Sunday, February 26, 2006

ทักษิณ VS สนธิ

(เขียนลงหนังสือพิมพ์ Thai Nevada Post เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2006)

ท่านผู้ชมที่อยู่ในต่างประเทศได้ดู TV ไทยกันบ้างหรือเปล่าครับ

ถ้าท่านชม ไม่ว่าจะด้วย Box แบบไหนก็ตาม ท่านก็น่าจะได้รับชมอย่างน้อยช่อง 3-5-7-9-11 และช่อง ITV ใช่มั้ยครับ

ทุกวันนี้เทคโนโลยีของโลกเราเจริญก้าวหน้า คนไทยที่อยู่ในเมืองนอกไม่ได้รู้สึกเลยว่าห่างไกลบ้าน เพราะ ได้รับรู้อะไรทุกๆอย่างจากทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและอินเตอร์เน็ท

แต่ไม่ทราบว่ามีพี่น้องคนไทยที่ชมช่อง 3-5-7-9-11 และ ITV ได้ชมการเสนอข่าวเรื่องการชุมนุมของประชาชนประมาณ หมื่นหว่าคนที่สวนลุมพินีบ้างหรือไม่ ?

การชุมนุมที่ว่านี้ ถ้าหากเป็นที่หน้าทำเนียบ ก็ต้องถือว่าเยอะนะครับ เพราะปกติเกษตรกรที่มาชุมนุหรือที่เราเรียกว่า ม็อบ นั้น มาเป็นหลักพัน พอให้นักข่าวถ่ายรูปได้ ก็แย่แล้ว

แต่นี่เป็นหลักหมื่น และกลุ่มผู้ที่มาชุมนุมก็ไม่ใช่เกษตรกร แต่เป็นชาวบ้่าน มากจากทั่วประเทศ วัยเล็กถึงวัยชรา ตั้งแต่ อาซิ้ม อาม้า อาแป๊ะ มาจนถึง วัยรุ่นจบนอก
ตั้งแต่คนเรียบจบ ป สี่ไปจนถึง คนจบปริญญาเอก

คนพวกนี้เขามาทำอะไรกันที่สวนลุม วิรุฬห์ก็จะอธิบายต่อไปนะครับ เอาเ็ป็นว่า บอกตรงนี้ก่อนก็แล้วกันว่า นี่เป็นการชุมนุมทาง “การเมือง”
โดยในงานแห่งนี้ มีป้ายตัวอักษรใหญ่ที่สุด ที่อ่านได้คือ
“เอาประเทศไทยของเราคืนมา”

แต่ต้องถามอีกทีว่า มีช่องไหนบ้างที่ถ่ายทอดข่าวนี้?

ไม่มีหรอก

ประหลาดมั้ยครับ? ข่าวของการชุมนุมทางการเมืองที่มีผู้คนหลากหลายมาชุมนุมเป็นหลัีกหมื่น แต่ไม่มีช่องโทรทัศน์แม้แต่ช่องเดียวมาถ่ายทอดทีวีเลย

ทั้งๆ ที่ศุกร์หน้า อาจจะมีคนมาชุมนุมถึงห้าหมื่นคนด้วยซ้ำ !!

มันเกิดอะไรกันขึ้น?

ถ้าจะพูดถึงคำตอบ ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 เดือน 9 เวลา 9:00PM ณ ช่อง 9 อสมท (นี่เรื่องจริงนะครับ ไม่ใช่นิยาย ตัวเลขแบบนี้)ของปีนี้ โดยมีรายการหนึ่ง ที่เป็นรายการวิจารณ์เหตุการณ์บ้านเมืองชื่อว่า “เมืองไทย รายสัปดา์ห์” โดยออกอากาศ ก่อนรายการ “ถึงลูกถึงคน” ของคุณสรยุทธ สุทัศนจินดา อันลือลั่น

รายการเมืองไทยรายสัปดาห์นี้ ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ โดยจะนำประเด็นข่าวที่สำคัญของทั้งในและต่างประเทศ มาวิจารณ์ โดยเชื่อมโยงกับบริบทของสังคมไทย วิธีการดำเนินรายการคือ นางสา่วสโรชา พรอุดมศักดิ์ จะเป็นผู้นำคำถามจากทีมงาน เข้ามาถาม และนายสนธิ ลิ้มทองกุล จะเป็นผู้วิเคราะห์และทำการวิพากษ์วิจารณ์

สองคนนี้เป็นใคร ก็อยากจะขอแนะนำคนที่แนะนำได้ง่ายๆ ก่อนก็คือ นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นผู้หญิงทำงาน ความสามารถสูง ในวัย ยี่สิบปลาย เคยทำงานเป็นสื่อมวลชลมาในต่างประเทศในหลายๆ ประเทศ มีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ถึงขนาดที่ บริษัท รถไฟฟ้ามหานคร หรือรถไฟใต้ดิน นำเสียงของเธอไปบันทึกเพื่อ เป็นเสียงบอกสถานี

