ ก็ีมีสิทธิ)
ปลุกระดมมวลชน – อันนี้มีความเป็นไปได้ เพราะมีเป็นล้าน แต่น่าเสียดายที่คู่หัวหอกมหากาฬ ที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดตั้งมวลชน ห้อย-ตู้เย็น โดนหมายหัวแล้ว ก็อาจจะขาดผู้นำมวลชน ต้องหา่ใหม่ ถ้าหาได้ ก็ระดมได้ เพราะเงินถึง
พอได้ทั้งสามข้อแล้ว ก็ต้องจ้างสุดยอดมือสังหาร คงต้องระดับ Mr.47 ในเกม Hitman เลย (คงจะแพงมาก เพราะเป็นงานใหญ่) ให้ กระทำการพลิกฟ้าถล่มดิน (ภาษาอังกฤษ น่าจะใช้คำว่า The Unthinkable = แม้แต่คิดก็สยองแล้ว – ไม่อยากจะบอกว่าคืออะไร ลองคิดเอาเอง) ถ้าทำสำเร็จก็รีบใส่ความพลเอก สนธิ และคณะซะว่า นี่ เห็นมั้ย ไม่ได้ทำเพื่อประเทศ แต่่ทำเพื่อตัวเอง เกิดเป็นความชอบธรรมจอมปลอมขึ้นมาอีกครั้ง (อย่าลืมว่า ทักษิณเก่งมาก เรื่องสกปรกโสโครกแบบนี้) พอมีความชอบธรรมที่จะเข้าประเทศแล้ว แล้วก็ เอาข้อหนึ่ง-สอง-และสาม มารวมกัน กลายเป็นคลื่นมหาชน ที่จะต้อนรับเขาเข้าประเทศแบบ ฮีโร่แห่งศตวรรษ คราวนี้ ไม่มีอะไรหยุดได้อีกแล้ว เวรกรรมม!!!

แต่…. คงจะยาก เพราะถ้าขนาดนายพร ผู้ไ้ร้ประสบการณ์ มีแต่ความฟุ้งซ่านคนนี้ ยังคิดได้ มีหรือที่ พญาราชสีห์ อย่างพลเอกสนธิ จะคิดไม่ถึง ป่านนี้ อุดรูหมดแล้ว

สิ่งที่เ็ป็นได้มากกว่า คือการที่จะเข้ามาหลัง จากที่ตั้งรัฐบาลใหม่มีการเืลือกตั้งแล้ว

ถึงตอนนั้น เหตุการณ์คงจะบานปลายสำหรับทักษิณ เพราะอาจจะมีประกาศยึดทรัพย์ และหมายจับคดีต่างๆ ดังนั้น จะเข้าประเทศได้ ก็คงมีวิธีเดียวคือ จ้างทหารของตัวเอง (คงต้องรีบซื้อเสียตั้งแต่บัดนี้) ปฎิวัติ แล้วออกกฎหมาย นิรโทษกรรม แล้วเดินทางเข้าประเทศ เอาเงินไปซื้อเสียง แล้วก็เลือกตั้งชนะเป็นนายกต่อไป

อันนี้น่าจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะ ถ้าตอนนี้มีเงิน ห้าพันล้านดอลลาร์ อีก สี่ปี เอาเงินไปลงทุน ได้ปี ละ 5% ก็อีก เกือบพันล้านดอลลาร์แล้ว เอาซื้อคนไทยได้อีกเยอะ

ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ทักษิณกลับมา ก็มีวิธีเดียวคือ เราต้องสู้่ต่อไป แต่ไม่ได้เป็นการสู้แบบ ประท้วงแล้วแต่เป็นการให้ข้อมูลข่าวสาร ให้คนสนใจการเืมือง สนใจสิทธิส่วนบุคคล สนใจกฎหมาย ให้สื่อมวลชนกลับไปเป็นนักข่าวที่ไม่มีความกลัว มีจิตวิญญาณที่สูงส่ง เสนอแต่ความจริง ไม่ใช่ Self Center เหมือนตอนที่อยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ

เพราะการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือด้านเดียวนั้น เลวทรามต่ำช้าเสียยิ่งกว่าการโกหกทั้งหมด หรือปฎิเสธที่จะพูดเลยเสียอีก

สรุปแล้ว ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องการ Format แต่ก็อดที่จะคิดว่า เป็นเรื่องของการพัฒนาวิธีการใช้คอมพิวเตอรืให้ถูกหลักอนามัย ไ่ม่ได้อยู่ดีครับ

จะรอฟังความเห็นท่านอื่นๆ ครับ

เพลง คนโกงแผ่นดิน

คำร้อง วุฒิ Cheatland
ทำนอง อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง
วันที่ 3 มีนาคม 2006

กว่าชีวิตจะมีวันนี้ โกงกินทั่วประเทศไทย
ไม่หวั่นไม่ไหวจะถูกสนธิมารังแก
จะไม่ให้มันรู้ว่าเราโกง
คงมุ่งมั่นฟันฝ่า
ไม่หลบปํญหาไม่เกี่ยงปัญหาที่ท้าทาย

นี่คือทักษิณขอรับประทานแผ่นดิน
ให้เมียให้ลูกได้ใช้
ไม่ตอบคำถาม หาว่าคนใส่ร้าย
อดทนไว้ แดกเข้าไปคนโกงแผ่นดิน

นี่คือทักษิณ นักสวาปามแผ่นดิน
แล้วบินไปสิงคโปร์
ไม่ตอบคำถาม หาว่าคนใส่ร้าย
อดทนไว้ แดกเข้าไปคนโกงแผ่นดิน

นี่คือทักษิณ เป็นทรราชแผ่นดิน
เพื่อชินได้เจ็ดหมื่นล้าน
ไม่ตอบคำถาม หาว่าคนใส่ร้าย
อดทนไว้ แดกเข้าไปคนโกงแผ่นดิน

กาลครั้งหนึ่งในป่าใหญ่

เขียนเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2005

กาลครั้งหนึ่งในป่าใหญ่

เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์นานาชนิดที่อยู่ีรวมกันอย่างสงบสุข เป็นที่ๆสัตว์ทุกตัวรักในผืนป่าของตนเองเป็นอย่างยิ่ง เป็นสังคมสัตว์ที่แม้จะมีการไล่ล่า แก่งแย่งชิงดีกัน แต่ก็เป็นสังคมที่มีความเป็นธรรมพอสมควรโดย เป็นผืนป่าที่สัตว์ทุกๆตัวจะมีการเลือกจ้าวป่าด้วยการให้คะแนนเสียง

เมื่อห้าปีก่อน พญาราชสีห์ ได้รับการเลือกให้เข้ามาเป็นจ้าวป่าเข้ามาอย่างท่วมท้นเพราะเป็นผู้ที่สัตว์น้อยใหญ่ให้ความรักใคร เป็นความหวังของสัตว์ทุกหมู่เหล่า เพราะพญาราชสีห์มีความโอบอ้อมอารี และมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีโดยทั่วถึงกันไม่ว่าสัตว์เหล่านั้นจะเป็นประเภทใด สะอาดหรือสกปรก เข้มแข็งหรืออ่อนแอ

หนึ่งในสัตว์ที่สนับสนุนให้พญาราชสีห์ได้รับการเลือกเป็นจ้าวป่าก็คือ “หมาป่าเฒ่า” ตัวหนึ่ง

หมาป่าเฒ่าตนนี้ รักและเทิดทูนพญาราชสีห์มาก ไม่ว่าจะมีสัตว์น้อยใหญ่ตนใดทำการวิพากษ์วิจารณ์หรือด่าทอ พญาราชสีห์พวกพ้องมากมายเพียงใด หมา่ป่าเฒ่าตัวนี้จะออกโรงปกป้องพญาราชสีห์ตัวนี้เสมอ เพราะหมาป่าเฒ่ามีความเชื่อมันในพญาราชสีห์ตัวนี้จนหมดหัวใจ

แต่แ้ล้วเมื่อเวลาผ่านไป หมาป่าเฒ่าตนนี้เริ่มเห็นว่า พญาราชสีห์ ได้ค่อยเปลี่ยนไป กลายเป็นผู้ที่ลุแก่อำนาจ ไม่ฟังเสียงของสัตว์ตัวอื่นๆ ในป่า ถ้ามีสัตว์ตนใดหรือฝูงใดไม่เห็นด้วยและต่อต้าน พญาราชสีห์จะด่าทอว่า โง่ หรือใช้พวกพ้องที่เป็นบริวารไปจัดการกำหราบอย่างเด็ดขาด และก็ไม่มีใครจะต่อต้านได้ เนื่องจากพญาราชสีห์และพวกพ้อง นอกจากจะีมีพลกำลังที่กล้าแข็งแล้ว ยังมีความชอบธรรมที่ได้รับเลือกให้เข้ามาเป็นจ้าวป่าโดยการยอมรับของสัตว์ป่าส่วนมากอีกด้วย

หมาป่าเฒ่า ผู้มีความรู้แตกฉาน ผ่่านโลกมานาน ได้เห็นการขึ้นสู่อำนาจและการลงจากอำนาจของจ้าวป่าหลายผู้ หลายตน หลายสมัย จึงได้ ออกโรงมาวิพากษ์วิจารณ์การปฎิบัติตนของราชสีห์ โดยไม่ได้ทำอย่างเอิกเริก แต่ทำอยู่ใน “ถ้ำ” ของตนเอง ที่อยู่ร่วมกับพรรคพวกของพญาราชสีห์

แต่เืืมื่อวันหนึ่่งเมื่อพญาราชสีห์ทนไม่ได้ พญาราชสีห์จึงสั่งให้บริวารที่อาศัยอยู่ในถ้ำกับ หมาป่าเฒ่านั้น ขับไล่หมาป่าเฒ่า ออกจากถ้ำทันที โดยตั้งข้อหาว่า บังอาจเอ่ยถึง “ฟ้า” ซึ่งเป็นสิ่งที่สัตว์ทุกผู้ทั้งผืนป่า รักใคร่หวงแหน เพราะเป็นที่ให้แสงแดด ให้น้ำ ให้ดาวอันงดงาม ให้จันทร์อันอบอุ่น

หมาป่าเฒ่า ผู้ได้รับความอับยศจึงได้ออกจากถ้ำ และไปทำการวิพากษ์วิจารณ์ พญาราชสีห์ต่อไป ตามที่ต่างๆ ในเขตของสัตว์ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ลำธาร หุบผา ถ้ำอื่นๆ โดยทำให้สัตว์ป่าที่เคยรัก และชื่นชอบพญาราชสีห์นั้น เริ่มจะมีความกังขา สงสัย ในพญาราชสีห์มากขึ้น โดยในที่สุดแล้ว หมาป่าเฒ่าตัวนี้ได้ยึด “ทุ่งใหญ่” เป็นที่มั่น ที่จะให้สัตว์ป่าตัวอื่นๆ มาฟังการวิพากษ์วิจารณ์ราชสีห์ ในทุกๆอาทิตย์ โดยนับวันก็มีแต่จะได้รับความสนใจมากขึ้น โดยจำนวนสัตว์ป่านั้นมีเพิ่มขึ้น จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น และจากหมื่นเป็นแสน ซึ่งยังไม่นับรวมกับ สัตว์ป่าอื่นๆ ที่กระจายกันออกไป แต่ได้รับข่าวสารและคำบอกเล่าจากสัตว์ตัวอื่นๆ ที่เคยเดินทางมาที่ “ทุ่งใหญ่”

พญาราชสีห์ นับวันมีแต่จะเริ่มสั่งสมปัญหา โดยนอกจากจะมีสัตว์ป่ามากมายหลายกลุ่มที่เริ่มทวงสัญญาที่พญาราชสีห์เคยให้ไว้ ก็ยังมีหมาป่าเฒ่าตัวนี้ ที่คอยขุดคุ้ย เรื่องราวเกี่ยวกับพญาราชสีห์ และพวกพ้อง อย่างไม่หยุดไม่หย่อน จึงได้สั่งการให้ “พญาวานร” ผู้เป็นขุนพลซ้าย และ “หมาจิ้งจอก” ที่เ็ป็นขุนพลขวา ไปจัดการแ้ก้ปัญหาเรื่องหมาป่าเฒ่านี้ให้จงได้

พญาวานร ครั้งได้รับคำสั่งจึงได่ส่งสมุนวานรมากมายหลายสิบตัวไปทำการก่อกวนและรบรากับหมาป่าเฒ่าทันที อันว่าหมาป่าเฒ่านั้น แม้จะแก่ชรา แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นหมาป่าเดียวดาย ยังมีหมาป่าหนุ่มสาวมากมายหลายผู้คอยให้ความช่วยเหลือ ปกป้อง และนอกจากนี้ หมาป่าเฒ่าเองก็ยังเป็นผู้ที่มีกำลังกล้าแข็ง ทำให้เหล่าวานรนั้นเพลี่ยงพล้ำ และเสียกระบวนไปหลายครั้ง

หมาป่าเฒ่าเองก็เคยเอ่ยกับสัตว์ป่านับหมื่นที่มาชุมนุมกันว่า แปลกใจที่ทำไม พญาราชสีห์ที่แข็งแกร่ง ไม่เคยมาเองเลยสักครั้ง ได้แต่ส่ง ฝูง “วานร” “หมาจิ้งจอก” และล่าสุดคือ “หมูป่า” มาโจมตี นอกจากนี้จะสังเกตุได้ว่า เวลาที่บริวารทั้งหลายลงมือนั้น พญาราชสีห์ไม่เคยอยู่ในป่าเลย แต่จะพาพวกพ้องออกไปท่องเที่ยวนอกผืนป่า เสมอ โดยเมื่อกลับมาก็จะตอบคำถามกับสัตว์ป่าว่า ไม่เกี่ยวกับข้าพเจ้า เป็นเรื่องของพญาวานร และหมาจิ้งจอกที่จะทำหน้าที่ เพราะหมาป่าเฒ่าทำผิดกฎของป่า

หมาป่าเฒ่ายืนยันอยู่เสมอว่า ตนนั้น ไม่เคยดูถูก “ฟ้า” แต่มีความจงรักภักดีต่อ “ฟ้า” เสมอ และในครั้งหนึ่ง ก็ได้ทำการชักชวนสัตว์ป่าที่มาชุมนุมอยูี่กลางทุ่งใหญ่ให้เอาอำนาจการปกครองป่า คืนต่อ “ฟ้า” เนื่องจากอำนาจที่พญาราชสีห์มีอยู่เองก็มาจากฟ้าเช่นกัน

โดยที่ระหว่างที่ชักชวนไปนั้น หมาป่าเฒ่าก็ต้องปัดป้องการก่อกวนจากวานร จากหมาจิ้งจอก และจากหมูป่า ในทุกๆ ทิศทาง ตลอดเวลา

แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

เมื่อ พญาคชสารตนหนึ่ง ที่นั่งดูเหตุการณ์อย่างสงบ มาโดยตลอด เป่าลมแรงๆ หนึ่งครั้งใส่ หมาป่าเฒ่า ที่กำลังต่อกรกับฝูงวานรอยู่ ทำเอาหมาป่าเฒ่ากระเด็นไป

อันความความเจ็บปวดที่ตกกระแทกพื้น ยังไม่เท่าความตกใจ ว่าทำไมพญาคชสารจึงทำเช่นนี้

อันว่า คชสารนั้น เป็นฝูงสัตว์ที่มีอำนาจมากที่สุด เมื่อครั้ง 60-70 ปีที่แล้ว มักจะใช้ความที่มีกำลังวังชามากมายมหาศาลเหนือกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ มาทำตัวเป็นอันธพาล ยึดอำนาจการปกครองป่ามาเป็นของตัวเองเอาดื้อๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา คชสารเป็นกลุ่มสัตว์ที่ทำตัวเรียบร้อย จึงกลายมาเป็นที่รักของสัตว์ทุกๆผู้ ที่นับถือในความแข็งแกร่งและความมีระเบียบวินัย และมักจะอยู่อย่างสงบในรังของตนเอง ไม่เคยก่อความเดือดร้อนให้ใคร โดยเป็นที่ทราบกันดีว่า คชสารนั้นมีสิ่งที่รักเหนือชีวิตอยู่สองอย่าง ได้แก่ พี่น้อง(คชสารด้วยกันเอง) และ “ฟ้า” เท่าน้น