สำหรับ สนธิ ลิ้มทองกุลเป็นใคร ก็คงจะต้องพูดกันยาวสักเล็กน้อย สนธิ ลิ้มทองกุล ปัจจุบันอยู่ในวัยใกล้ หกสิบปี เป็นผู้ที่ทำงานเป็นสื่อมวลชนมาร่วมๆ สามสิบปี เคยทำนิตยสาร และ่สร้างธุรกิจสื่อ ร่วมกับเพื่อนฝูง โดยใช้วิสัยทัศน์ ของวิชาประวัติศาสตร์และการวิเคราะห์กระแสโลก มาสร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเอง มีการซื้อบริษัท โรงพิมพ์ ดาวเทียม และกิจการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในอเมริกา หรืออังกฤษ นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ เอเชียไทมส์ ซึ่งเป็นเหมือนกับ Times ของโลกตะวันออก ได้รับการยกย่องจากทั้งคนในวงการสื่อ และธุรกิจทั่วโลกว่าเป็น “Media Mogul of Asia” มีเงินเป็นพันๆล้าน กลายมา เป็นมหาเศรษฐีและนักธุรกิจสื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย อันเนื่องมาจากสิ่งทีืทุกๆคนทราบกันว่า ถ้าจะล้มรัฐบาลไหน ถ้าให้สนธิร่วมด้วย ล้มได้แน่ แต่คนที่ใกล้ชิดทุกๆคนก็ทราบกันดีว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนที่ รักในวิชาชีพสื่อมวลชน และจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอย่างยิ่ง ถ้าจะเรียกกันในแง่ของประเทศไทยก็คือ เป็น Democratist/Royalist อย่างสุดโต่ง

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ที่เกาะติด technology และค่อนข้างจะตอบสนองต่อความก้าวหน้าตรงนี้ได้เร็วกว่า คนอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจสื่อ โดยนับตั้งแต่ได้ก่อตั้งเครือ “ผู้จัดการ” ก็มีการ เช่าดาวเทียม สร้างระบบข่าว online และทำกิจการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง ASTV ของตัวเอง โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับสัมปทานโครงข่ายของรัฐ ทำให้เป็นกลุ่มธุรกิจสื่อหนึ่งในจำนวนไม่กี่กลุ่มในประเทศไทย ที่ปราศจากความสัมพันธ์กับรัฐอย่างสิ่นเชิง และในปัจจุบัน เว็ปของหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ http://www.manager.co.th/ ก็เป็นเว็บข่าวไทยที่มีคนเข้าชมมากที่สุด และได้รับการยกย่องว่ามีข่าวหลากหลายและจัดการระบบได้ดีที่สุดเช่นกัน

ย้อนกลับมาที่ รายการเมืองไทยรายสัปดา์ห์ วันที่ 9 เดือน 9 อีกที

รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ก่อนหน้านี้ เป็นรายการที่จัดกันมาติดต่อกัน โดยไม่มีปัญหาอะไร โดยในช่วงแรกๆ นั้น นายสนธิ ก็วิจารณ์สนับสนุนรัฐบาลมาโดยตลอด แต่ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทิืศทางไปทีละน้อยๆ โดยเฉพาะเมื่อหยิบยกประเด็นที่สำคัญขึ้นมาทีละประเด็นๆ โดยหลักๆ แบ่งเป็น สี่ประเด็นก็คือ

ประเด็นสมเด็จพระสังฆราช สองพระองค์ - โดยปัญหานี้มาจากการจัดการของนาย วิศณุ เครืองงาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ีมีการออกมาแถลงว่า สมเด็จพระญาณสังวรณ์ พระสังฆราชของประเทศไทย นั้นมีพระอาการประชวร และให้รัฐบาลใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช โดยให้สมเด็จวัดศระเกศดำรงตำแหน่งแทน โดยที่มีหลักฐานแล้วว่าสมเด็จพระญาณสังวรณ์ นั้น ไม่ได้ทรงพระประชวรจริง และไม่ได้มีจดหมายยอมรับการแต่งตั้ง จากสมเด็จพระญาณสังวรณ์จริงๆ แล้ว นายวิศณุ เอาความชอบธรรมในการตั้งมาจากไหน
ประเด็นคุณหญิงจารุวรรณ หัวหน้าสำนักงานผู้ตรวงเงินแ่ผ่นดิน - คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน นั้นเป็นตำรวจต่อต้านการคอรัปชั่นในวงราชการโดยดูเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง คุณหญิงจารุวรรณเป็นที่รู้จักกันดีว่า ทำงานอย่างเฉียบขาด จนเป็นที่เกรงกลัวของข้าราชการและนักการเืมืองที่ “กิน” กันจนเคยตัว แต่แล้วเมื่อคุณหญิงทำงานมา 1 ปี กลับโดน วุฒิสภา vote ให้ออกจากตำแหน่ง เพราะอ้างว่าการแต่งตั้งไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากว่าทำไมพึ่งมาถอดตอนนี้ และมีการขุดโดยนายสนธิว่า วุฒิสภาซึ่งสมควรจะมีอิสระ กลับมีบุคคลที่มีความน่าสงสัยว่าจะมีผลประโยชน์กับรัฐบาล เลยเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น เพราะเหมือนกับว่า รัฐบาลไปดึงให้วุฒิสภาถอดคุณหญิง จะได้ปลอดภัยจากการถูกดำเนินคดี โดยเฉพาะคดี คอรัปชั่น สนามบินสุวรรณภูมิ และที่เป็นเรื่องสะเืืทือนแผ่นดินก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เลื่อนขั้นคุณหญิงจารุวรรณหนึ่งขั้น และไม่พระราชทานรับรองชื่อของประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ ที่ชื่อนายวิสุทธิ์ มนตรีวัฒน์ จนนายวิสุทธิกดดันมากจนถึงขนาดต้องลาออกไปเอง และก็กลายเป็น Dead lock จนทุกวันนี้ เกิดกระแสการวิเคราะห์เรื่องพระราชอำนาจขึ้นมา (ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังนะครับ)
ประเด็นการแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจ โดยเน้นกรณี การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย - ราคาน้ำมันแพงลิ่ว คนไม่มีจะกิน ต้องหาเงินเติมน้ำมัน แต่ ปตท กำไร แสนกว่าล้าน และได้รับการ vote เป็นบริษัททำกำไรอันดับหนึ่งของทวีปเอเชีย นายสนธิ ก็สงสัยว่าในเมื่อเป็นองค์กรของรัฐ ทำไมไม่ลดกำไรกันเพื่อช่วยเหลือประชาชนบ้าง และก็เกิดความน่าสงสัยว่า หลังจากมีการแปรรูปแล้ว ปตท ทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรอย่างเดียว และใน หุ้น 30% ที่แปรไปให้เอกชนนั้น สัดส่วนใหญ่ที่ผู้ถือหุ้นนั้นเป็น “norminee” หรือ ตัวแทน โดยที่ไม่มีการเอ่ยชื่อคน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นมาซื้อ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคือ นักการเมืองในประเทศไทยนั่นเอง (30% ของ แสนล้านนี่ ท่านผู้อ่านคิดกันเองเอานะครับ) โดยนายสนธิ ระบุว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ กำไร แทนที่จะมาช่วยชาติกลับต้องเอาไปแบ่งให้เอกชน และการแปรรูปนี้ ก็ไม่ได้มีการพัฒนาองค์กรแต่อย่างใด กรรมการชุดเดิม โครงสร้างเดิม ไม่ีีมีการลงทุนเพิ่ม มีแต่การใหุ้หุ้นเอกชนไปถือ
ประเด็นการทุจริตทั่วไปในวงรัฐบาล โดยเฉพาะ กรณีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - อภิมหารับประทานมานับศตวรรษกับโครงการนี้ อย่างที่หลายๆ ท่านรู้ๆ กัน โดยที่คนที่รู้เรื่องมากที่สุดเกี่ยวกับการโกงก็คือ คุณหญิงจารุวรรณที่โดนปิดปาก นายสนธิ ก็ไ่ม่ได้ทำอะไรมาก เอาข้อมูลที่คุณหญิงมีมาออกทีวี แค่นั้นเอง