การพ่นลมของ พญาคชสารใส่ หมาป่าเฒ่า ที่กำลังถูกรุมล้อมโจมตีจากฝูงวานร ฝูงหมาจิ้งจอก และฝูงหมูป่านั้น ทำให้สัตว์ป่าที่อยู่ในที่ชุมนุมและมีความรักเทิดทูนต่อ หมาป่าเฒ่า เป็นเดือดเป็นแค้นเป็นอันมาก เพราะหมาป่าเฒ่าเองก็ เจอศึกหนักอยู่แล้ว ทำไมจึงมีการโดนโจมตีจาก พญาคชสารอีก

เมื่อหมาป่าเฒ่า หันไปมองก็พบว่า นี่คือพญาคชสารที่มีกำลังวังชาเป็นอันมาก เทียบกับพญาคชสารตัวอื่นๆ แม้จะไม่เป็นเป็น มหาพญาคชสารที่มีอำนาจมากที่สุดก็ตาม แต่ก็นับว่า สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับสัตว์ตัวอื่นๆ ได้ แต่หมาป่าเฒ่าก็ถามพญาคชสารตนนั้นว่า เหตุใดท่านจึงทำร้ายข้าพเจ้า พญาคชสารก็ตอบว่า เพราะท่านเอ่ยถึง “ฟ้า” ที่ข้าเคารพมากจนเกินไป “ฟ้า” เป็นของสูง อย่าได้นำมาใช้เป็นเครื่องมือของท่าน หรือนำมาเปรียบเทียบกับพญาราชสีห์

หมาป่าเฒ่าได้ยินดังนั้นก็โกรธ และยืนยันว่า ตนเองนั้นไม่ได้มีความจงรักภักดีต่อ “ฟ้า” น้อยไปกว่า ฝูงคชสารเลย และเมื่อหมาป่าเฒ่าเพิ่งพินิจ พญาคชสารคนนั้นก็จำได้ว่า นี่คือ พญาคชสารที่มีความสนิทสนมกับ พญาราชสีห์ จึงได้ป่าวประกาศให้สัตว์นับหมื่นได้ยิน ทำให้สัตว์นับหมื่น โกรธแค้นมาก โดยส่วนใหญ่นั้น เสียใจที่พญาคชสาร ที่น่าจะเป็นที่พึ่งของฝูงสัตว์อื่นๆ ที่มีกำลังน้อย น่าจะเป็นผู้ปกป้องผืนป่า ทำไมจึงไปปกป้องแต่ พญาราชสีห์

ความก็ไปถึงหูของ มหาพญาคชสาร อันเป็นผู้นำของคชสารทั้งปวง เมื่อทราบเรื่องของ พญาคชสารที่ไปพ่นลมใส่หมาป่าเฒ่าก็ตกใจ ถึงต้องออกมาประกาศให้สัตว์ทั้งป่าได้ยินว่า การกระทำของพญาคชสารนั้น ไ่ม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับฝูงคชสารทั้งปวงแต่อย่างใด ขอให้สัตว์ป่าทุกตัวอย่าได้ตื่นตกใจ นอกจากนี้ก็มีพญาคชสารตนอื่นๆ ออกมาตักเตือนพญาคชสารที่พ่นลม ว่าเป็นเรื่องไม่สมควรอีกด้วย

แต่สัตว์ป่าทุกตนก็ทำใจนิ่งไ่ม่ได้เสียแล้ว เพราะความขัดแย้งต่างๆ ระหว่างพญาราชสีห์ และหมาป่าเฒ่าที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งใดที่ จะมีคชสารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เหตุการณ์จึงเริ่มตึงเครียด ทำให้สัตว์ป่าต่างๆ มีความวิตกกังวลมากขึ้น

อันว่า ฝูงวานร หมาจิ้งจอก และ หมูป่า ที่ได้รับคำสั่งมาจากพญาราชสีห์ นอกจากจะทำการรุมโจมตีหมาป่าเฒ่าและพวกพ้องแล้ว ยังทำการเดินทางไปทั่วผืนป่า เที่ยวป่าวประกาศให้สัตว์ป่าทุกตน ไม่ให้พูดถึงหมาป่าเฒ่า หรือเอ่ยถึงคำพูดที่หมาป่าเฒ่าทำการวิจารณ์พญาราชสีห์และพวกพ้องเด็ดขาด ถ้าไม่ทำตาม จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง

แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ทำให้สัตว์ทั้งหลายเริ่มสนใจหมาป่าเฒ่ามากขึ้นๆ เริ่มเดินทางมาพบและฟังหมาเป่าเฒ่ามากขึ้น และเมื่อหมาป่าเฒ่าพูดมากขึ้นๆ บังลังก์ของพญาราชสีห์ ก็เริ่มสั่นคลอนมากขึ้นๆ

โดยต่อมาพญาราชสีห์ที่มักจะออกมาพบปะฝูงสัตว์ต่างๆ ทำตัวสนิทสนม พูดจาอย่างเป็นกันเองกับสัตว์ทุกตัว ก็เก็บตัวเงียบ ไม่พูดอะไรอีกแล้ว

นิทานเรื่องนี้ ยังไม่จบ …..

แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ สัตว์ป่าทุกๆ ตัวทั้งใหญ่น้อย ได้มองไปในทิศทางเดียวกัน คือแหงนมอง “ฟ้า”

ฟ้าที่ปกป้อง ผืนพสุธา ฟ้าที่ให้ความร่มเย็น ฟ้าที่มีแต่ความเมตตาต่อฝืนป่ามาช้านาน

ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าใครผิดใครถูก

ความชั่วของ ผู้นำ Getty Center (สาเหตุที่ไม่ควรบูชาคนเพราะสีผิว)

ถ้าดูใน Web ตอนนี้ คนด่า Barry Munitz ยิ่งกว่า คุณคัทลียา แมคอินทอช ด้วยซ้ำ

ผมจำได้ว่าพวกเราเป็นเด็กนั้นทำงานรับน้องที่โรงเรียนเตรียม แล้วเอาเงินไปซื้ออาหารดีๆ กินกัน มีเพื่อนในกลุ่มสองคนบอกว่า มันไม่ค่อยน่าจะถูกที่เราเอาเงินมาใช้แบบนี้ ผมยังเคยด่ามันไปเลยว่า เฮ้ย ก็ต้องใช้แบบนี้สิ พวกเราทำงานมาเหนื่อยๆ ก็ต้องเอาเงินกองกลางมาออก สรุปแล้วว่าเงินหายไปประมาณ ½ หนึ่งของงบ ต้องไปเรี่ยไรกันใหม่อีก ซึ่งเป็นความ “โง่” ของผู้เขียนในวัย 16 ปีตอนนั้นที่คิดว่าการโกงโดยที่ทุกคนเห็นตรงกันว่าทำได้คือการไม่โกง ซึ่งสิบปีต่อมาผมยังต้องไปขอโทษพวกมันสองคนเลย แต่นี่ประธานของกองทุน Getty ที่น่าจะเลยพ้นคำว่าโง่ไปนานแล้ว ยังหน้าด้านใช้เงินชาวบ้านมาบำรุงบำเรอตัวเองได้ขนาดนี้ แถมยังถูกปกป้องจากลูกน้องทั้งหลายรอบๆ ตัวอีก

ซึ่งผมก็อยากจะสรุปเหมือนทุกครั้งว่า คนที่เลว ไ่ม่ว่าจะอยู่ในคราบผิวสีไหนมันก็เลวทั้งนั้น อย่าคิดว่าฝรั่งจะเก่งกว่าเรา ฉลาดกว่าเรา หรือที่หนักที่สุด คิดว่าฝรั่งเขามีศิลธรรมสูงกว่าเรา เพราะมันไม่จริง เขาก็เป็นคนเหมือนๆ กับเรานี่ ถ้าประเทศไทยจะพัฒนาได้เราต้องคิดตั้งสติก่อน แล้วค่อยถามว่า ฝรั่งคนนี้มันเก่งจริงหรือเปล่า ถ้ามันเก่งจริง ทำไมมันต้องหอบสังขารข้ามทะเลมาหางานทำต่างถิ่น เพราะมันไม่มีปัญญาหางานทำที่บ้านมันใช่หรือไม่ ที่บ้านมันไม่มีคนเอาใช่หรือไม่ และพอมาถึงประเทศไทยก็ได้รับการกราบไหว้สรรเสริญจากคนไทยอย่างไม่ลืมหูลืมตา เพียงเพราะมันพูดภาษาอังกฤษและมีผมสีทองตาสีฟ้าใช่หรือไม่

แล้วถ้ามันไม่มีปัญญาหางานทำที่บ้านมัน ทำไมคนไทยอย่างผมและเพื่อนๆ อีกหลายๆ คน ซึ่งก็เป็นคนไทย เหมือนๆกับท่านผู้อ่าน ผมเรียนหนังสือไทย จบปริญญาตรีเมืองไทย พูดภาษาอังกฤษก็ไมชัด ทำไมมีปัญญาหางานดีๆทำอยู่ที่นี่ได้??

เฮีอก สุดท้ายหรือยัง ? ไทยรักไทย

เขียนเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2006

เฮีอก สุดท้ายหรือยัง ? ไทยรักไทย

จากเท่าที่เห็นตอนนี้

1. หัวหน้าพรรคไทยรักไทยไม่ออกมาให้สัมภาษณ์อะไรเลยตั้งแต่กลับมาประเทศไทย

2. ลูกน้อง โวยวายปากบอกว่าอย่าให้ฝ่ายค้านชี้นำศาล พันธมิตรอย่าชี้นำศาล แต่บางคนในพรรคไทยรักไทย บอกว่าจะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายกับศาล ถ้าศาลสั่งให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะ สส. แค่ละคนลงเงินไป 1.5 ล้าน ใครจะรับผิดชอบ (ไม่เห็นพูดเลยสักคำว่า ค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง สองพันกว่าล้านที่ตะแบงออกมา ใครจะรับผิดชอบ) อันนี้จะเรียกว่า ข่มขู่ศาลหรือเปล่า

3. ปากบอกว่าเคารพศาล แต่ก็บอกด้วยว่า คิดว่าศาลไม่มีอำนาจมาบอกให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ มีความพยายามของเนติบริกร ที่จะยื่นฟ้องเพื่อถอดถอนศาลปกครอง สส ไทยรักไทยที่เป็นหัวหอก บอกว่ามีคนโทรศัพท์มาบอก ว่าคนในศาลปกครองมีความสัมพันธ์ กับพรรคฝ่ายค้าน แล้วจะยื่น ปปช ให้ถอดถอน (ปปช ก็ไม่มี คราวนี้อาจจะมีขึ้นมาเลยก็ได้ หน้าที่แรก คือทุบศาลปกครองให้สิ้นซากก่อน เพราะก่อกวน ระบอบทักษิณมาก ตั้งแต่เรื่อง กฟผ มาแล้ว) จริงแล้ว เรื่องจะเลือกตั้งเป็นโมฆะหรือไม่นี่ ความผิดชี้ไปง่ายๆ เลยคือ กกต ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเน่าแน่ แต่ก็ดำเนินการไป แต่ สส.ฝ่ายรัฐบาลก็ออกมาปกป้อง กกต ว่าดำเนินการได้ถูกต้อง ซื้อสัตย์ สุจริต (อยากรู้เหมือนกันว่าอีกหน่อยแพแตกจริงๆ จะปกป้องกันแบบนี้หรือไม่ เพราะ กกต ก็จะโยนอุจจาระให้ นายกเพราะเป็นคนสั่งยุบสภา และ นายกก็จะโยนกลับให้ กกต บอกว่าเป็นคนจัดเลือกตั้ง ก็จะโอละพ่อกันไม่จบ)

4. มีความพยายามในการให้ตำรวจ เร่งจัดการกับพันธมิตร แต่ในขณะเดียวกัน คดีเดียวกันที่ฟ้อง นายกรัฐมนตรีที่ฟ้องไปก่อนแล้ว ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น (ฟ้องไปตั้งแต่เดือน มกราคม เพิ่งจะมาเผยชื่อคณะกรรมการสอบสวนวันนี้) แต่พันธมิตรถูกฟ้อง ซัดซะ 5 ข้อหา (ทำไมทำตอนนี้ ?)

5. มีการดักคอไว้ก่อนโดยนาย ชิดชัย ว่า ถ้าเป็นโมฆะ นายกก็กลับมาเป็นนายกเหมือนเดิม สส กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเลิกเว้นวรรคไปโดยปริยาย อันนี้มันเหมือนกินปูนร้องท้องหรือเปล่า ?

6. การเลือกตั้งที่ถูกระงับไปกลางลำ แต่ กกต. ก็ยังเดินหน้ารับรอง สส. ต่อไป (เริ่มจ่ายเงินเดือนแล้ว) กกต เองก็ไม่มีทางออก เดินไปก็ตาย ถอยหลังก็ตาย ได้แต่ซื้อเวลาไป เพื่อให้มีชีวิตรอดไปวันๆ เท่านั้น เพราะจากสัญญาณที่ศาลระงับการเลือกตั้ง ซ่อมในภาคใต้ที่ผ่านมา มันก็ส่อเค้าอะไรบางอย่างแล้ว เงาทะมึนรออยู่ข้างหน้า เอ…. แล้วคดีซื้อเสียง และสัญญาว่าจะให้ของนายกที่กกต สอบอยู่ไปถึงไหนแล้ว อ้อ….คงไม่มีอะไรเพราะ กกต รับรอง สส บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทยไปแล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องที่นายกไป สัญญาว่าจะให้ laptop เด็กทุกคนในประเทศ ถามว่าเทห์มั้ย เทห์มั้ย ไม่ผิดเลย ทำได้ ha ha ha (เอวัง) แล้วนี่ประชุมจะรับรอง สว. อาจจะถอดคุณกล้านรงค์ คุณรสนา ดร.นิติภูมิ และคุณบุญยอด ก็ได้ เพราะเคยขึ้นเวที พันธมิตรมาก่อน (ไหนๆ ก็เน่าแล้ว ก็เอาให้สุดๆ ไปเลย จะได้มีคนประนามไปอีกหลายชั่วอายุคน เอาว่าดังก็แล้วกัน คนนามสกุลเดียวกับ กกต ทั้งสี่นี่ก็น่าจะมีความสุข และเดินในถนนได้อย่างภาคภูมิใจว่ามีบรรพบุรุษเป็นคนแบบนี้) แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่า น่าจะได้รับการปูนบำเหน็จอย่างดี เนื่องจากเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

7. มีการพยายามเอาใจ ข้าราชการ และแรงงาน โดยการให้ Bonus และ ขึ้นค่าแรง แต่ในขณะเดียวกัน ดอกเบี้ยและ ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด โดย Bonus ส่วนใหญ่ก็คงจะไปที่ องค์กรที่ทำหน้าที่ รับใช้ระบอบทักษิณได้อย่างดี เช่น กรมสรรพากร (ไม่ทราบมีใครในโลกเคยเห็นระดับผู้บริหารของ ในประเทศไหนออกมาชี้แจงเรื่อง “ไม่ต้องให้คนๆ นี้เสียภาษี” หรือไม่ อันนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในโลก)