หากคิดว่านี่คือนิยายกำลังภายใน และคำถามทั้งสี่หัวข้อคือ กระบวนท่าในวิทยายุทธแล้วละก็ ต้องนับว่าเป็นกระบวนท่า “รุก”

รัฐบาลเจอไปสี่กระบวนท่านั้น ก็ถึงกับเสียกระบวน ปัดป้องเป็นพัลวันไม่เป็นท่า

ที่วิรุฬห์วิเคราะห์แบบนี้ก็เพราะ่ว่า ทั้งสี่ประเด็นนั้น รัฐบาลไ่ม่ตอบคำถามโดยตรง ใช้วิธีเฉไฉ

คำว่ารัฐบาลนั้น ก็ต้องมีการ ระบุให้ชัดเจนว่าคืออะไร รัฐบาลในปัจจุบัน คือรัฐบาลพรรคเดียวของพรรคไทยรักไทย โดยมีที่นั่งในสภา 377 เสียงจาก 500 เสียง มีอำนาจเด็ดขาด ฝ่ายค้านไม่มีเสียงมากพอที่จะ ตั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีได้ โดยคณะรัฐมนตรีที่มาจากพรรคไทยรักไทย ทั้งหมดนั้น เป็นคณะรัฐมนตรีที่ถูกเปลี่ยนเป็นว่าเล่น โดยคนที่ีมีอำนาจในการตัดสินใจทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือ “พันตำรวจโท ด๊อกเตอร์ ทักษิณ ชินวัตร”

ดังนั้นการตั้งคำถามๆ รัฐบาล ก็คือการตั้งคำถาม ถามนายกรัฐมนตรีคนนี้โดยตรงนั่นเอง

ทีนี้ กลับมาที่ กระบวนท่า เฉไฉ ก็มีรายละเอียดดังนั้น

ประเด็นพระสังฆราช - ผมไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของมหาเถระสมาคม
ประเด็นคุณหญิงจารุวรรณ - รัฐบาลไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของวุฒิสมาชิก
ประเด็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ - ต้องแปรเพราะเราต้องแข่งขันในโลกทุนนิยม
ประเด็นทุจริตสนามบินสุวรรณภูมิ - ไม่มีทุจริตแน่นอน

สำหรับวิรุฬห์แล้ว ท่านนายกไม่ชี้แจง หรือนำหลักฐานมาหักล้างกระบวนท่าของนายสนธิเลย สิ่งที่ท่านทำคือ ป้ดป้อง

สนธิก็ได้ถามคำถามเหล่านีืมาตลอด แล้ววันที่ 9 เดือน 9 นั้น เกิด อะไรขึ้น เรื่องของเรื่องก็คือ สนธิ ได้ออกกระบวนท่า ที่รุนแรงมาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกระบวนท่า “แลกชีวิต” อันเป็นท่าที่ ในวิทยายุทธจีนก็เรียกได้ว่า เสี่ยง แต่อานุภาพสูงสุด เพราะเอาชีิวิตเข้าแลก โดยกระบวนท่าีนี้มีชื่อว่า “พ่อของแผ่นดิน-ลูกแกะหลงทาง”

โดยนายสนธิ ได้หยิบยก ถ้อยคำที่ีมีการ post ไว้บน website ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ มาอ่านออกอากาศ ดังนี้

(กอง บก ช่วยลงเนื้อหาตรงนี้ เน้นตัวใหญ่นะครับ-)

“พ่อมีความรักอันอบอุ่นให้ลูกเสมอ พ่อไม่เคยเกรี้ยวกราด ด่าทอลูกว่าโง่ เวลาพ่อจะบอกลูกถึงปัญหา พ่อมักมีแง่คิดดีๆ มีนิทานแฝงคติให้ลูกได้นำไปคิดเสมอๆ ซึ่งเมื่อลูกๆ ได้คิด ก็จะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น พ่อมักเตือนให้ลูกๆ แปรงฟันก่อนนอนเพื่อฟันจะได้ไม่ผุ แต่ลูกๆ ก็มักจะคิดได้หลังจากที่ต้องถอนฟันไปซี่แล้วซี่เล่า พ่อมักบอกให้เราซื่อสัตย์ทำงานหนัก เพื่อที่เราจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีตามอัตภาพ พ่อไม่เคยบอกให้เราต้องร่ำรวยเพื่อจะมีความสุข พ่อมักบอกเสมอๆ ว่าเรามีความสุขได้ตามอัตภาพโดยไม่ต้องร่ำรวย พ่อที่มีลูกๆ ของท่าน 60 กว่าล้านคน ไม่เคยคิดที่จะยอมขายลูกของตัวเอง เอาเปรียบลูกของตัวเอง เพื่อฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้แต่พาหนะเดินทางของพ่อ รองเท้าเก่าๆ ของพ่อก็ยังคงมัธยัสถ์ทะนุถนอม ใช้ของเดิมๆ เมื่อชำรุดก็ให้คนเอาไปซ่อม ไม่เคยคิดแม้แต่จะไถเงินจากลูกครั้งละ 40 สตางค์ เพื่อความมั่งคั่งส่วนตัวของพ่อเอง พ่อมักบอกกับลูกเสมอๆ ว่าเราต้องก้าวไปพร้อมๆ กัน ถ้าลูกคนโตสบายอยู่คนเดียว ในขณะที่ลูกๆ อีก 60 กว่าล้านคนต้องลำบากต้องโดนเอาเปรียบ

โดยการเปลี่ยนแปลงพี่น้องให้เป็นทาส มอมเมาพี่น้องด้วยเงินทอง โทรศัพท์มือถือ การพนัน ไม่ถือเป็นการพัฒนา พ่อบอกว่าให้ลูกๆ เลือกตัวแทนมาทำงาน มาบริหารครอบครัว โดยมีเป้าหมายเพื่อความสุขสูงสุดของลูกๆ ทุกคน ไม่ใช่เพื่อกำไรสูงสุดของครอบครัว แต่เพื่อความสุขสูงสุดของครอบครัว ภายใต้เงื่อนไขที่มีอยู่มากมาย ทั้งภายในบ้าน และรอบๆ บ้าน แต่มีลูกที่ดื้อรั้น หยิ่งผยองอวดดี ที่บังเอิญสวมหนังลูกแกะ และคุณธรรม คิดวัดรอยเท้าพ่อ ใช้พี่น้องคนอื่นๆ ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบางคนก็รู้และสมยอมเพราะพี่ชายคนโตมีท่าไม้ตายคือ เงินฟาดหัว จากลูกๆ ที่เป็นแกะดำเพียงไม่กี่คน ลัทธิรวยแล้วโก้ รวยแล้วเท่ รวยแล้วกร่าง ก็เริ่มแพร่หลายในสังคม จากลูกแกะเซื่องๆ ที่มาจากศรัทธาของพี่น้อง ไหว้แม้แต่พี่น้องที่อาศัยอยู่ข้างถนน กลายเป็นคนใจร้อนกำแหง เกรี้ยวกราดกับทุกคน จากคนเดิมๆ ที่พ่อยอมให้เข้ามาบริหารครอบครัวแม้มีความไม่โปร่งใสเรื่องทรัพย์สิน จากผู้นอบน้อม กลายเป็นศาสดาซึ่งมอบความกลัว ความเกลียดชัง การลบหลู่และข้อกล่าวหาว่าโง่แก่พี่น้องทุกคนที่เห็นตรงกันข้าม กลายเป็นศาสดาที่กำแหงถึงขนาดกล้าชี้ผิดชี้ถูก รุกคืบในสิทธิมนุษยชนของพี่น้องคนอื่นๆ เข้าไปถึงในความคิด ในวิถีชีวิตของพี่น้องอีก 60 ล้านคน จากผู้ที่ดูเหมือนจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง กลายเป็นบุคคลปริศนาที่ไม่ยอมตอบคำถามใดๆ กลัวการตอบคำถาม และยึดครองสมบัติของครอบครัวเป็นของตนแต่ผู้เดียว พ่อบอกว่าพ่อเกลียดคนโกง ลูกแกะหลงทางบอกว่า ไม่ต้องตรวจสอบผมรับประกัน ผมใหญ่ที่สุดแล้วในครอบครัว ถ้าใครมีปัญหาระวังจะไม่มีงานทำ พ่อบอกว่านี้คือลูกที่ดีของฉัน ลูกชายผู้หลงผิดบอกว่าต้องขับออกจากพรรค พ่อบอกว่าเราควรมีเศรษฐกิจแบบพอเพียง พวกลูกแกะหลงทางกลับบอกว่าจะเอาอะไรกิน เราไปอยู่กระต๊อบกันดีไหม

พวกโง่ทั้งหลาย พ่อบอกว่าเราต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน ลูกแกะหลงทางขายสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อทำกำไรแก่คณะตนเอง ลามไปถึงการจัดตั้งกองกำลังคุ้มกันบ้าน ลูกแกะหลงทางกล่าวกำแหง ผมจะเอาคนนี้ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะพ่อต้องอยู่ใต้กฎบ้าน ลูกแกะคนโตยังหลงทางต่อไป...ต่อไป..และต่อไป ลูกๆ ทั้งหลาย ตื่นเถิด ตาสว่างได้แล้ว ชีวิตนี้ของพวกท่านเป็นของพ่อโดยไม่ต้องมีกฎใดๆ มารองรับ... กราบแทบเท้าพ่อของแผ่นดิน


นี่คือกระบวนท่า ไม่ตายดังกล่าว ก่อนจบรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เมื่อวันที่ 9 เดือน 9

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา เป็นสิ่งที่ไม่ีมีใครคาดคิด แต่สนธิ ลิ้มทองกุลได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า ไม่ได้แปลกใจ
ก็คือ คณะกรรมการบริหารของช่อง 9 อสมท (องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย) ได้ ทำการสั่งปิดเมืองไทยรายสัปดาห์ ทันที !!