ทั้งหมดนี้เป็น Desperate Move หรือการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อให้อยู่รอดในลักษณะของเผด็จการจำแลงให้ได้ ถ้าไม่ได้ ก็อาจจะถอดหนังแกะ กลายเป็นเผด็จการจริงๆ และนั่น ก็จะกลายเป็นจุดจบอยู่ดี เพราะหมาป่าในหนังแกะ คนโง่ๆ ก็จะเห็นเป็นแกะอยู่ แต่หมาป่าเปลือยๆ นี่ คนเห็นหมดแน่ๆ คราวนี้เอาปืนเล็งได้ชัดๆ ไม่ยาก

บอกว่าบินไปเที่ยวเมืองนอก พักผ่อน ไม่เป็นนายกแล้ว ไปพบผู้นำประเทศทั่วโลกทำไม? ก็บอกว่าไปชี้แจงเรื่องการเมือง ของประเทศไทย แล้วไหนบอกไปเที่ยว

แล้วนั่งเครื่อง ไทยคู่ฟ้าไปได้อย่างไร ? ในเมื่อไม่ได้ไปราชการ

อยากรู้จริงๆ คุยอะไรกันบ้างกับผู้นำประเทศแต่ละคน

ในเมื่อจะถึงจุดจบแล้ว เราประชาชนควรจะช่วยกันกระทืบได้หรือยัง? กระทืบให้หนังแกะหลุดออกจาก หนังหมาเสียที

Wednesday, April 05, 2006

นักธุรกิจ กู้ชาติ

นี่ คือ Quote ของ อ.ต่อตระกูล ยมนาค ผู้มีชื่อเสียง อดีตนายก ของ วิศวกรรมสถาณแห่งประเทศไทย (ถ้าไม่รู้จักก็ลองหาข้อมูลทาง online นะครับ) ตอนนี้ท่านเป็นหนึ่งใน 300 ของกลุ่มวิศวกรช่วยชาติ ถอดความจากที่ ท่านกล่าวไว้ในการสัมภาษณ์ กับ อาจารย์ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในรายการ “รู้ทันทักษิณ” โดยมีผู้ร่วมบรรยาย คือ คุณปรีดา เตียสุวรรณ ประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย และ คุณไกร ตั้งสง่า อุปนายก วิศวกรรมสถาณแห่งประเทศไทย กรรมการสภาวิศวกร ตอนชุมนุมที่ สยามพารากอน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมา

ลองอ่านกันดู

อ.เจิมศักดิ์ : การมาชุมนุมของพวกเราที่ สยามพารากอนนี้ เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ซึ่งพวกเราก็เห็นว่ากำลังทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ คุณปรีดาเห็นว่าอย่างไร

คุณปรีดา : ธุรกิจเป็นสิ่งที่มีแต่ขยายไปมากขึ้นๆ ทุกๆ ที แล้วเป็นกำลังที่สร้างเงิน สร้างงานให้กับสังคมอย่างมหาศาล เพราะฉะนั้นถ้าพันธมิตรสามารถที่จะ เรียกกลุ่มธุรกิจให้มาร่วมมือร่วมใจกัน ออกไปประท้วงการปฎิบัติงานของคุณทักษิณที่ผ่านมา แล้วขอให้ท่านลาออกไปเสีย ผมคิดว่าจะเป็นพลังที่มหาศาลที่สุด แล้วก็เป็นพลังสุดท้ายที่ยังไม่ได้ออกมาแสดงตัวอย่างเต็มที่

อ.เจิมศักดิ์: แล้วที่คนเขาว่าการชุมนุมนี่ทำให้เศรษฐกิจพังนี้ จริงหรือเปล่าครับ

คุณปรีดา: ความจริงสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้คือ คุณทักษิณถูกจับได้ว่า ขายหุ้นเจ็ดหมื่นสามพันล้าน แล้วยังมีความพยายามที่จะไม่เสียภาษีให้กับพวกเราให้กับสังคมแม้แต่บาทเดียว ตั้งแต่นั้นมา พลังสังคมก็ออกมาขับไล่คุณทักษิณ อย่างมหาศาล จนกระทั่งเศรษฐกิจในระยะหลังก็ถอยลงมา อย่างมากมายอยู่แล้ว ผมทำการสำรวดจู พบว่าปัจจุบันนี้ ธุรกิจได้หายไปประมาณ 15-40% แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด ก็คือขอให้คุณทักษิณลาออกไป เว้นวรรคตัวเองออกไป เราก็จะเดินเข้าไปสู่หุบเหว ทุกทีๆ เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางเลือก เราจะต้องจัดการให้ท่านลาออกไปซะ ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นธุรกิจของพวกเราก็จะแย่กันไปกว่านี้ ถ้าท่านไปแล้วทุกอย่างจะกลับสู่สภาพเดิม หรือดีกว่าเดิม

อ.เจิมศักดิ์: หมายถึงถ้าไม่มาชุมนุมเศรษฐกิจจะพังยิ่งกว่า ?

คุณปรีดา: แน่นอนเลยครับ

อ.เจิมศักดิ์: แล้วคุณไกร คิดอย่างไรเรื่องนี้

คุณไกร: พี่น้องครับ เศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ประเทศไทยเราได้นำมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองนั้น เป็นเพราะภาคเอกชน คุณทักษิณมีส่วนเพียงนิดหน่อย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เศรษฐกิจของเรากำลังใกล้จะแย่ เพราะเรามีผู้นำที่ไร้คุณธรรม และจรรยาบรรณ แล้วก็เป็นที่มาว่า ทำไมนักธุรกิจถึงต้องออกมา

อ.เจิมศักดิ์: อาจารย์ต่อตระกูลละครับ คิดอย่างไรในประเด็นที่เรามาชุมนุมที่นี่ แล้วมีคนเขาบอกว่าการชุมนุมทำให้เศรษฐกิจพังเนี่ยจริงหรือเปล่า

อ. ต่อตระกูล: พี่น้องครับ ผมอยู่แถวนี้ (แยกประทุมวัน) มาตั้งแต่ ม.1 ผมยังไม่เคยเห็นศูนย์การค้าสยามเนี่ย มีคนมากขนาดนี้ ผมว่า สามห้าง (พารากอน, สยามเซ็นเตอร์ และ สยามดิสคเวอรี่) คิดผิดที่ปิดครับ สยามแสควร์เป็นของจุฬา จุฬาเลยเปิดให้พวกเราเข้าไปกินได้ เข้าห้องน้ำได้ เศรษฐกิจไม่เปลี่ยนแปลง ผมเดินไปที่ถนน รถก็ว่างมากเลยครับ นี่เป็นตัวอย่างที่ว่า รถส่วนตัวหายหมด มีแต่รถประจำทาง สี่แยกราชประสงค์ ไม่ติดเลยครับ

อ.เจิมศักดิ์ : แสดงว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ถ้าทุกคนหันมาใช้รถประจำทาง แล้วก็รถขนส่งมวลชน จะทำให้บ้านเมืองของเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในอนาคต เห็นบอกว่าตอนเริ่มต้นนี่ ก็ Happy ดี ไม่ใช่หรือที่มีนักธุรกิจเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะว่ามีวิธีคิดคล้ายๆ กัน เป็นนักบริหารเหมือนๆ กัน คิดยังไงตรงนี้ครับ

คุณปรีดา: คือ เราต้องยอมรับ ว่าคุณทักษิณก็มีข้อดี คือคุณทักษิณทำงานเร็ว การลงทุนจากต่างประเทศ คุณทักษิณกุลีกุจอไปเอามา ทำงานเร็วกว่ารัฐบาลอื่นๆ อันนี้ชัดเจน โครงการโอท๊อป ที่ให้ชาวบ้านนำสินค้ามาขายในตลาดโลก นี่ผมก็เห็นว่าดี แต่ปัญหาคือ จุดดีเหล่านี้มีแค่เล็กๆ แต่จุดไม่ดีมีมากมาย ซึ่งเราจะคุยกันต่อไป

อ.เจิมศักดิ์ : ที่บอกว่ามันมีดีอยู่บ้างนี่ ผลประโยชน์มันไปตกกับใครกันครับ ความดีทั้งหลายแหล่นี่

คุณปรีดา: ที่ดีน้อยๆนี่ อาจจะไปสู่ชาวบ้านบ้าง แต่ได้ที่ไม่ดีมากๆ กับเศรษฐกิจโดยรวมนี่ ผมยกตัวอย่างจากการกระจายของเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ที่ผ่านมานี่ มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ในห้าปีนี้ มันไปดีอยู่ที่ตระกูลหลัก คือ ชินวัตร ดามาพงศ์ และอีก 10 ตระกูล คือมันมีการคำนวน โดยบริษัท Bloomberg ว่าคุณทักษิณและพวก ได้แก่ดามาพงศ์ และวงษ์สวัสดิ์ มีหุ้นที่อยู่ในมือจัดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นการกุมอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

คุณไกร: คุณทักษิณเอาธุรกิจกับการเมืองมาผสมกัน เพราะลืมไปข้อหนึ่ง ในการประกอบวิชาชีพทางธุรกิจ นอกจากคุณจะต้องเก่ง เก่งเรื่องการจัดการการเงิน เก่งเรื่องการบริหารแล้ว สิ่งที่ตามมาคู่กันคือ ต้องมีคุณธรรม ซึ่งทักษิณไม่มี

อ.เจิมศักดิ์ : อาจารย์ต่อตระกูลครับ ผมได้มีแถลงการณ์ของ กลุ่มวิศวกรเพื่อชาติ รวมตัวกันในบรรดาวิศวกรระดับใหญ่ๆ ทั้งนั้น รู้สึกว่าจะมีท่านอาจารย์เกษม จาติกวนิชย์ เป็นประธาน กลุ่มนี้เนี่ย ออกมาทำไม

อ.ต่อตระกูล: วิศวกร ไม่ใช่แค่สามร้อยคนที่ต้องออกมานะครับ แต่วิศวกร เราอยู่กับการใช้เงินของรัฐบาลเป็นแสนล้าน เราถามวิศวกรกี่คน กี่คน ว่าจะหาสักคนได้มั้ย ที่ไม่เคยถูกรีดไถ จะหาสักโครงการไหน ที่ไม่เคยถูกรีดไถ จะหาสักโครงการไหนมั้ย ที่ถูกรีดไถน้อย สักแค่ 5% ไม่มีเลยครับ มีแต่ 20% ถึง25% หรือ ถึง 30% ก็มี วิศวกร แต่ก่อนไม่เคยถูกรีดไถ ก็ถูกรีดไถ แล้วยังไม่ให้วิศวกรได้ทำหน้าที่ ว่าโครงการต่างๆนั้น ควรจะสร้างหรือไม่สร้าง ควรจะซื้อหรือไม่ซื้อ รัฐบาลนี้ มีผู้นำสูงสุดอยู่เพียงคนเดียว คือ (คนตะโกนบอก “ทักษิณ”) เราต้องให้มันออกไป คือว่า เขาใช้วิธีใหม่ครับ แว๊บเดียว คิดได้ แล้วก็บอกว่า เอาไปห้าพันล้าน ไปซื้อCTX มา เอาไปสี่แสนล้าน ไปสร้างรถไฟมา วิศวกรบอกว่า ต้องใช้เวลาสร้าง 20 ปี เขาก็บอกว่า สามปี คุณต้องทำให้ได้ โครงการเหล่านี้แทบจะไม่มีการคิดอะไรเลย ไม่มีการคิดที่ว่า ผลรายได้จะเป็นอย่างไร ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร จะพอเพียงหรือไม่ ลูกหลานเราอีก 20 ปีต้องเป็นหนี้กันไปตลอดชาติ

(มีต่อ)

อ.เจิมศักดิ์ หมายความว่าโครงการต่างๆ เหล่านี้ คุณทักษิณใช้วิธีสั่งการ ไม่ใช่ว่าจะให้วิศวกรผู้มีความรู้ มาศึกษาว่าควรทำหรือไม่ คุ้มทุนหรือไม่ ถ้าจะทำ ทำอย่างไร เสร็จเมื่อไหร่ แต่ทักษิณใช้สมองของตัวเองเท่านั้น ให้เอาแบบนี้ เสร็จในเวลากี่วัน แล้วก็ทำขนาดนี้เลย เสร็จแล้วพวกวิศวกรทั้งหลายก็ต้องไปสร้างใหัมัน fit กับที่นายก ต้องการ แบบนั้นหรือครับ

อ.ต่อตระกูล: ใช่ครับผม เขาคิดว่า แผ่นดินนี้ ไม่ใช่ของเราครับ แผ่นดินนี้ เขาคิดว่าเป็นของ ทักษิณ (คนตะโกนตามว่า “ออกไป”) เราจะไม่เหลือแผ่นดินครับ เพราะเขาจะเอาไปขายหมด

คุณไกร: พี่น้องครับ อาจารย์ต่อตระกูลเราเรื่องที่คุณทักษิณไปทำผิดโผ เดี๋ยวผมขออนุญาติเล่านิดนึงนะครับ ว่าสำนักงานนโยบายขนส่งและจราจร หรือ สนข. เขาได้วางแผนระบบ Mega Project สิบกว่าปีที่แล้ว วางไว้ล่วงหน้า รถไฟแต่ละเส้นที่ออกมา นั่นคือมันสมองของวิศวกรและการวางแผน ผมจะเล่านะครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก่อนการเลือกตั้ง ทักษิณ 2 เรามีรถไฟฟ้า 7 สายด้วยกัน พวกเราก็ไปซื้อบ้านที่บางใหญ่ ซื้อบ้านเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการที่อีก 30 นาที นั่งรถไฟฟ้า จากบางใหญ่มาใจกลางกรุงเทพมหานครได้ เขาสัญญากับพวกท่านนะครับพี่น้องครับ ติดข้างเสาไฟฟ้าว่า รถไฟฟ้าจะผ่านตรงนี้ ผู้พัฒนาที่ดิน เร่งไปพัฒนาประมาณ 600 โครงการ นนทบุรี ปทุมธานี เพียงหวังว่าเศรษฐกิจ หวังว่าประชาชนจะได้มาซื้อบ้านของเขา แต่มันไม่ใช่ พอกุมภา 48 (เดือนที่มีการเลือกตั้ง) ผ่านไป เขาก็ไปตัดเหลือ 5 สาย โดยตัดเส้นบางใหญ่ออก พวกเราก็โวยวาย เขาบอก เขาทำได้ ผมเป็นนายกซะอย่าง ยังไม่พอนะครับ พอถึงวันที่ 4 (ธันวาคม) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านบอกว่า พอเพียง จากห้าสาย พอสิบวันให้หลัง ประกาศเป็นสิบสายทันที นี่คือการโฆษณาชวนเชื่อ เขาก็ไปลากเส้นตามอำเภอใจ โดยไม่คิดว่า ประเทศเรามีงบประมาณ เท่าไหร่ บอกไปว่า 300 กิโลเมตร ถ้าคุณเลือกพรรคไทยรักไทย แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่า เขาโกหก ถ้าจะทำ 300 เมตรต้องใช้เวลาประมาณ 20 ปี Mega Project เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมาก ท่านต้องมีแนวคิดจากวิศวกร ในการวางแผนและนโยบาย มีเรื่องระเบียบการประมูล แต่เขาทำแบบนี้ เมื่อมกราที่ผ่านมา จากกระบวนการที่มีรายละเอียด ตั้งแต่บางซื่อไปบางใหญ่ มีแบบเรียบร้อย พร้อมที่จะสร้าง แต่งบประมาณไม่พอ เลยห้ากิโลก็พอ แต่อีกห้ากิโลมาเพิ่มให้อีก แล้วเดี๋ยวค่อยๆ ทำไป แต่เขาไม่ทำแบบนั้น เขาประกาศตูมทีเดียว 10 โครงการ แล้วเขาบอกว่า สามร้อยกิโลเมตรจะเป็นของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะเมื่อมกราที่ผ่านมาเขาได้ทำการเปิดประมูลแบบ International Bidding หรือการประมูลแบบสากล กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่เรียกว่า รีบรุก ลุกลน แล้วก็เร่งรีบ ทำไมหรือครับ เพราะเขาต้องการจะขาย โครงการนี้ให้เสร็จสิ้น เขามีขบวนการที่เรียกว่า การเปิดประมูลโดยใช้แบบสากลดังกล่าว ใครก็ได้ ยังไงก็ได้ ที่ไหนก็ได้ และเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะอะไรครับ? เขาก็บอกว่าให้ท่านส่งมาเลย จะเป็น Design Build หรือ จะทำไปสร้างไปก็ได้ จะทำแบบร่วมกับรัฐบาลก็ได้ จะทำแบบสัมปทาน BOT ก็ได้ (Build Operated แล้วก็ Transfer) หรือท่านจะทำอะไรก็ได้ หรือท่านจะส่งมา lotแรก มี Backhoe มาแปดคัน จะขอเพิ่มเป็น สิบคัน ก็ได้ ครั้งแรก ส่งวิศวกรมา สิบคน ครั้งที่สองส่งไปอีก 20 คน ก็ได้ พี่น้องต้องดูครับ ท่านจะสร้างบ้าน ท่านจะเป็นคนปลูกบ้าน ท่านมีสิทธิเลือก แล้วคนที่จะไปซื้อคือประเทศไทย โครงการทั้งหมดเป็นของเรา เราเป็นคนจ่ายภาษี เราจะต้องไปจ่ายเงินให้กับของที่เรายังไม่รู้ว่าคืออะไร เจ็บใจมั้ยครับแบบนี้ เขาทำต่อนะครับ คือพยายามจะเร่งทั้งหมดให้จบภายใน 6 ปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งหมดต้องประมาณ 20 ปี ถ้าท่านเป็นรัฐบาลที่ถูกต้อง ท่านทยอยทำ ทำไมครับ สายสีเขียวก็คือสะพานตากสิน เราต่อแค่ สองกิโลเมตรเท่านั้นเอง เพราะเขาขี้อิจฉา เขาอิจฉาว่า ชาวกรุงเทพมหานครจะได้รับความสะดวกสบาย จ่อมันแค่ถนนตากสินเอง ทำไมไม่ต่อถึงบางเสียที ในเมื่อเสานั้นพร้อมแล้ว เขาอิจฉาว่าทำไมคุณไม่ต่อจากอ่อนนุชไปจนจรดบางนา หรือศรีนครินทร์ ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีนโยบายปฎิบัติพลังงาน บอกว่าจะประหยัดพลังงาน แต่ให้พวกเราทนนั่งรถติด ถ้ารัฐบาลมีนโยบายประหยัดพลังงานจริง ท่านต้องรีบเร่งสร้างรถไฟฟ้า เราสนับสนุนแน่ แต่กระบวนการนั้นไม่ถูกต้อง