โดยวันที่แถลงข่าว คือ วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน เวลา 14:00 เพียง วันเดียวก่อนที่จะมีกำหนดออกรายการ คือวันศุกร์ที่ 16 กันยายน

โดยคณะกรรมการทั้งหมดที่ได้ออกแถลงการณ์ ได้แก่ นายธงทอง จันทรางศุ นายเรวัฒ ฉ่ำเฉลิม และ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ (รับฟังการแถลงข่าวของทั้งสามคน เป็น Audio File ณ website http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9480000126193) โดยให้เหตุผลในแถลงการณ์การปลดเมืองไทยรายสัปดาห์ออกจากผังรายการ ว่า

(1) รายการนี้ก่อให้เกิดคดีความในศาลยุติธรรมหลายคดี
(2) กล่าวอ้างถึงบุคคลอื่น โดยที่บุคคลนั้นไ่ม่สามารถออกมาตอบโต้ได้
(3) เอ่ยอ้างถึงการแ่ต่งตั้งพระสังฆราชซึ่งเป็นการละเิมิด พระราชอำนาจ
(4) แสดงความเห็นถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่สามารถออกมาตอบโต้ได้

โดยในวันเดียวกัน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็แถลงการณ์ตอบโต้ทันที โดยยืนยันว่า คำถามทั้งหลายแหล่ที่ถามไปนั้น เป็นคำถามที่คนไทยทั่วๆ ไปทุกๆคนควรจะถาม และไม่ใช่การละเมิดเบื้องสูง พร้อมกับกล่าวว่า ถ้า อสมท เป็นสื่อมวลชนที่แท้จริง ควรจะไปหาคำตอบของคำถามที่ตนถาม ไม่ใช่มาปิดปากตน นอกจากนี้ นายสนธิ ก็ได้กล่าวโจมตีรัฐบาล อย่างรุนแรง โดยกล่าวว่ารัฐบาลคือคนที่รับผิดชอบต่อการปิดรายการในครั้งนี้ และ อสมท ก็เป็นเครื่องมืออันหนึ่งของรัฐบาลนั่นเอง โดยก่อนจบการแถลงการณ์นั้น ยังได้ถามคำถาม “รุก” สี่คำถามเดิม และได้กล่าวโจมตีรัฐบาลอย่างรุนแรง ว่าบ้านเมืองเราถึงกลียุคแล้ว เพราะคนถูกปิดหูปิดตาแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

ถึงตรงนี้ วิรุฬห์ก็ต้องกลับไปดู และก็ต้องวิเคราะห์สักเล็กน้อยว่า ข้อหาเหล่านี้ ไม่ค่อยจะตรงไปตรงมาสักเท่าไหร่ เพราะ (1) ที่ว่าคดีความหลายคดีนั้น ไม่เป็นจริง มีเพียงคดีเดียว และศาลยกฟ้อง (2) รายการใน อสมท อื่นๆ ก็มีรายการที่ มีคนออกมาวิจารณ์ผู้อื่น โดยทีบุคคลที่ถูกอ้างไม่สามารถออกมาตอบโต้ได้ แต่ก็ยังออกอากาศอยู่จนถึงทุกวันนี้ (3) การเอ่ยอ้างถึงกรณีสมเด็จพระสังฆราช พุ่งเป้าไปที่แถลงการณ์เรื่องการแ่ต่งตั้ง รักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราช ที่ออกมาจากสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ตรงไหน (4) อันนี้จริง แต่สนธิ ไม่ได้จาบจ้วงสถาบันว่าไม่ดี แต่ออกจะยกย่อง และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยซ้ำ โดยบทความลูกแกะหลงทางนั้น ยกย่องล้วนๆ

มันก็น่าสงสัยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !

โปรดสังเกตุตรงนี้สักเล็กน้อยว่า เรื่องเหล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย นักข่าวที่จะออกไปถามคำถามก็ไม่รู้จะไปถามใคร

เอาล่ะ ขอหยุดตรงนี้เล็กน้อย!!

เพราะเรื่องนี้มันซับซ้อน ก่อนจะไปต่อต้องขอเล่าอีกเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ที่จะเชื่อมโยงกัน

เรื่องดังกล่าวก็คือ ในเวลานั้นก็มีข่าวที่ใหญ่มากในประเทศไทยอีกเรื่อง ที่เป็น Layer ที่คลุมข่าวการปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เกือบสนิท ก็คือข่าวเีกี่ยวกับ Hostile Takeover ที่บริษัท GMM Grammy นำโดย นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม กระทำต่อ มติชนกรุ๊ป นำโดย ขรรชัย บุญปาน ซึ่งเป็นเหตุการณที่ทำให้สื่อมวลชนในประเทศไทยตื่นตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากหลายๆคนก็สรุปกันว่า นี่ต้องเป็นอีกความพยายามหนึ่งของรัฐบาลที่จะควบคุมสื่อให้ได้แบบเบ็ดเสร็จ โดยหลังจาก ที่ได้ควบคุม ช่องโทรทัศน์เกือบทุกช่องแล้ว ก็จะเริ่มทำการควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ที่ “เหลือ” ให้ได้

ที่บอกว่าเป็นที่เหลือนี่ก็เนื่องมาจากว่า หนังสือพิมพ์ ส่วนใหญ่ก็เป็นของกลุ่มทุนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาล หรือคนในรัฐบาล หรือไม่็ก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่เป็นแนว ตลาด หน่อมแน้ม เน้นละครน้ำเน่าในทีวี โดยหนังสือพิมพ์ที่ “เหลือ” ดังกล่าวเหล่านี้ ก็ได้แก่ (1) มติชน (2) คม ชัด ลึก (3) กรุงเทพธุรกิจ (4) Bangkok Post โดยในกลุ่มนี้ ฉบับที่ได้ชื่อว่าเป็นอิสระ และเป็นคนหนังสือพิมพ์มืออาชีพจริงๆนั้น ได้แก่ กลุ่มมติชน