อ.เจิมศักดิ์ : คุณปรีดา ว่าอย่างไรครับ

คุณปรีดา: พี่น้องเคยได้ยินโครงการ Elite Card มั้ยครับ ที่เอาไปขายให้ชาวต่างชาติหัวละ 1 ล้านบาทน่ะ พังไปเป็นหลายพันล้านนะครับ วิธีการทำงานทำอย่างไรรู้มั้ยครับ คุณทักษิณเรียกผู้ว่าการท่องเที่ยวเข้ามา ผมจะขาย Card อันนี้ให้กับชาวต่างประเทศนี่ล่ะครับ 1 ล้านคน คนละ 1 ล้านบาท เพราะฉะนั้น น่าจะได้เงินทั้งหมด 1 ล้านล้านบาท มาเข้าประเทศไทย เงื่อนไขสำคัญของการที่จะขาย Card ใบนี้ก็คือ ใครที่มาซื้อ Card นี้จะมีสิทธิไปซื้อที่ดินได้ 10 ไร่ เราทุกคนก็รู้ๆ กันอยู่ว่าชาวต่างประเทศ ซื้อที่ดินไม่ได้ คุณทักษิณก็ไปสัญญากับเขาว่าจะให้ซื้อได้ 10 ไร่ ปรากฎว่าเวลาชาวต่างประเทศไปซื้อจริงๆ ขึ้นมา วิ่งเอา Card นี้ไปที่กรมที่ดิน กรมที่ดินบอกว่า ไม่รู้เรื่อง เพราะถึงมีคำประกาศออกมาก็จริง แต่กฎหมายยังไม่ได้เปลี่ยนเลย คิดดูสิครับว่า ทำงานใหญ่ขนาดนี้ รายละเอียดแบบนี้ ยังพลาดได้ เสร็จแล้วในที่สุดชาวต่างประเทศเขาก็ขาดความเชื่อถือ แห่กันเอา Card มาคืน ก็ขาดทุนไปเป็นหลายพันล้านบาท

อ.เจิมศักดิ์ : รู้สึกว่าจะติดหนี้ CNN อยู่ด้วยใช่มั้ย ที่ไปโฆษณาในนั้น
คุณปรีดา: ถูกต้องครับ นี่ละครับฝีมือการทำงานของรัฐบาลทักษิณที่ผ่านมา

อ.เจิมศักดิ์ อ้าวก็เห็นบอกว่าเขาเก่งเรื่องการตลาดไม่ใช่หรือ

คุณปรีดา: ก็คือการตลาดที่โฆษณาตัวเองไงครับ ผลงานยังไม่ทันออก วิ่งไปโฆษณาตัวเองแล้ว

อ.ต่อตระกูลครับ เร็วๆ นี้มันมี Mega Project หลายอันที่ทักษิณไปเชิญชวนคนต่างชาติ บอกว่าให้ช่วยๆ กัน คิดโครงการด้วย แล้วพอเสร็จแล้ว มาแลกเปลี่ยนสินค้าการเกษตรกัน ผมสงสัยว่าตอนทักษิณขึ้นมาเป็นนายกใหม่ๆ ใช้ความเป็นชาตินิยม IMF ไม่ใช่พ่อ ด่าทั้ง IMF ด่ารัฐบาลที่แล้ว ด่าไปร้อยแปด เรื่องต่างชาติ แล้วเขาไปให้คนต่างชาติช่วยทำไม อาจารย์คิดว่ามีคำอธิบายอย่างไรสำหรับเรื่องนี้

อ.ต่อตระกูล: ประเทศไทยหมดตัวครับ คือคำอธิบายง่ายๆ เราไม่มีเงินจะสร้างอะไรแล้ว แต่ดันไปสัญญากันไว้ ว่าจะสร้างให้คนกรุงเทพ กระทรวงการคลังบอกว่าจะหาเงินได้ แต่หาไม่ได้ ก็เลยต้องไปเชิญต่างประเทศมา บอกให้เอาเงินมาลงทุนด้วย ชาวต่างชาติก็บอกว่า ไม่เชื่อประเทศไทยหรอก ใครไม่มีเส้นประเทศไหนก็จะไม่ได้ หลอกเขามาหลายหนแล้ว คราวนี้ก็เลยคิดว่า ถ้ายอมง้อให้ชาวต่างประเทศเขา เขียนข้อเสนออะไรก็ได้ เสนอมา ไม่ต้องมี ข้อกำหนด ในโลกนี้ไม่เคยมีใครทำแบบนี้ครับ ประเทศที่ยากจนแค่ไหน เขาก็ไม่ทำแบบนี้ครับ มีประเทศไทยที่ถอดเสื้อผ้าให้เขาดูหมด เพราะว่าหมดเนื้อหมดตัวแล้ว ไปกราบไหว้ขอให้เขาเข้ามา ประธานาธิบดีฝรั่งเศสมาประเทศไทย แปลกใจมาก ว่าการ์ตูนของหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสเขาบอกว่า ไหนบอกว่าประเทศไทยรักชาติ สมัยที่เข้ามาแถวนี้ ประเทศไทยส่งคนไปรบ สมัยโน้น สงครามอินโดจีน ตายไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มาวันนี้เขาเขียนการ์ตูนเป็นรูปคุณทักษิณ บอกว่าจะซื้อประเทศไทยก็ได้ ขอให้ฝรั่งเศสมา(พยายามหาการ์ตูนที่ว่านี้แล้ว หาไม่เจอครับ ใครหาเจอบอกด้วย) น่าอับอายขายหน้ามาก เรายอมให้คนแบบนี้เป็นตัวแทนของเราได้อย่างไร

คุณปรีดา: ขอต่อนิดหนึ่ง พี่น้อง ไหนๆ ก็พูดเรื่อง Mega Project แล้ว วิธีคิดของทักษิณเนี่ย ไม่เหมือนชาวบ้าน คนไทยทำได้ แต่ไม่ยอม คนไทยทำได้แต่ข้าไม่ให้ เพราะเขาไปคิดจำนวนยอดเงินครับ ระบบชลประทานคือระบบเขื่อน ทุกอย่างมีฝาย การสร้างอ่างเก็บน้ำ เขาคิดว่ามูลค่าอะไรก็ตามที่รวมๆ กันแล้ว พันล้าน นั่นคือ Mega Project แล้วเขาก็ให้ประมูลระบบสากล ก็คือให้ฝรั่งทำ ให้จีนให้ญี่ปุ่นทำ คนไทยเรา เรารู้เรื่องชลประทานดีกว่าใคร แต่เขาไม่ให้เราทำ เขากลับไปให้ต่างชาติทำ อย่างนี้เรียกว่าใช้ได้มั้ยครับ

คุณไกร: เมื่อห้าปีก่อนที่ รัฐบาลทักษิณเข้ามาใหม่ๆ จำได้หรือไม่ว่า คุณทักษิณบอกว่าเราจะพึ่งตัวเอง ทักษิณโนมิกส์ คือการพึ่งกำลังของรากหญ้า พึ่งกำลังของคนของประเทศเรา เราจะสร้างประเทศของเราเอง เราไม่ care ฝรั่ง UNไม่ใช่พอกู จำได้มั้ยครับ เสร็จแล้วเป็นไงครับ AIS ขาย ขายอะไรไปบ้าง ขาย ITV ขายดาวเทียม ให้ Singapore ไปเรียบร้อย นี่คือ ห้าปีให้หลัง

อ.เจิมศักดิ์: ขอถามทั้งสามท่านต่อว่า มีลูกกันหมดแล้วใช่มั้ยครับ (ทุกคนตอบว่ามีหมดแล้ว มีลูกคนละ 1 คน ถึง 2 คน คนละประมาณ 20 กว่าปี) แต่ละท่านมีลูกขนาดนี้ เวลาตัดสินใจในกิจการใหญ่ๆ คุณตัดสินใจเองหรือให้ลูกตัดสินใจ

คุณปรีดา: ลูกผม ผมยังมีปัญหาว่าจะให้มันออกจากบ้านไปเผชิญชีวิต คิดอะไรไม่ค่อยจะเป็นเลย อยากให้มันไปหาประสบการณ์ข้างนอกบ้าง ไม่มีทางหรอกครับ เด็กอายุแค่นี้ มันจะไปตัดสินใจอะไรใหญ่ๆ ได้อย่างไร

อ.เจิมศักดิ์: แล้วอย่างนั้นเชื่อหรือไม่ว่าทักษิณ บอกว่าเขาไม่รู้เรื่องเลย เจ็ดหมื่นสามพันล้าน ลูกๆเขาทำเอง คุณปรีดาเชื่อหรือไม่

คุณปรีดา: ตอนนี้คุณ สุวรรณ วลัยเสถียร ออกมาพูดว่า ลูกๆ ของเขาทำกันเองนี่ ผมหัวเราะกันเกือบตกเก้าอี้แน่ะ (คนดูเฮ ดังมาก)

อ.เจิมศักดิ์: ทำไมถึงหัวเราะละครับ

คุณปรีดา: มันเป็นคำพูดของบุรุษที่ผมนับถือ อย่างน้อยที่สุดคือเคยนับถือ แต่มันเป็นคำพูดที่ไร้เดียงสา และคิดว่าคนไทยมันโง่เหมือนลา

อ.เจิมศักดิ์ : คุณไกรละ เชื่อมั้ยว่า ทักษิณบอกไม่รู้เรื่องเลย ขายเจ็ดหมื่น สามพันล้าน


คุณไกร: หน้าเขาเป็นไงละครับพี่น้อง (คนตะโกนว่าเหลี่ยม) เชื่อได้มั้ยครับ (คนตะโกนว่า ไม่ได้)

อ.เจิมศักดิ์: อาจารย์ต่อตระกูลล่ะ เชื่อหรือเปล่าครับ

อ. ต่อตระกูล: ไม่เชื่อเด็ดขาดครับ

อ.เจิมศักดิ์: ทั้งสามท่านี้ เคยซื้อหุ้นหรือเปล่าครับ

คุณปรีดา และ คุณไกรบอก ว่า เคย แต่อาจารย์ต่อตระกูลบอกว่า ไม่เชื่อแล้ว ตลาดหุ้นไทย

อ.เจิมศักดิ์: ถามว่าเวลาที่เล่นหุ้น รู้สึกอย่างไร

คุณปรีดา: คือประการแรก ต้องดูว่ามันมี ทักษิณ Premium หรือเปล่า นะครับ ถ้ามีทักษิณ Premium นี่ ถ้าเราจับทางได้ ไปตามเขา มีสิทธิได้ คือ พูดง่ายก็คือ ถูกปั่นกันแหลกลาญด้วยกำลังเงิน และอำนาจที่มีอยู่ในมือของคน กลุ่มนี้ อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า 40% ของตลาดหุ้น อยู่ในมือ ของ คุณทักษิณและครอบครัว

อ.เจิมศักดิ์ ตกลงว่าไม่ค่อยจะกล้าเล่นตลาดหุ้นเท่าไหร่

คุณปรีดา: ก็แบบว่าระวังมากนะครับ ซื้อนิดๆ หน่อย

คุณไกร: ผมว่าคุณทักษิณ ทำให้ตลาดหุ้นของเราไม่มีความเป็นกลาง เขาเอารัฐมนตรีกระทรวงการคลังมาดูแลทั้งตลาดเงินและตลาดทุน ใช้ได้หรือไม่ครับ คนเดียว สามารถจะมีสองหัว สามารถจะบอกว่า ข้างในเป็นอย่างไร เพราะว่าเขาดูแลทั้งตลาดทุน และตลาดเงิน (ธนาคาร) เพราะฉะนั้น ความไม่โปร่งใสตรงนี้ พวกเราก็ต้องยอมรับว่าคือ แมงเม่าดีๆ นี่เอง ท่านจะต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้นที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณทั้งหมด

อ.เจิมศักดิ์: ฟังอย่างนี้แล้ว ต่างชาติเขามองทักษิณ แบบว่า ตลาดหุ้นก็ดี เศรษฐกิจของประเทศไทยก็ดี การบริหารธุรกิจและเศรษฐกิจเนี่ย ต่างชาติ เขามองอย่างไร