ดังนั้นการเข้าซื้อหุ้น ของ GMM Grammy ที่เป็นบริษัทบันเทิง นั้น คนในมติชนจึงทำการต่อต้านอย่างรุนแรง และทำให้เกิดกระแส “ฉงน” ในสังคมเป็นครั้งแรก ว่าบริษัทแกรมมี่กำลังทำอะไรอยู่ และเมื่อมีการแถลงข่าวและออกข่าวอย่างต่อเนื่องของกลุ่มมติชน เกี่ยวกับภูมิหลังของความสัมพันธ์ระหว่าง นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ด้วยแล้วนั้น ก็เป็นครั้งแรกที่สายตาของคนทั้งสังคม ที่ก็มีความคลอนแคลนอยู่บ้างแล้ว เกี่ยวกับพฤติกรรมของรัฐบาล จากเรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา เริ่มที่จะมองรัฐบาลในแง่ลบ

นี่เป็นครั้งแรก และเป็นขั้นแรกของ หินที่หล่นลงในน้ำ ที่กำลังจะเป็นคลื่นที่กระจายออกไป โดยภาพสะท้อนของคลื่นลูกแรกที่คนเห็นได้นั้น ไม่ใช่อะไร เป็นใบหน้าของของคนที่ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล

เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะคนเริ่มจะถามคำถามง่ายๆกันว่า “เอ รัฐบาลจะเอาคนของตัวเองเข้าไปคุมมติชน แล้วรัฐบาลทำอะไรไปแล้วอีกบ้างในการควบคุมสื่อ” และนี่ก็เป็นคร้งแรกที่ คนที่ไม่ค่อยได้ดูทีวี ได้ยินชื่อ ราบการ “เมืองไทยรายสัปดาห”์ และ ชื่อ “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”

จะว่าศิลปินชื่อดังมักจะมีชื่อเสียงหลังจากเสียชีวิตไปแล้วฉันใด รายการเมืองไทยรายสัปดา์ห์ก็เป็นฉันนั้น เพราะคำถามที่คนถามไปว่า เอ แล้วที่โดนปิดไปนี่ เพราะอะไร

และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่คนในสังคมส่วนใหญ่ได้รับรู้ถึงคำถาม “รุก” 4 ข้อดังกล่าว

ทีนี้ก็วงแตกสิครับ เพราะไม่เคยมีใครรู้เรื่อง 4 ข้อนี้มาก่อน เนื่องจากไม่เคยมีสำนักข่าวของรัฐบาลแห่งไหนเคยออกเรื่องดังกล่าวมาก่อน

ใน ขณะเดียวกันนั้น นายสนธิ ก็ได้ปรับแผนการรบ ทันที โดยกลับไปจัดรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ สถานี ASTV ที่ ถนนพระอาทิตย์ โดยใช้เวลาจัดฉากและเตรียมการเพียงคืนเดียว แล้วก็ออกทันที สด ในวันที่ 16 กันยายน โดยก็ถามคำถามเดิม พร้อมกับ เอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับ โผทหารใหม่ ที่นายก ร่างเอง แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช้เวลานานมากในการอนุมัติ (24 วัน โดยที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์คือ 2 วัน) และคำพูดของ พลเอกไชยสิทธิฺ์ ชินวัตร น้องชายท่านนายก ที่ออกมาเอ่ยว่า “โผทหาร นายกเซ้นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่ยน”
แต่ กระแสก็เจอจางลงไป เนื่องจาก บริษัท Grammy และ มติชนก็ตกลงกันได้ เรื่องการถือหุ้น ซึ่งถ้านายสนธิ ยังจัดรายการบน ASTV ของตัวเขาเอง ที่คนไทยส่วนใหญ่ ไม่มีทางรับได้ที่บ้าน เรื่องก็คงค่อยๆ จบไป

เหนื่อยหรือยังครับท่านผู้อ่าน อย่าเพิ่งนะครับ เพราะเรื่องจะเริ่มเข้มข้นตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไป!!!

แล้วนายสนธิ ก็ได้ปรับกลยุทธ ครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยเริ่มจัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร” โดยไปออกเป็นครั้งแรกที่ หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ได้รับการตอบรับดีมาก จากคนส่วนใหญ่ และเนื้อหาที่ออกก็เข้มข้นขึ้น โดยหากจะให้วิรุฬห์วิเคราะห์แล้วละก็ ต้องนับได้ว่า การทำรายการจากนี้ไป ความเกรงใจที่เคยมีต่่อกันระหว่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พันตำรวจโท ทักษิณชินวัตรนั้น จบลงแล้ว เหลือแต่ความรุนแรงของสงครามช้อมูลเท่านั้น (นายสนธิเคยสนับสนุนนายกทักษิณเป็นอย่างมากสมัยเข้ารับตำแหน่งครั้งแรก)

มาลองดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น วันต่อวัน นะครับ

อย่ากระพิบตาเด็ดขาด ท่านผู้ชม!!