คุณปรีดา: คือเราไม่ต้องดูอะไรมากนะครับ ตั้งแต่คุณทักษิณเข้ามาบริหารประเทศเนี่ย ความเชื่อถือของต่างชาติที่เขามี สถาบันที่เรียกว่าPERC เนี่ย เขาให้ความเสี่ยงในการลงทุนของประเทศไทย ในเรื่อง คอรัปชั่น ตกลงมาทุกๆ ปี ถ้าผมจำไม่ผิด ปีก่อนเนี่ย เราตกจาก 32 มาเป็น 34 แล้วสำหรับคนที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อนๆ ผมที่ผมทำการค้ากับเขาอยู่เนี่ย เวลาเจอหน้าเขาก็ถามว่า ไอ้เจ็ดหมื่นสามพันล้านที่เขาขายออกไปเนี่ย แล้วพวกคุณไม่ได้สักสลึงนึงเลยเนี่ย คุณไม่อายกับความเป็นคนไทยบ้างหรือ ว่าคุณในฐานะที่เป็นคนไทยเนี่ย ยอมให้บุคคลซึ่งเป็นระดับสูงสุดของประเทศแบบนี้ มาทำกับคุณได้ คุณไม่ละอาย กับความเป็นไทยบ้างหรือ คิดดูสิครับ นี่ล่ะเป็นสิ่งที่ทำให้ ผมเนี่ย ทนไม่ไหว แล้วก็ออกมาเผชิญหน้ากับพวกคุณทักษิณ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม ในเรื่องที่เขาจะมากลั่นแกล้งธุรกิจผม แต่ตอนนี้ สรรพากร ก็มาแล้ว ที่บริษัทผม วันนี้หมายของกรมแรงงานก็เข้ามาแล้ว เขียนมา วันที่ 29 คือวันนี้ มาถึงมือผม 29 กลางวัน สั่งให้ผม ไปรายงานตัวที่กรมแรงงาน พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า จากวันที่ จากวันที่ออก เวลาที่เขียน จากวันที่ผมต้องไปปรากฎตัว ยังไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยครับ อันนี้เป็นหลักปฎิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ ใครสั่งมา

อ.เจิมศักดิ์ : น่าเห็นใจนะครับ

คุณปรีดา: ผมก็เห็นใจนะครับ ผมทราบนะครับ ว่าในกรมแรงงานก็มีข้าราชการที่ดี ทั้งหลายก็มีมากมาย ขอให้พวกเราปรบมือให้ข้าราชการดีๆ หน่อย(คนปรบมือ) แต่ว่าไอ้พวกที่ไม่ดี ซึ่งผมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะมีเท่าไหร่ ที่ผมจะต้องไปเจอเขา แล้วยังไงผมจะกลับมาฟ้องท่าน ไอ้พวกที่ไม่ดีเราเรียกว่าอะไรนะครับ (คนด่ามากมายด้วยคำหลายๆ แบบ)

คุณไกร: พี่น้องถ้ามี internet ลองไปสำรวจโลกดูนะครับ ลองเปิดดู Chicago Tribune, Washington Post, New York Times เขาจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่น้องกำลังประท้วงนายก นายกทักษิณไม่มีจรรยาบรรณ และจริยธรรมในการปกครอง เขาบอกด้วยนะครับ ว่าผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วยังแถมเอาการเมืองมายุ่งกับธุรกิจ แล้วเขาก็บอกต่อไปว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องแล้ว อยุ่ในกระบวนการระบอบประชาธิปไตย ผมขออนุญาติเรียกพี่น้องว่า พวกเราไม่ใช่ม๊อบ แต่พวกเราคือ March เ็ป็นน้องสาวของม๊อบ (การประท้วงแบบ Large Scale ในสหรัฐอเมริกา จะเรียกเป็น March เช่น Million Man March ที่เป็นการประท้วงสิทธิของคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา – ดร.พร) พวกเราสงบสุข ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า Violence หรือความรุนแรง เพราะฉะนั้นปรบมือให้ตัวเองหน่อยครับ เราไม่มีความรุนแรง เรามีความสงบสุข

อ.เจิมศักดิ์: คุณทักษิณเขาบอกตลอดเวลาว่า เขาไ่ม่เคยยุ่งเลย เรื่องหุ้น เื่รื่องธุรกิจ เขาวางมือเรียบร้อยแล้ว เชื่อหรือเปล่าครับอาจารย์

อ.ต่อตระกูล: ไม่เชื่อเด็ดขาดครับ คุณพานทองแท้ แกไม่รู้เรื่องทำธุรกิจอะไรหรอก แกอยู่แถวสยามแสควร์เนี่ยล่ะ ไม่รู้เรื่อง เจ็ดหมื่นล้านของตัวแกหรอก

อ.เจิมศักดิ์: วันก่อนนี่ ได้ฟังหรือเปล่า ผมได้สัมภาษณ์ท่านทูต กษิตม์ ภิรมย์ ท่านบอกว่าสมัยเป็นทูตอยู่ที่ญี่ปุ่น คุณทักษิณกำลังนั่งรถจะไปพบนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาในรถ แล้วก็สั่งซื้อหุ้นที่ประเทศไทย คุณปรีดาวันนั้นได้ฟังหรือเปล่า

คุณปรีดา: ครับ ผมฟังอยู่ แล้วผมก็คิดว่านี่คือใบเสร็จที่แจ้งโทษได้อย่างชัดเจน

คุณไกร: วันนั้นที่เขาบอกกันว่า รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือหุ้นไ่ม่ได้ แต่ดันไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งซื้อหุ้น ของผมนี่มี ยังทีเด็ดกว่า ปีที่แล้วนี่ มาที่บริษัทผม ไม่ใชุ้คุณทักษิณนะ ผู้ลงทุนกลุ่มนึงไปที่บริษัท AIS แล้วผู้ลงทุนกลุ่มนี้ก็ซื้อหุ้นที่บริษัทผมด้วย ก็มีนัดกันว่าจะมาที่บริษัทผม บ่ายสองโมง หลังจากไปเยี่ยมบริษัท AIS แล้ว แต่หลังจากนั้นมีโทรศัพท์มาหาผมว่า ขอยกเลิกมาเยี่ยมบริษัทผม เพราะบอกว่า พอคุณทักษิณรู้ ก็อยากพบผม อยากจะมาอธิบายเรื่องประเทศ เรื่องหุ้นให้คนลงทุนพวกนี้ ทั้งๆ ที่ดำรงตำแหน่งนายกอยู่

อ.เจิมศักดิ์: พี่น้องครับ รัฐธรรมนูญมาตรา 209 เขียนไว้ชัดเจนว่า บุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้น หรือกิจการของบริษัทไม่ได้ เพราะจะมีผลประโยชน์ มีส่วนได้ส่วนเสีย ฟังอย่างนี้แล้ว ท่านทูตกษิตม์ ก็ดี ทั้งคุึณปรีดา เตียสุวรรณ ให้เป็นพยานหลักฐานเบื้องต้นชัดเจน พี่น้องยังคิดว่า นายกทักษิณเป็นรัฐมนตรีของประเทศไทยอยู่อีกหรือเปล่า (คนตะโกนร้องบอกว่าไม่เป็น)

อ.เจิมศักดิ์: คุณปรีดาพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า การที่ทักษิณบริหารธุรกิจ มันทำให้คนประมาณ 10 ตระกูลร่าร่วยขึ้นแต่คนอื่นๆ แย่ลง แต่เขาก็ให้คนจนไม่ใช่หรือ เขาเอาเงิน 7 หมื่นล้านไปให้กองทุนหมู่บ้าน หมู้บ้านละล้าน ธนาคารออมสินเอาไปปล่อย อาจารย์ต่อตระกูลก็เป็นกรรมการอยู่ด้วยนี่ครับ ผลมันเป็นอย่างไร

อ.ต่อตระกูล: ผมเป็นกรรมการนะครับ ตอนที่ทักษิณเจอท่านปลัดกระทรวงการคลัง ก็ประกาศว่าทำไมมันได้ง่ายขนาดนั้น เอามันแบบนี้ละทุบกระปุกออมสินเด็กเลย ได้มา 7 หมื่นล้าน แล้วเขาอนุมัติอย่างไรรู้มั้ยครับ เขาส่ง fax มาให้กรรมการบอร์ดทุกคน ให้เซ้นไปใน fax ว่า ให้รัฐบาลกู้ ผมไม่เคยรู้เลยว่า เงื่อนไขคืออะไรบ้าง เห็นมีแต่รัฐบาลจะจ่ายเฉพาะดอก แต่เงินต้นจะเป็นยังไงไม่มีใครทราบ

อ.เจิมศักดิ์: โอ้โห รัฐบาลชุดนี้นี่เขาใช้วิธีทำงานแบบนี้เองหรือครับ แทนที่จะให้กรรมการออมสินประชุมกัน เพื่อจะได้ถกเถียงกันว่าควรจะให้กู้หรือไม่ กับเงินเจ็ดหมื่นล้านนี่ กลับใช้วิธีส่ง fax ไป ให้เซ็น เออ นี่เขาทำงานกันแบบนี้นะ

อ.ต่อตระกูล: ครับ แล้วผมก็โดนปลด เพราะผมไม่เซ็น (คนปรบมือ)

อ.เจิมศักดิ์: พอไม่เซ็นแล้วผลเป็นยังไงละครับ

อ.ต่อตระกูล: เขาก็เอาตำรวจไปแทนผมครับ

อ.เจิมศักดิ์: ตกลงบ้านเรานี่ใช้ตำรวจปกครองละกันนะครับ เออ คุณปรีดา ตกลงเรื่องกองทุนหมู่บ้านนี่ ที่คุณติดตามอยู่นี่ ผลมันออกมาใช้ได้มั้ยครับ

คุณปรีดา: ผมนี่เป็นคนที่มีอคติกับกองทุนหมู่บ้านมาตั้งแต่แรก ผมก็ดูๆ อยู่ แต่พอผมทราบว่าท่านจะเอาจริง เป็นหมู่บ้านละล้านนี่ ผมตกใจมากๆ ก็เลยพูดไว้เลยว่า นโยบายนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ เพราะจะทำให้คนเสียนิสัย วันๆ ไม่ทำอะไร รอเมื่่อไหร่ จะได้เงินอย่างเดียว ผมได้ทำงานเรื่องนี้มา 4-5 ปีก่อนที่รัฐบาลไทยจะเข้ามา ผมไปช่วยจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ของหมู่บ้าน ทำงานกับ ธกส. ที่จะไปสร้างการออมทรัพย์ในแต่ละหมู่บ้านให้เกิดขึ้นมา โดย ในสิบปีหลังนี้ ธกส. ก็ทำได้ดี ไปสร้างสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ถึง หมื่นกว่าหมู่บ้าน สหกรณ์ออมทรัพย์นี้หมายถึงอะไร ก็หมายถึง ธกส.เดินไปในหมู่บ้าน ก็จะไปหาคนที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้านนั้นๆ มารวมกันสัก 5-6 คน โดยส่วนใหญ่ก็มีผู้ใหญ่บ้านอยู่ด้วย คนเหล่านั่้นก็จะรวบรวมเงินจากชาวบ้าน ไปฝากธกส. พอได้ดอกเบี้ยก็มาแจกคืนให้ชาวบ้าน ในขณะเดียวกันก็จะให้ชาวบ้านมากู้ด้วย โดยมีโครงสร้างคล้ายๆ กันแล้วมันออกมาดี เพราะเป็นคนที่ชาวบ้านเชื่อใจ ก็เหมือนธนาคารย่อยๆ นี่เอง เพราะฉะนั้น ข้อเสนอตอนนั้นที่เราพยายามจะ กราบเรียนรัฐบาลทักษิณไปนั้นว่าไอ้เงินที่จะไปลง 1 ล้านบาทต่อหมู่บ้าน มันควรจะไปลงที่สหกรณ์ออมทรัพย์ มันจึงจะถุกต้อง แล้วก็บอกว่า ถ้าทำแบบนี้แล้ว มันจะเกิดความอิจฉากันขึ้นมาเอง แล้วเขาก็จะไปตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ตาม แล้วพอเขาตั้งเป็นระบบแล้ว จึงเอาเงินไปให้เขา เห็นมั้ยครับ นี่จะเป็นวิธีที่สร้างงานและผลิตผลอย่างแท้จริง แต่ปรากฎว่าเอาเงิน 7 หมื่นล้านไปลงให้ทุกหมู่บ้านเลยเนี่ย มันเลยทำให้เกิดองค์กรที่ มาใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ท้ายที่สุด นิด้า หรือแม้แต่ สถาบันพระปกเกล้า ก็ได้แสดงออกมาชัดเจนว่าเงินที่ออกมานี่ มันไม่ได้ไปสร้างงานอะไรเลย มันมีแต่ไปสร้างหนี้ ที่เกิดมาจากการบริโภค โทรศัพท์มือถือ มอเตอร์ไซค์ ใช้ไป แล้วก็ไม่ได้อะไรคืนมา และมันก็กลายเป็นหนี้ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตร พี่น้องต้องจำไว้ว่า ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรเป็นธนาคารที่ไม่สามารถที่จะถูกตรวจสอบได้ เพราะอะไรทราบมั้ยครับ เพราะสองธนาคารนี้ไม่ได้อยู่ในกระบวนการชอง Bank ชาติ เพราะฉะนั้นนักการเมืองจะทำอะไรกับธนาคารสองธนาคารนี้ก็ทำได้ ธนาคารออมสินที่ฝากเงินของลูกเราเนี่ย เขาทำได้หมด แล้วไม่ต้องรายงานเลย เมื่อเช้านี้หนังสือพิมพ์ลงแล้วว่า รัฐบาลได้ผ่อนการชำระเงินคืินธนาคารออมสิน 5 หมื่นล้านบาท รัฐบาลไม่มีเงินแล้ว แล้วช่วงที่ผ่านมาที่ใช้เงินไปหาเสียง เข้าไปสู่ระบบประชานิยม หาเสียงเข้าตัวโดยไม่สนว่าเงินจะไปอยู่ที่ไหนบ้าง ในที่สุดแล้ว มันก็พิสูจน์ ออกมาว่าเราถังแตกขนาดไหน

อ.เจิมศักดิ์ คุณปรีดาบอกว่ารัฐบาลถังแตกเนี่ย ขอถามที่อยู่ในวงการก่อสร้างดีกว่า คนที่อยู่ในวงการก่อสร้างจะมี sense ที่ดีในเรื่องนี้แน่ๆ คิดว่าไงครับ คุณไกร อาจารย์ต่อตระกูล

คุณไกร: รัฐบาลนี้หมดเงินแล้วนะครับ ถามพี่น้องนิดนึงนะครับ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตั้งแต่รัฐบาลชุดนายกชวน นายกทักษิณทำอะไรให้พวกเราบ้าง มีมั้ยครับ ไม่มีเลยนะครับ เพราะเขากั๊กไว้ ไม่เคยสร้างระบบรถขนส่งมวลชนอะไรเลย ยกเว้นสร้างให้กทม สองกิโลเมตร น่าอายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่มีเงินไงครับ เขาถึงเอา mega project ไปขายให้ต่างชาติ เท่านั้นไม่พอ พี่ไทยได้อะไรครับ เศษก้างปลา เพราะว่า เขาออกแบบจากเมืองนอก ออกแบบจาก ฝรั่งเศส ญี่ปุ่นเสร็จ เราไม่ได้อะไร เขาก็สร้างระบบการตลาด บอกมาว่าจะทำทีเดียวสิบเส้น แล้วเป็นไง ทำไม่ได้ คุณเสนอมาเลย เปลี่ยนเส้นทางได้ เปลี่ยนสถานีได้ เปลี่ยนอะไรก็ได้ โดยที่เราเป็นเจ้าของประเทศแท้ๆ ตอนนี้เงินรัฐบาล เข้าใจว่ารัฐบาลกระทรวงการคลังคงเห็นแล้วนะครับ ประมาณ 4 หมื่นล้าน ถ้าหักส่วนต่างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย ส่วนต่างที่ต้องจ่ายให้ผู้ลงทุน ในฐานะของการกระจายเป็นบริษัทมหาชน รัฐบาลอาจจะเหลือประมาณ 3 หมื่นล้าน พอมั้ยครับ เงินเดือนข้าราชการปีนี้ เพราะฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าจากนี้ไป โครงการของรัฐขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นมาด้วยมือของรัฐบาลชุดนี้

อ.เจิมศักดิ์: ผมมีอีก 2-3 คำถาม อ. ต่อตระกูลช่วยประเมิณให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยว่า การที่จะไล่ทักษิณเนี่ย พี่น้องลงทุนกันมากมาย แต่ละคนเสียงานการ อดนอน เสียค่ารถมา ประเมิณแล้ว เป็นการลงทุนมหาศาลที่จะขับไล่ทักษิณ ถามว่าการลงทุนพวกนี้คุ้มค่ามั้ย

อ.ต่อตระกูล: คุ้มค่า หาค่าไม่ได้ครับ ถ้าให้ทักษิณอยู่ต่อไปอีก 3 ปี เขาจะไม่อยู่สามปี เขาต้องอยู่อีก 20 ปี ถึงตอนนั้นประเทศไทย จะเป็นอาร์เจนตินา และจะไม่มีทางกลับคืนมาได้อีกแล้ว นั่นคือเราจะไม่เหลืออะไรเลย จุฬาก็ต้องเอาไปขาย ไปทำ resort

อ.เจิมศักดิ์: คิดว่าคุ้มค่ามั้ยครับ คุณปรีดา

คุณปรีดา: อาจารย์ครับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราที่ทำให้เราต้องออกมา แสดงพลังกับนักการเมืองที่ฉ้อฉลเนี่ย มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำตลอดไปครับ ผมพนันได้เลยว่าอีก 15-20 ปี จากนี้ไป พี้น้องก็ต้องมารวมตัวเพิ่อ ล้างระบบการเมือง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ครั้งสุดท้ายเราทำเมื่อ พฤษภา 35 ก่อนหน้านั้น ก็ปี 1973 มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ชั่วราย ไม่ได้เป็นสิ่งที่ร้าวราน หรือก้าวร้าวอะไร มันเป็นวิธีที่เราในฐานะประชาชน ต้องมีสิทธิ์มาล้างระบบการเมืองตลอดเวลา

อ.เจิมศักดิ์: ถ้าการลงทุนพวกนี้คุ้ม เราก็ต้องทำต่อไป ทีนี้พอทักษิณเขาไม่ได้เป็นนายกแล้วนี่ นักธุรกิจสามคนนี้คิดว่าเขาจะไปประกอบอาชีพอะไร

คุณไกร: ขออนุญาตินะครับ ที่เดียวที่คุณทักษิณควรจะไปคือ British Virgin Island ครับ (คนปรบมือ) ที่นั่นสะอาด น้ำใส หาดทรายสีขาว สมควรที่นายกจะไปอย่างมาก

อ.ต่อตระกูล: เพื่อนผมมาจากประเทศลาวเมื่อเช้านี้ เขาบอกว่าใ้ห้บอกนายกทักษิณว่า ประเทศลาวก็ไม่เอาเขา เขาบอกว่าเขารู้มานานแล้วว่านายกคนนี้ น่ากลัวมาก ทำไมคนไทยไม่รู้ ถ้าคนไทย 60 ล้านคน ยังปล่อยคนแบบนี้ให้อยู่เป็นนายกได้ ถ้าทักษิณไปอยู่ที่ลาว คนไม่เกิน 10 ล้าน พริบตาเดียว เขาซื้อหมดประเทศได้เลย

อ.เจิมศักดิ์: อ้อ ลาวกลัวเพราะมีคนไม่กี่ล้านคน แล้วสิงคโปร๋ไม่กี่แสนคนเนี่ย ทำไมทักษิณเสียรู้ Singapore ได้ครับ

อ.ต่อตระกูล: พูดไม่ได้ เพราะเห็นบอกว่า ทักษิณเป็นหนี้สิงคโปร์อยู่นานแล้ว หลายสิบปีแล้ว

คุณปรีดา: คุณทักษิณรักใน อดีตนายก ลีกวนยูมาก และก็รักท่านมหาธีย์ มากน่าจะไปทำอะไรแถวๆนั้ไนได้ด้วยเงินของท่าน อีกอย่าง คฤหาสน์ ที่ใหญ่โตเป็นหลายร้อยล้านที่ London ก็น่าจะเป็นที่ๆ ท่านไปเสวยสุขได้อย่างสบาย

อ.เจิมศักดิ์: แล้วถ้าท่านทักษิณเป็นนายกต่อไป นักธุรกิจอย่างพวกท่านจะไปทำอะไร

คุณปรีดา: ผมไปขายเต้าฮวยครับ

อ.เจิมศักดิ์: แล้วคุณไกรล่ะ

คุณไกร: พี่น้องครับ นายกทักษิณมีอำนาจมืดอยู่ในมือ เขาเล่นงานนักธุรกิจคนใดก็ตามที่มาต่อต้านเขา สำหรับในสมาคมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยเราแบ่งนักธุรกิจออกเป็นสามประเภท 1. นักธุรกิจที่ทำให้เขา เอื้อประโยขน์ให้เขา และได้ผลประโยชน์จากเขา เช่นพวกค้าไก่ – ประเภทสอง นี่ เอ็งอย่ามายุ่งกับข้า ข้าขออยู่คนเดียว อย่ามายุ่งกับผม หากินอย่างเดียว – และประเภทที่สาม ก็คือพวกผม แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่กล้ามาขึ้น พวกผมก็ออกมาก่อน พี่น้องครับ เราไปสง่างามบนถนนราชดำเนิน มากกว่าครึ่งมาจากนักธุรกิจที่ไม่ประสงค์จะออกนาม ธุรกิจเขาเดือดร้อน เพราะทุกครั้งที่เขายุ่งเกี่ยวกับการเมือง วันรุ่งขึ้นสรรพากรมาหาเขาทันที

อ.เจิมศักดิ์: แล้วสรรพากรไปฟังเขาำทำไมล่ะ

คุณไกร: เขาเช็คบิลครับ เขาเช็คบิลทุกๆ อย่าง พี่น้องครับ นักธุรกิจเป็นผู้เสียภาษีให้กับประเทศชาติ ทุกๆ วันที่ 7 วันที่ 15 วันที่ 30 วันที่ 7 เราหัก ณ ที่จ่าย วันที่ 15 เราเสีย VAT วันทีี 30 Operate Tax ครึี่่งปี เราต้องนำส่ง สิ้นปี เราต้องนำส่ง สิ้นปี เสียตลอด ทุกๆ อาทิตย์ เราต้องจ้างพนักงานประจำ เขามีกระบวนการข่มขู่ สรรพากรนี่ ถ้าท่านนำ VAT เกิน กว่าที่เราควรจะนำส่ง ท่านอย่าหวังจะได้คืน ไม่งั้นเขาก็จะขอดูบัญชีหน่อย เขาก็จะบังคับให้เราจ่ายเกิน ไม่สามารถที่จะเรียกร้องเอาคืนได้ เขาใช้กรมสรรพากรเป็นอาวุธฆ่านักธุรกิจ ถ้าใครกระด้างกระเดื่อง แสดงตัวเป็นปฎิปักษ์ เขาจะเล่นงานโดยกรมสรรพากร การที่เรามีม๊อบเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีการแถลงข่าว ณ สำนักงา่นแห่งหนึ่ง สำนักงานนั้น หลังจากที่เราแถลงข่าวแล้ว วันรุ่นขึ้น สรรพากรเล่นงานทันที หัวใจของนักธุรกิจ เราต้องการมีกำไร อีกด้านหนึ่ง เราต้องการมีคุณธรรมกับลุกค้า แต่ท่านทักษิณไม่ ท่านทักษิณไม่สนใจ ไม่มีคุณธรรม จะทำซะอย่าง เพราะฉะนั้น จากนี้ไป ผมเองก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น

อ.เจิมศักดิ์: อาจารย์ต่อตระกูลละครับ จะไปทำอะไรดี

อ.ต่อตระกูล: ตอนแรกว่าจะไปขายโรตีครับ แต่ก็มีอุปสรรคเพราะร้าน โรตีบอย ครอบครัวทักษิณก็จะมาซื้อกิจการ ทำอะไรเขาก็จะมายึดไปหมด รุ่นลูกหลานท่านไม่ต้องเรียนหนังสือหรอกครับ เรียนไปก็ไม่มีงานทำ เพราะว่าจะเหมือนกับ ซูฮาร์โต และครอบครัว ในอินโดนีเซีย ที่กิจการทั้งประเทศ อยู่ในมือเขาหมด แล้วคนอื่นไม่ต้องทำ ไม่ต้องเรียนอะไร ไม่ต้องเข้าจุฬา ไม่ต้องเข้าเตรียมอุดม ไม่ต้องเข้าสาธิต อยู่บ้านเฉยๆ แล้วเป็นกรรมกรอย่างเดียว

อ.เจิมศักดิ์: คำถามสุดท้ายสำหรับทุกๆ ท่าน นะครับ อยากจะถามว่า ท่านอยากจะพูดอะไรกับ บรรดานักธุรกิจบ้าง ไหนท่านใดเป็นนักธุรกิจช่วยยกมือหรือชูธงหน่อยครับ (คนเฮ) เออ เยอะเหมือนกันนะครับ

คุณปรีดา: พวกผมสามคนออกมานี่ ถ้าไม่สามารถขจัดระบอบทักษิณได้ คุณต่อตระกูลจะไปขายโรตี ผมก็ไปขายเต้าฮวย แล้วคุณทำอะไรนะ

คุณไกร: ผมอยู่เฉยๆ ล่ะ

คุณปรีดา: พวกเราหมดอนาคตครับ แต่ผมเรียนได้เลยว่า ถ้าพวกเราทั้งหลาย หรือพวกท่านทั้งหลายไม่ออกมา ประเทศนี้จะไม่มีอะไรเหลือให้เราทำอะไรกับมันได้ เสร็จแล้วเราก็ต้องมานั่งเสียใจว่า เรามีโอกาสที่จะทำลายระบอบนี้ แต่เราไม่ได้ทำอะไรกับมัน อันนั้นจะเป็นสิ่งที่จะอยู่ในใจเราอย่างเศร้าหมองไปตลอดชาติ ตอนนี้พวกผมที่นี่มีความสุขที่อย่างน้อยได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ เพราะฉะนั้น พี่น้องนักธุรกิจครับ ถึงเวลาแล้วครับ ก่อนที่ชาติจะล่มสลาย ก่อนที่ชาติเราจะตกไปเป็นแค่ของ สิบตระกูล ก่อนที่ชาติ จะตกไปเป็นของสิงคโปร์ ของฝรั่งมังค่า ของคนอื่นๆ เราต้องรวมพลังทำลายระบบนี้ออกไปให้ได้ และวิธีทำลายก็คือ อย่าให้มีการเลือกตั้งวันที่สอง เพราะถ้าวันที่สองเกิดขึ้น มันจะเละไปกว่านี้อีก เรามีความสามารถที่จะผนึกกำลังกันให้ได้ อย่างวันที่หนึ่ง ผนึกกำลังกันมาให้ได้เป็นล้านๆ ไปที่สนามหลวง แสดงให้เขาเห็นอีกสักครั้ง ว่าอย่าทำอย่างนี้ ระบอบทักษิณต้องไป ปัญหามันอยู่ที่คุณไม่ได้อยู่ที่สภา ไปยุบสภาทำไม มากันสักล้านคน อย่าให้การเลือกตั้งนี้เกิดขึ้น เพราะถ้าเกิด เราจะคาดเดาไม่ได้เลยว่าจะมีอะไรแย่ลงไปอีกหรือไม่ มันจะเกิดการนองเลือดหรือเปล่า มาช่วยกันหน่อยเถอะครับ

อ.เจิมศักดิ์: เห็นด้วยมั้ยครับ (คนดูเฮ) คุณไกร วันที่ สองทำไงดี
คุณไกร: พี่น้องครับ ถ้าวันที่สองต้องมีการเลือกตั้ง เขาไ่ม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เขาพยายามจะสร้างว่า ระบอบประชาธิปไตย ควรจะเป็นแบบนี้ ตามแนวทางที่เขาคิดไว้ เื่มื่อต้นเหตุไม่ใช่ของจริง กรรมการไม่เป็นกลาง ประชาธิปไตยก็เป็นของปลอม ถ้าพี่น้องต้องไปเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ของเรา เราก็ต้องไป แต่พี่น้องต้องกา ไม่เลือกใคร เราจะบอกเขาว่า เราไม่เลือกใคร ทักษิณสอนอะไรเราบ้าง เขาสอนให้เรารักประชาธิปไตย เขาสอนให้เราสอนลูกสอนหลานได้ว่า ประชาธิปไตยมันคืออะไร ทักษิณสอนให้เรารู้ว่า คนเลวไม่จำเป็นต้องได้ดีเสมอไป

อ.ต่อตระกูล: วันที่สองนี่ ต้องทำแบบที่จังหวัดพิจิตรทำครับ พอมาทำ poll ก็บอกเขาไปว่าจะเลือกทักษิณ เขาจะได้ไม่ทุ่มเงินมา หลอก poll ให้มั่นใจว่าเขาชนะ พอเปิดออกมาทั้งประเทศไทย ไม่เอาทักษิณ

อ.เจิมศักดิ์: พี่น้องครับมีคนบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องไปเลือกตั้ง จริงๆ แล้วเราไม่อยากจะเลือก แต่ถ้าเราไม่ไปเลือกตั้ง วันนั้นเขาเตรียมบัตรผีไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจะลงแทนเรา แล้วดันไปเลือกเบอร์สอง เพราะฉะนั้นเราคงต้องไป ถ้าถึงวันนั้น ไม่เลือกผู้ใด ไม่เลือกพรรคใด อันนั้นเป็นสิทธิ อันชอบธรรม พี่น้องเห็นด้วยมั้ยครับ (เฮ) พี่น้องครับ อย่างไรก็ตาม เราต้องทำให้ทักษิณออกไปให้ได้ ถ้าเขายังอยู่เศรษฐกิจจะเสื่อมทรามลงอย่างรวดเร็ว แม้พวกเราจะเหนื่อย แม้พวกเราจะเสียต้นทุนอย่างมหาศาล ถ้ารวมคนเป็นแสน ต้นทุนวันหนึ่งเป็นหลายสิบล้าน หลายร้อยล้าน แต่เราต้องทำต่อไป พี่น้องสู้ใช่มั้ยครับ

ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)

ขอขอบคุณนักธุรกิจกู้ชาติทั้งสามท่านครับ

ปล: ถึงตอนนี้ วันที่ 6 เมษายน ในประเทศไทย ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ นายกทักษิณ พูดแค่ว่า “จะไม่รับตำแหน่ง” เท่านั้น เป็นคำสัญญาอีกอันหนึ่งซึ่ง เราไม่มีทางเชื่อถืออะไรไ้ด้ กับคนไร้สัจจะเช่นนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราต้องสู้ต่อไป รัฐบาลก็ยังตั้งไม่ได้ ยังอีกนานกว่าการต่อสู้อันนี้จะจบลง แต่อย่างน้อบ ความตึงเครียดก็ลดลงไปได้ระดับหนึ่ง

สุดท้ายผมอยากจะขอเสนอ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรเข้าชิงตำแหน่ง ดาราแสดงนำฝ่ายชาย ของ Academy Awards หรือ Oscar ให้กับการแสดง ในค่ำคืนวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา เป็น Acting แห่ง ศตวรรษจริงๆ น้ำตาหลั่งไหลท่วมทำเนียบ โดยผ่านสายตาของคนไทยทั้งชาติ ถ้ารวมนักแสดงรอบๆ ตัวเช่นนายเนวิน (สาขา special effect) และ คุณหญิงอ้อ และพวกลูกๆ อาจจะได้ 11 ตัวเลยก็ได้ ให้ไปเลย ภาพยนต์แห่งปี “Gangs of Bangkok”