22 กันยายน 2005 - นายสนธิฟ้อง อสมท 4 ข้อหา ได้แก่

สำนวนแรกนั้นเป็นคดีหมิ่นประมาท โดยที่จำเลยก็มีี 4 ส่วน จำเลยที่ 1 เรวัต ฉ่ำเฉลิม จำเลยที่ 2 ธงทอง จันทรางศุ จำเลยที่ 3 มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ และจำเลยที่ 4 คือ บมจ. อสมทฯ รายละเอียดของการฟ้องคือความบิดเบือนเกี่ยวกับการหมิ่นเบื้องสูง
สำนวนที่ 2 คือสำนวนคดีแพ่ง ลำเมิดสิทธิส่วนตัวนายสนธิ ทำให้เสียหาย จากกรณีที่ยกเลิกรายการแล้วมาให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชน โดยเฉพาะช่องของตัวเอง ออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เสียสิทธิแล้วก็ถูกละเมิด โดยนายสนธิเสียหาย “1 บาท” เป็นสัญลักษณ์ว่าสิทธิได้ถูกละเมิด แต่ขอเรียกค่าเสียหายแค่ 1 บาทเท่านั้น เพราะว่าต้องการฟ้องให้เป็นสัญลักษณ์ เป็นบรรทัดฐาน และนอกจากนี้ อสมท ก็เป็นของประชาชน ไม่ต้องการเอาเงินประชาชน สำนวนที่ 3 คือสำนวนของการยกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม ระหว่างบริษัทกับบริษัท อันนี้ เป็นความสูญเสียทางธุรกิจ ซึ่งเขาคงจะคำนวณกันว่า การซึ่งบริษัทไม่ได้จัดทำรายการนี้ ถูกยกเลิกออกไป จนถึงสิ้นสุดสัญญา สิ้นเดือน สิ้นปีนี้ บริษัทจะเสียหายเท่าไร
สำนวนสุดท้าย ถึงแม้ว่าจะเป็น บมจ.อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม แต่กรรมการทุกคนเป็นข้าราชการทั้งสิ้น ดังนั้นนายสนธิฟ้องในกรณีมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันมีเหตุมาจากการให้สัมภาษ์ของนายธงทองเอง ที่่ว่านายสนธิหมิ่นเบื้องสูง ดังนั้นนายสนธิใช้ตรรกะเดียวกันว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องเอาตำรวจมาัจับตน ถ้าไม่มาก็คือว่าละเว้น

24 กันยายน 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 1 - หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
จำนวนคนดู ประมาณ 1000 กว่า

สนธิเริ่มต้นด้วยการประกาศเกี่ยวกับการวางระบบรายการเพื่อเผยแพร่ทั่วโลก นายสนธิ เริ่มแถลงข้อมูล ที่เก็บมานานเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งของท่านนายกรัฐมนตรี ที่เวลาหนึ่งพูดอย่างหนึ่งและพอมาอีกเวลาหนึ่งพูดอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเป็นการเตือนความจำคนไทยที่เคยได้รับคำสัญญามาก่อนการเลือกตั้งเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2005 ที่ผ่านมา และนายสนธิก็ได้พุ่งประเด็น ใหม่ได้แก่
- ประเด็นภาคใต้ ที่นายกย้ายข้าราชการท้องถิ่น ออกและเอาคนของตัวเองเข้าไป หนึ่งในนั้นคือนายพลากร สุวรรณรัตน์ ที่พอถูกย้ายกลับเข้ากระทรวงมหาดไทย ก็เสียความรู้สึกมาก ลาออกจากราชการทันที และก็ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นองคมนตรีทันที
- เปิดเผยความสัมพันธ์ในอดีตระหว่าง ตัวนายสนธิเอง กับ นายกทักษิณ โดยนายสนธิกล่าวว่าเคยช่วยนายกทักษิณมาก่อน
- ประเด็นการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัทมติชน โดย GMM Grammy ที่สนิทกับนายก ว่านี่คือการพยายามเข้าควบคุมสื่อมวลชน และเป็นการคุกคามที่ร้ายยิ่งกว่าการกระทำโดยเผด็จการทหาร
- เปิดประเด็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อปล้าชาติ โดยผู้มีอำนาจทางการเมือง โดยยกตัวอย่าง ปตท

1 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 2 - หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
คนดูร่วม 2000 ล้นออกมาจากหอประชุมมาก ต้องมีการติดกล้องวงจรปิด

มีการเปิดประเด็นใหม่ที่ทำให้รัฐบาลเริ่มสะดุ้ง ได้แก่

- ความสัมพันธ์ระหว่างภรรยาของนายกรัฐมนตรี คุณหญิงพจมาน ชินวัตร กับ นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา (ที่ควรจะเป็นอิสระจากรัฐบาล) ที่กำลังอื้อฉาวเรื่องคุณหญิงจารุวรรณ ดังกล่าว โดยทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องเป็นเครือญาติกัน และพี่น้องนายสุชนก็มีตำแหน่งหน้าที่ในบริษัท AIS ของตระกูลชินวัตร ก็แปลว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน
- เปิืดประเด็น นายกทักษิณเข้าไป ทำพิธีในวัดพระแก้ว โดยไปนั่งในตำแหน่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่งเป็นประจำ มีรูปหลักฐานพร้อม (และจะประเด็นที่ร้อน “มาก” ในเวลาต่อมา)
- ถามนายกว่าทำไมไม่ไปงานศพ นาวิกโยธินสองนายที่สละชีพที่ภาคใต้ ทั้งๆ ที่สมเด็จพระเทพไปร่วมงานศพ ด้วยพระองค์เอง (เรื่องนาวิกโยธินนี้ ท่านผู้อ่านต้องไปติดตามกันเองนะครับ เรื่่องใหญ่และยาวมาก)
- ร่าย รายละเอียดการโกงสนามบินสุวรรณภูมิอย่างขุดคุ้ยไม่เหลือซาก แ้ล้วถามนายกว่า พิธีเปิดสนามบิน ทำไมถึงต้องทำยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งๆ ที่สนามบินยังไ่ม่เสร็จด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องมี F-14 คุ้มกัน อลังการ มากมาย