The Clash of Sex Tycoons

ตีพิมพ์ใน Thai Nevada Post (ปักษ์ สอง กันยายน 2005)

อาบ อบ นวด แค่ชื่อก็อาจจะทำให้ชายไทยที่อยู่ในอเมริกาหลับตาพริ้มขึ้นมาทันที ไม่ว่าท่านจะเ็ป็นโสด แต่งงาน แล้ว หรือหย่าแล้วก็ตาม เราไม่ได้ภูมิืใจที่คนทั้งโลกมองเราว่าเป็นประเทศแห่งโสเภณี แต่เราก็ไ่ม่ปฎิเสธว่า เรื่องประเภทนี้ จะหาดีกว่าประเทศไทย ในด้านของราคาและการบริการที่ได้รับแล้ว ก็ไ่ม่รู้จะไปหาที่ไหนได้ในโลกอีก เด็กๆผู้ชายหลายๆ คนในประเทศไทยในสมัยที่ผมโตขึ้นมาก็ไปเปิดบริสุทธิ์กับที่ อาบ อบ นวดกันเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้างบประมาณน้อยหน่อยก็อาจจะไปซ่องโสเภณีราคาถูกๆ ที่โด่งดังในกลุ่มเด็กโรงเรียนชายล้วนก็คือ โรงแรม ศรีทอง ซอยข้างโรงแรม Asia ถนนเพชรบุรี ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็คงไ่ม่ต้องแล้วเพราะเด็กๆ แม้แต่เด็กโรงเรียนชายล้วนก็มีปัญญาไปหาแฟนมาเปิดบริสุทธิ์กันเองได้ แล้วผู้หญิงไทยยุคใหม่ก็เป็นยุคแห่งความมั่นใจ หญิงไทย ทำงานเก่ง มีความเป็นตัวของตัวเอง มีกำลัง และอำนาจไม่แพ้ผู้ชาย และก็มีการใช้ชีวิต sex ที่ไม่แพ้ผู้ชายเช่นกัน แต่จะว่าแย่หรือไม่แย่ลงนั้นก็แล้วแต่คนจะคิด

ฟังๆ ดูเหมือนกับว่า อาบ อบ นวด น่าจะลดลง ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เพราะว่าในเมื่อ จากสมัยก่อนที่ลำบากยากเย็นไปจับปลาในหนองน้ำ มาถึงยุคทีีมีปลามาขายในตลาด จนถึงยุคที่ปลามาว่ายกันให้สลอนอยู่ริมฝั่งน้ำให้จับง่ายๆ แบบปัจจุบัน แปลว่า สำหรับท่านชาย ความต้องการที่จะไปอาบอบนวด น่าจะลดลง ใช่หรือไม่ ? คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะการวิเคราะห์ฺดังกล่าวนั้น ไม่ตรงประเด็น

Demographic ของลูกค้า อาบ อบ นวด นั้น 90% คือคนที่มีลุกมีเมียแล้ว โดยเฉพาะอาบอบนวด เกรด A จะมีนักศึกษาที่มีฐานะดี หรือ คนทำงานหนุ่มๆ ก็ีมีบ้าง แต่ไม่ใช่ major customer เพราะพวกนี้ กำลังซื้อต่ำ มาได้เดือนละครั้งก็เก่งแล้ว (ยกเว้นแต่จะมีเงินแบบพานทองแท้ก็ว่าไปอย่าง) อาบ อบ นวด เกรด A ที่ว่านี้คืออะไร ก็คือ สถานที่ที่มี “เด็ก” ตามคำที่ลูกค้าเรียก หรือ “พนักงาน” ตามคำที่เจ้าของเรียก ที่สวยที่สุด หมดจด ที่สุด และสถาณที่ก็จะตกแต่งด้วยวัสดุหรูหรา ราคาแพง เหมือนกับโรงแรม สาม ถึง ห้าดาว (แต่กรุณาอย่าเอามาเปรียบเทียบกับโรงแรมใน ลาสเวกัส นะครับ ถึงแม้จะมีชื่อเหมือนกันหลายๆ แห่งกับโรงแรมที่นี่ก็ตาม) ที่สำคัญ สถาณภาพเกรด A นี้มักจะได้มาจากการที่เป็นสถาณที่ๆ เปิดใหม่ที่สุด โดย พอมีเปิดใหม่ที ลูกค้าที่เป็นลูกค้า Top Class หรือ ลูกค้าเกรด A ก็จะแห่กันไปที่ใหม่อยุ่พักนึง ถ้าที่ใหม่ทำได้ดีจริงๆ ไปหาเด็กดีๆ ดังๆ และทำงานเก่ง (ขออย่าขยายความเลยว่าทำงานเก่งนี่คืออะไร คิดเอาเองนะครับ) ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนไม่มาก (ไม่ใช่ว่าเด็กที่ทำงานเก่งน้อย แต่เด็กที่เจ้าของและคนเชียร์แขกการันตีเลยว่า เก่ง และเป็นเด็กที่ีมีแขกติดเยอะมาก ถ้าย้ายทีทำงานแขกจะตามเด็ก) ถ้าดึงเด็กพวกนี้มาเข้าที่เปิดใหม่ได้ สถาน อาบ อบ นวดนั้นจะดังเป็นพลุแตก ทันที ถ้ายังรักษาคุณภาพต่อไปได้อีกครึ่ง ก็จะอยู่ตัว และก็็จะคืนทุน ทำกำไรมหาศาล และ่ค่อยๆ เสื่อมไปตามระบบ

แต่ถ้าท่านพลาดภายในเวลา 6 เดือนแรก ก็บอกได้เลยว่า ปิดประตูได้ เพราะลูกค้า เกรด A ที่มีเงินจะถลุงจริงๆ จะไ่ม่มา จะเหลือแต่ลูกค้าระบบประหยัด ที่มาดูตู้เป็นชั่วโมงๆ กว่าจะเลือกสักคน อาจะต้องมีการขายต่อปรับระบบ หรืออะไรก็ว่ากันไป แต่จะไม่มีการปิดในทันที ถ้าถึงขนาดปิดจริงๆ ก็คือต้องเก่าคร่ำคร่าเป็นสิบๆ ปี จนตึกใช้การไม่ได้แล้ว หรือว่า มีคนจะเอาที่ไปทำอย่างอื่นนั่นล่ะ ถึงจะปิด โดยลักษณะของธุรกิจคือมันจะเสื่อมไปจนถึงจุดที่เป็นซ่องโสเภณีสกปรกๆ ราคาถูกๆ แล้วก็จะอยู่ไปอย่างนั้น จะเห็นได้ว่า ลักษณะของธุรกิจโดยรวม ก็เหมือนกับตัว โสเภณีเองนั่นเอง แรกๆ มาใหม่ๆ ไฉไล แพงระยับ สาว สวย พอแก่ลงก็ต้องลดราคา ทรุดโทรม แล้วก็เน่าไปตามสัจธรรม ดังนั้นเคล็ดลับของการที่จะอยู่ในยุทธจักอย่างยั่งยืนก็คือ การที่จะต้องมีการ resurrect หรือ ชุบชีวิต กันอยู่ตลอดเวลา ที่เรียกว่าชุบชีวิตนั้น ไ่ม่ใช่การทำที่เดิมใหม่ แต่เป็นการไปหาที่ใหม่ สร้างอาคารใหม่ แล้ว โอน “ใบอนุญาติเดิม” ไปใส่ ในธุรกิจอาบอบนวดนั้น ใบอนุญาติ มีค่าที่สุด ใบอนุญาติที่ว่านี่ มีลักษณะอย่างไร ก็มีลักษณะเป็นจำนวนห้อง ถ้าท่านมีใบอนุญาติกี่ห้อง ก็แทบจะนับเงิน หนึ่งแสน หรือสองแสน บาท คูณจำนวนห้องไปได้เลย นั่นจะกลายเป็นมูลค่าของ Asset ในมือของท่าน

ใบอนุญาิติเหล่านี้คือข้อจำกัดที่จะทำให้เจ้าของอาบอบนวดสักคนที่คิดจะสร้างใหม่ ต้องวางโครงการว่าจะทำได้ใหญ่ขนาดไหน ถ้ามีใบอนุญาติ ร้อยใบ ก็ทำได้แค่ ร้อยห้อง หรือ จะแบ่งเป็นสองแห่ง ก็ทำได้ แค่ 70 กับอีกที่ 30 เท่านั้น ใครที่เปิดเกิน มี 200 แต่ทำ 250 นี่ก็เจอสั่งปิดมาแล้ว หรือเจอปรับห้องละแสนบาทต่อปี มาแล้ว ก็คือเหมือนกับสั่งปิดนั่นเอง ใครจะมีปัญญาจ่ายได้ ถามว่า แล้วทำไมไม่ขอใหม่ให้ได้มากตามความต้องการ คำตอบก็คือ เพราะพระราชบัญญัติสถาณบริการสมัย พล เอก เปรม ที่ต้องการจำกัดสถาณบริการเพื่อภาพพจน์ของประเทศ โดยออกเืมื่อปี พศ 2520 มีข้อความมากหลาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ จะไม่มีการออกใบอนุญาติใหม่อีกต่อไป และนั่น กลายเป็นสาเหตุให้ใบอนุญาติที่มีอยู่มีค่ายิ่งกว่าทอง เพราะสถาณการณ์กลับไปเป็นเหมือนกับ รถ taxi สมัยก่อนที่มีจำนวนจำกัด ค่าทะเบียนแพง คนที่ต้องการจะเปิดอาบอบนวด 200 ห้อง แต่มีใบอนุญาิติแค่ 150 ก็ต้องซื้อมาอีก 50 ให้ได้ จะไปซื้อจากไหน ก็ต้องไปซื้อจากคนที่เขามีอยู่ ก็ต้องดูอีกว่าเขาอยากขายหรือเปล่า เพราะว่าถ้าเขาทำของเขาดีๆ อยู่แล้วจะขายทำไม คนที่อยากขายมักจะเป็นคนที่ ไม่ติดหนี้ธุรกิจอื่นๆ หัวบาน ต้องเอาเงินไปหมุน หรือไม่ก็ขายเพราะว่าอยากออกจากวงการ หรือไม่ก็ขายเพราะรู้ว่าคนที่จะเอาไปทำมันเจ๊งแน่ๆ แล้วก็ทำสัญญา lock ล่วงหน้าเพื่อซื้อคืน ราคาถูกๆ ทำกำไรแบบทึ่มๆ ไปเลย ก็แล้วแต่ แต่การซื้อขายแต่ละครั้งไม่ค่อยจะเป็นเรื่องเล็กในวงการคนทำธุรกิจประเภทนี้ แต่มันไม่ค่อยจะอยู่ในหนังสือพิมพิ์ก็เท่านั้น คนที่รู้ก็คือคนในวงการและตำรวจ

ตีพิมพ์ใน Thai Nevada Post (ปักษ์ แรก ตุลาคม 2005)

จากฉบับที่แล้ว ต้องขอแก้ว่าโรงแรมศรีทองนั้นอยู่ซอยข้างโรงแรมเอเชีย ไม่ได้อยู่ข้างโรงแรมแอมบาสเดอร์แต่อย่างใด ต่อจากฉบับที่แล้วคือเรื่องของการชี้ขาดในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับใบอนุญาติ โดยที่บอกไว้ว่า โกลัก หรือนาย กุลประเสริฐ สุขขี ได้ค้นพบช่องโหว่ในกฎหมาย Zoning ที่จะเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลให้กับตัวเขาเองได้ ขุมทรัพย์ที่ว่าก็คือโอกาสในการขอใบอนุญาติใหม่ ที่จะเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามสิบปี ที่ไม่เคยมีการออกใบอนุญาติใหม่ได้มาก่อน สาเหตุที่จะออกได้นั้นก็เนื่องมาจากว่า การออกกฎหมาย Zoning ที่มี คุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์เป็นผู้ริเริ่มนั้น ได้มีการชี้ขาดว่าได้ทำให็กฎหมายควบคุมสถาณบริการสมับป๋าเปรมมีอันต้องหมดสภาพไป ดังนั้น การขอใบอนุญาติใหม่จึงทำได้ แล้วความหมายของการชี้ขาดตรงนี้ัมันทำให้นั้น มีผลอะไรกับคนที่มีใบอนุญาติเก่าๆ อยู่ในมือ ก็ไม่ต่างอะไรกับใบอนุญาติ taxi ในสมัยก่อนที่มีการซื้อขายใบละเป็นเหมื่น เป็นแสน พอเปิดเสรีให้ขอได้ตามใจชอบ แล้วเกิดอะไรขึ้น? ก็กลายเป็นกระดาษไร้ค่าดีๆนี่เอง เพราะใครๆ ก็ขอได้ ถ้าโกลักขอได้ ผ่านตลอดฉลุย ก็จะเป็นกรณีแรกที่เกิดจากกฎหมาย Zoning และจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ ถนนรัชดาก็จะเป็นดงอาบอบนวดที่แท้จริง เพราะคนจะแข่งกันเปิดใน Zone นี้ คนที่มีใบอนุญาติอยู่ในมือที่อยากจะวางมือ โดยการขายกิจการ บวกราคาใบอนุญาติก็ทำไ่่ม่ได้แล้ว เพราะ ใบอนุญาติในมือกลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่า จะขายก็ขายได้แต่ตึกเท่านั้น กลายเป็นผู้เสียผลประโยชน์อย่างมหาศาล แล้วคนที่มีใบอนุญาติในมือมากที่สุดคือใคร ก็ไม่ใช่ใคร นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ของเรานั่นเอง ก่อนจะถึงตรงนี้ก็ต้องย้อนเล่าประว้ตินายชูวิทย์สักเล็กน้อย วิรุฬห์ทราบดีว่าท่านผู้อ่านหลายๆคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับนายชูวิทย์เป็นอย่างดี ประวัติก็เล่าไปแล้วตั้งแต่ เปิดตัวจนถึง การตั้งพรรคต้นตระกูลไทย ลอยแพ ลูกพรรค แล้วก็มาเข้าพรรคชาติไทย เป็น สส ระบบบัญชีรายชื่อ สำเร็จ เข้าไปนั่งในสภาได้ ถ้าถามว่านายชูวิทย์มีใบอนุญาติจริงๆหรือ ถ้ามีจะเป็น สส ได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่า ในทางกฎหมายไม่มีหรอกครับ เพราะว่า มันผิดกฎ เหมือนกับนักการเมืองอื่นๆ ที่เป็นนักธุรกิจก็ต้อง โอนหุ้นให้ ลูก หลาน เมีย พี่ น้อง หรือ แม้แ่ต่คนใช้ และคนขับรถ ให้ออกไปเป็นชื่อคนอื่นเสีย เป็นอันจบ จึงจะเป็น สส ได้ แต่ถามว่า อิทธิพลในการตัดสินใจทางธุรกิจล่ะ เป็นอย่างไร วิรุฬห์ก็ฟันธงได้เลยว่า นายชูวิทย์ยังมี influence ในกิจการอยุ่อย่างเต็มที่ ลองคิดกันดูให้ดีๆ ท่านผู้อ่าน ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจพันล้าน เวลาท่านจะล้างมือเล่นการเืมือง (ล้างมือในทางกฎหมาย) ท่านจะ clear ตัวเองให้เข้าลู่วิ่งได้ ท่านจะขายทิ้งหมดให้คนไม่รู้จัก แบบเหมือนพระเจ้าตากจะเข้าตีเืมืองจันทร์เลยหรือไม่ ไม่ทิ้งทางหนีทีไล่ไว้เลยหรือ ท่านคงไม่ทำแน่ๆ ท่านก็คงจะต้องเผื่อถอยไว้สักหน่อย เผื่อว่าสอบตก จะได้กลับมาทำธุรกิจได้ แล้วหุ้นต่างๆ นี่จะเอาไปฝากไว้กับใครดี ก็ต้องไปฝากไว้กับคนที่ไว้ใจได้ เวลาที่มาถึงแล้ว มันจะได้ยกคืนมาให้เราได้ โดยเรื่องความไว้ใจนี่ มีสองประการคือ กลุ่มที่หนึ่ง คนที่คุยกันรู้เรื่อง บอกให้ยกให้กลับก็ยกให้ คนพวกนี้คือคนในสายเลือด ลูกเมีย กลุ่มที่สองคือ หุ้นส่วนเก่า ที่มันอาจจะไม่ยกคืนให้ก็ได้ แ่ต่มันก็ไม่มีวิทยายุทธมากพอที่จะทำ ธุรกิจนี้ได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องพึ่งความรู้จากท่านอยู่ดี ชูวิทย์นั้นเลือกวิธีที่เนียนกว่า คือเลือกแบบหลัง ยกหุ้นให้เมียน้อยตัวเอง แล้วก็หุ้นส่วนเก่า ไม่ใ่ช่คนนามสกุลเดียวกันแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครมาครหาได้เลย ทางกฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้ กิจการอาบ อบ นวด ของนายชูวิทย์ในช่วงที่เป็นนักการเืมืองและเป็น สส นั้น จริงๆ แล้วก็ลดความนิยมลงตามลำดับ ไม่ได้เป็นแถวหน้าห้าดาวของวงการต่อไป มีเจ้าอื่น เข้ามาทำตลาดกระจายๆ กันไปตามเรื่อง ดังนั้น อย่างที่บอกไปแล้วว่า โกลัก ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ ระดับ สองดาว ถึงสามดาว อยากเข้าทำตลาด ห้าดาวบ้าง จึงได้ตัดสินใจเข้าสมัครใบอนุญาติโดยใช้กฎหมายตัวนี้ โดยจะนำใบอนุญาติถึง 200 ห้องนี้ไปเปิดอาบ อบ นวด ชื่อ เอไลน่า สำหรับชูวิทย์นั้น พอมารู้ตัวอีกที เรื่องของนายโกลักก็ไปอยู่กับ กองบัญชาการตำรวจนครบาลเรียบร้อยไปแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการอุทรณ์ ซึ่งต่อมาได้ออกมาว่า รับอุทรณ์และให้เปิดได้ ชูวิทย์ซึ่งนั่งไม่ติด ก็เลยต้องหาวิธีสร้างเรื่อง แผนคือการยืมดาบฆ่าคน การยืมดาบฆ่าคน จริงๆแล้ว หมายถึงการไปหลอกให้คนอื่น ไปฆ่าคนให้เราโดยใช้ดาบเป็นอาวุธ (ตีความตรงไปตรงมาแบบหนังจีนกำลังภายใน) แต่ในกรณีของชูวิทย์นั้น ก็ต้องเอาความหมายมาตีแผ่เช่นนี้ คนที่ถูกหลอก = ประชากรกรุงเทพและนักการเมืองฐานเสียงกทม ดาบ = โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สาขารัชดา วิธีการฆ่า = การสร้างเรื่องให้เห็นว่าอาบ อบ นวด ของ โกลัก ใกล้กับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาดังกล่าว คนที่ถูกฆ่า = สถาณอาบ อบ นวด เอไลน่า ท่านผู้อ่านพอเห็นสมการลางๆ แล้วหรือไม่ นายชูวิทย์ ต้องการจะปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นสส อยู่ เลยต้องทำการค้นคว้า โจทย์คือจะทำอย่างไร ไม่ให้สถาณที่นี้เปิดได้ สิ่งที่พบคือ อาบ อบ นวด แห่งนี้ อยู่ตรงข้ามโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พอดี ดังนั้นวันหนึ่งจึงไปเีรียกนักข่าวทั้วเมืองให้มาถ่าย แล้วก็ป่าวประกาศว่าแบบนี้ัมันใช้ไม่ได้ มันยั่วยุ มาเปิดใกล้ๆ โรงเีรียนแบบนี้ได้อย่างไร นักข่าวพอเห็นข่าวนี้ ก็เหมือนเห็นเนื้อชิ้นใหญ่ จ้วงกันเสียไม่มีชิ้นดี พอสาวๆ ไปมากๆ ก็ไปถึง กองบัญชาการตำรวจนครบาลที่เป็นด่านสุดท้ายในการให้ใบอนุญาติ ตำรวจก็พูดไม่ออก ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ว่า ตามกฎหมายในเรื่องระยะทาง ให้เปิดได้ แต่จะไปลองพิจารณาดูอีกที เป็นอันว่าชูวิทย์ชนะยกแรกเรียบร้อย เพราะเกิดคลื่นในสังคมเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว และพอประชาชนอ่านข่าวเรื่องนี้มาก นักข่าวก็ยิ่งขุดมาก คนก็ยิ่งอ่านมากขึ้นอีก เหมือนเป็นแรงส่งซึ่งกันและกัน แล้วพอถึงจุดหนึ่ง นักการเมืองท้องถิ่น ก็ทนไม่ได้ ต้องก้าวเข้ามา แล้วก็ออกแถลงการณ์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็เห้นตรงกันว่าไม่ควรเปิด เป็นอันว่าชูวิทย์ชนะอีก เรื่องราวทำท่าจะไม่ค่อยดี สำหรับโกลัก ที่ลงทุนไปถึง ร่วม 200 ล้านบาท จะมาพังพาบเอาต่อหน้าต่อตา โกลักจึงไม่ยอม ขอสู้โดยผ่านเวทีสังคม และจะใช้สื่อเป็นเครื่องมือบ้าง โดยการมาออกรายการ ถึงลูกถึงคน ที่มี rating สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยมาเผชิญหน้ากับ นายชูวิทย์ในรายการ โดยคุณสรยุทธ สุทัศนจินดา พิธีกรของรายการค่อนข้างแน่ใจว่า จะมีการปะทะกันแบบเืลือดเดือดแน่ๆ เลยจัดให้ทั้งสองอยู่คนละห้องกัน โดยประเด็นที่ชูวิทย์บอกออกทีวีก็คือเรื่องเดิมว่า ไม่ควรจะสร้าง เพราะมันไ่ม่เหมาะสม ก็ว่ากันไป แต่สำหรับโกลักนั้น มาพร้อมทนายความและได้นำหลักฐานมาแฉชูวิทย์หลายเรื่อง ในการออกทีวีนั้น โกลักก็ทำให้ชูวิทย์เพลี่ยงพลำ้ในหลายๆ เรื่อง โดยที่ถ้าเป็นคนที่รู้จักวงการนี้ดีจะบอกได้ สำหรับประเด็นที่ใหญ่ๆ มีสองเรื่อง ดังนี้ ชื่อของผู้ถือหุ้น กิจการแห่งหนึ่งของนายชูวิทย์ โดยนายชูวิทย์อ้างว่าไม่รู้จัก แต่พอโกลักรุกหนักๆ ว่าแน่ใจนะว่าไม่รู้จัก ชูวิทย์ก็เหมือนจะไหวตัวทัน โดยอ้างพลิ้วไปว่า อ้อ จริงๆ เป็นลูกน้อง แต่โกลักก็ซ้ำเลยว่า นี่เป็นภรรยาของคุณ ชูวิทย์ไม่ยอมตอบ ยังคงยืนยันว่าเป็นลูกน้อง โกลักก็หัวเราะ โกลัก อ้างว่านายชูวิทย์เคยพยายามซื้อที่ดินแปลงที่ทำเอไลน่านี้ทำเป็นอาบ อบ นวดเหมือนกัน เพราะต้องการ monopolize ธุรกิจตัวนี้บนถนนรัชดา นายชูวิทย์ก็สวนกลับทันทีว่า ไม่จริง โดยใช้ตรรกะว่า ผมมีอยู่สามแห่งแล้ว บนถนนรัชดา จะไปเปิดอีกทำไม ซึ่งถ้าเป็นผู้ชมที่ไ่ม่เข้าใจธุรกิจตัวนี้ และนำตรรกะแบบธุรกิจทั่วไปที่นายชูวิทย์บอกมาคิด ก็อาจจะเชื่อ แต่ในความเป็นจริืงแล้ว ตรรกะดังกล่าวใช้กับธุรกิจ อาบ อบ นวดไม่ได้ เพราะลูกค้านั้นมีไม่จำกัด ยิ่งเปิดมากก็ยิ่งขายดีมาก เปิดติดๆ กันไปยิ่งดี คนไม่ชอบเด็กที่หนึ่ง ก็เดินไปอีกที่หนึ่งได้ ไม่ต้องนั่งรถไป เงินทองไม่รั่วไหล แต่จะมีคนดูกี่คนที่ดูทางนายชูวิทย์ออกก็ไม่รู้ คนที่ดูก็จะเห็นว่า นายชูิวิทย์ พลิ้วมาก มีหลักการ มีอารมณ์ขัน มี action เป็นจังหวะๆ ไป ในขณะที่โกลักนั้น พูดจาอย่างเกรี้ยวกราด มีอารมณ์ และออกเสียงภาษาไทยไม่ชัด ตามประสบการณ์แล้ว ชูวิทย์ซึ่งออกทีวีมาหลายครั้ง จึงมีวิทยายุทธในการออกสื่อได้เหนือกว่า โกลักมาก เป็นอันว่าโกลักก็แพ้ไปอีกที ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านก็คงจะสงสัยแล้วว่า ผมมองนายชูวิทย์ในแง่ร้าย ก็อาจจะพูดเช่นนั้นได้ แต่ผมไม่ได้มองเขาในแง่ร้ายเพราะเขามีหนวดแหลม หรือ เป็นเจ้าของกิจการโสมมแต่อย่างใดไม่ แต่ผมดูจากสิ่งที่เขาทำมาตลอดในอดีต จริงๆ แล้วนายชูวิทย์เคยเป็นข่าวมาตั้งแต่ คดีสั่งรื้อบาร์เบียร์ การแฉตำรวจแบบครึ่งๆ กลางๆ ใช้แต่ชื่อ ย่อ พอมีตำรวจมาถามว่าใครก็ไม่ยอมบอก ทำให้ตำรวจต้องไปสุ่มย้าย มีตำรวจที่ไม่ได้รุ้เรื่องโดนย้ายไปหลายคน แล้วก็มีการตั้งพรรคใหม่ จะทำเพื่อประชาชน พอมีคนดีคนเก่งมาร่วมด้วย ก็ลอยแพเขาเสียเฉยๆ แบบนั้น พรรคก็ต้องยุบ แล้วไปอยู่พรรคใหม่ มาเป็นนักการเมือง แล้วก็มีกรณีหมิ่นเหม่เรื่องนี้อีก ถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่ผิดเลยครับ ทุกอย่างถูกกฎหมาย แต่ถ้าถามว่า นายชูวิทย์คนนี้น่าไว้ใจหรือไม่ ผมว่า ไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย นับว่าเป็นเดชบุญของคน กทม ที่ไม่ได้เอาคนคนนี้มาเป็น ผู้ว่า ตอนที่เขาลงรับสมัคร ล่าสุดสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ชูวิทย์ชนะขาดไปแล้ว โดยทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีคำสั่งไม่อนุมัติใบอนุญาติสถาณประกอบการ เอไลน่า ส่วนตัวโกลักเองก็ออกมาออกข่าวว่า ไม่ฟ้อง (จากที่เคยขู่ว่า ถ้าไม่ให้อนุญาติจะฟ้อง กองบัญชาการตำรวจนครบาล) จะขออำลา ไม่ทำอะไรแล้ว ถามว่าทำไมโกลักถึงยอมถอยง่ายๆ คำตอบก็คือ มีคนที่ใหญ่กว่า “มาก” เบื้องบน สั่งมาให้หยุด ถ้าไม่หยุด มีเรื่อง แค่นั้นเองครับ ท่านผู้อ่านลองคิดดูเองละกันว่าเป็นใคร เมืองไทยก็มีแค่นี้ละครับ หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่า การที่อาบ อบ นวด เอไลน่าถูกปิดในที่นี้เป็นชัยชนะของฝ่ายศีลฝ่ายธรรมที่อ่อนกำลังเหลือเกินในสังคมยุคนี้ ก็คงจะสบายใจดีที่คิดแบบนั้นครับ แต่สำหรับวิรุฬห์ เห็นว่า ถ้าเราจะทำอะไรให้ถูกต้องนั้น ผลลัพธ์ นั่นไม่ใช่ประเด็นเดียวที่เราต้องคิดถึง แต่ต้องดู “ที่มา” + “กระบวนการ” ควบคู่กันไปด้วยครับ ถ้าที่มาและกระบวนการ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่ผลลัพธ์ไม่ได้ออกมาอย่างที่สังคมเห็นว่าควรจะเป็น อย่างน้อยเราก็ยังอธิบายให้ลูกหลานฟังได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ถ้าวันนึงเขาถามถึง

Tuesday, April 04, 2006

And the Academy Award goes to..Mr. Taksin Shinnawattra

Source: AP (Ass. Press)

Yes, Ladies and Gentleman. First time in the history of the Academy that we have the best performing male actor from Foreign Country, he’s the one and only Prime Minister of Thailand. Mr.Taksin Shinnawattra. His role in the movie “The Last (day of) Prime Minister” won the heart of all critic. Estimating from the review, the scene that won him this award is probably when he makes the half-ass speech that he will “not take the prime minister position in the new government. His tears that did not exactly come out of his eyes reflect so many emotions. Mr. Jemsak Pintong, the Political Acting Critic said yesterday that “I think the tears of Mr.Taksin is the result of three reason which are (1) the asset that he might be ceased by the government in the near future, (2) the asset that he might be cheated by Temasek and (3) the sadness that suddenly he remember that he hasn’t have any erection in the past 6 months. “There are lots of broken lines that show so many hidden agenda.” Mr. Jemsak said. “..which reflects so much sense of cunning that totally belong to him but also fool all the Thais that he is a good guy. He is truly the actor of the century”

Sondhi Limtongkul the media firebrand who has been a harsh critic on Mr.Taksin since the cancel of his show “Thailand Weekly” on TV9, said last night that “I congratulate him for receiving this Oscar. He definitely deserved it. I've never seen any one act so good in such a long long time. Thinking back, there are so many scenes that can win him the award. Within only one movie, he play so much roles in different emotion such as being a ruthless leader, a crazy man, a baby hugger, a father who set up his son, a husband who can not give his wife and orgasm for years, and also a thief. He’s the actor of all actors.”

Mr. Apisit Wechachiwa, the leader of opposition party also salute him for his success “In my life as a politician, I always admire the cool-cat acting of Mr.Chuan Leekpai, as my master. But compare to Mr.Taksin’s acting to Mr Chun’s I think Mr. Chuan will be just like a light bulb while Mr. Taksin is a Sun. I should learn more from him. I still don’t know how to bring tears when ever I want yet. I am working on it.”

Mr. Wassana Permlarp, who also received the high-honor award HoY or “เหี้ย” of the year did not be able to join the academy because he and other three member of the Election Committee was killed by suffocation with load of waste election cards in the past election. It was a sad news but because of the overwhelming weight of Mr.Taksin’s Success. There are only 3 lines of this mass murder suicide on the local newspaper. The funeral for him and other three of Election Committee will be at Sanlam Lang which the public are allow to throw rocks, trash or spit on the 4 bodies. The family of all 4 members will be sit there as well, but only spitting on them are allowed (confirmed by Apria Kosayothin – BKK Governor)

Mr. Taksin will appear for Public Trashing Party around next week. People are excited to congratulate him by throwing shit, also spiting and may be throwing fetus in the plastic bag to him. However, the there is no confirmation about the date because Mr.Taksin still consider the specification regarding what kind of trash will be allowed to throw to him. Critic said that it is likely to be “FUCKMAEW”.