3 ตุลาคม 2005
นายกทักษิณ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลข้อหาหมิ่นประมาท เป็นจำนวนเงิน 500 ล้านบาท และบังเอิญว่า ในตอนนั้นมีคดีอีกคดีของ นางเยาวเรศ ชินวัตร ที่ฟ้องนายอลงกรณ์ พลบุตร สส พรรคประชาธิปปัตย์ เป็นเงินจำนวนเดียวกัน เกิดเป็นมุข “ตระกูล 500” ขึ้นมา

8 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 3 - หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
คนดู 2000 เกือบๆ 3000 คน

- นายสนธิ แถลงการณ์โต้ตอบการฟ้องร้องของนายก และเปิดประเด็นใหม่ได้แก่ประเด็นการคุกคามของตำรวจต่อนายสนธิ และเครือบริษัทหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
- ความขัดแย้งภายในรัฐบาลเอง โดยนายสนธิ ระบุถึงอิทธิพลของ คุณหญิงพจมานต่อการทำงานของรัฐบาล โดยระบุกรณีนายแพทย์สุชัย ที่เป็นแพทย์ประจำตัวของ มารดาของคุณหญิงพจมาน และต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข

9 ตุลาคม 2005
นายกทักษิณ ฟ้อง “หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ” หมิ่นประมาท อีก 500 ล้านบาท ในข้อหาที่นำคำเทศน์ของหลวงตามหาบัว (พระผู้ใหญ่ที่โด่งดังมากในเรื่องการเรี่ยไรทองช่วยชาติ มีคนนับถือเป็นล้าน) ที่บอกว่า ทักษิณเหมือนเทวทัต (ที่โดนทรณีสูบ) โดยที่จริงๆ แล้วผู้จัดการ นำข้อความมาลง ทุกๆ คำพูด ไม่ได้ดังแปลงแ้ม้แต่น้อย และก็เริ่มมีคำครหาว่า ทำไมตอนที่้ฟ้องสนธิ ครั้งแรก ไม่ฟ้อง อสมท ซึ่งเป็นสื่อที่ให้ออก แล้ว ทำไมคราวนี้ กลับกัน โดยฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่เป็นสื่อ แต่ไม่ฟ้องหลวงตามหาบัว

14 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 4 - หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
คนดู ร่วม 5000 เริ่มมีคนเดินทางมาชมจากทั่วประเทศ และเริ่มมีบุคคลสำคัญของประเทศมาร่วมรายการมาก ราวกับเป็นการเปิดโฉมหน้า ผู้ที่ “ไม่ชอบ” รัฐบาล

- ย้อนรำลึก เหตุการณ์ 14 ตุลา โดยโจมตี คนในรัฐบาลที่เป็นกลุ่มคนผู้นำันักศึกษาเหตุการณ์ 14 ตุลา ว่าเป็นคนที่อยู่ในอเวจี เรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นรัฐบาลคอรัปชั่น
- โจมตี นายวิษณุ เครืองามที่กล่าวจาบจ้วง หลวงตามหาบัว
- รายงานการเริ่ม ขายหุ้นทิ้งของคนในตระกูลชินวัตร
- “เปิดโปงวิธีการที่นายกทักษิณทำตัวเองให้เข้ามาร่ำรวย โดยเน้นการผูกขาด และทำลายคู่แข่งอย่างไ่่่ม่เป็นธรรม โดยใช้อำนาจรัฐ”

20 ตุลาคม 2005
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายก ทักษิณให้สัมภาษณ์ “คนที่โจมตีผม มีผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งนั้น”

21 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 5 - หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
คนดู ร่วม 5000

- นายสนธิ สวนกลับทันทีว่า ไม่เคยได้อะไรจากนายก แต่เคยให้หุ้นนายก เป็นมูลค่าถึง 400 ล้านบาท
- นายสนธิ โจมตีนายกทักษิณที่ กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่ฟ้องหลวงตามหาบัวหรอก เพราะท่านเมตตาผมมามาก ผมต้องเมตตาท่านบ้าง” โดยบอกว่า นายกจาบจ้วง และไ่ม่เข้าใจ พรหมวิหารธรรม
- เปิดประเด็นพระสังฆราชอีกครั้งในรายละเอียด และแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง สมเด็จวัดสระเกศที่ รัฐบาลตั้งรักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราช กับตระกูลของนายกทักษิณ (คิดเอาเองนะครับ ว่าแปลว่าอะไร)
- เปิดประเด็นนคร สุวรรณภูมิ ที่่เป็นเมืองใหม่ มีเขตการปกครองพิเศษของตัวเอง จะทำอะไรก็ได้ เหมือนเป็นเืมืองหลวง แห่งใหม่ โดยนายสนธิ บอกว่า นี่จะเป็นนครที่ไ่ม่ต้องขึ้นกับกฎหมายของประเทศ และคิดว่านี่คือนครที่ นายกทักษิณอยากตั้งเป็นเมืองหลวงของตนเอง
- เปิดประเด็น ความล้มเหลวของกองทุน หมู้บ้าน (ให้เงินกู้ หมู่บ้านละล้าน) โดยส่งนักข่าว ไปทั่วประเทศเพื่อทำ สารคดีพิเศษนี้
- สนธิ ประกาศ จะจัดรายการนี้ไปจนกว่านายกจะออกจากตำแหน่ง

(ถึงตอนนี้ บอกได้เลยว่ารัฐบาลเครียดมาก กับผลของรายการนี้ ต่อสาธารณชน)

29 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 6 - สวนลุมพินี เปิด Campaign ว่า “เอาประเทศไทยคืนมา”
คนดู เกือบๆ 7000 คน
(สำหรับ วิรุฬห์แล้ว การออกมากลางแจ้ง เป็นการประกาศศักดากับรัฐบาลแบบ เต็มที่)

- นายสนธิ โจมตีนายกเรื่องการที่นายกทักษิณอยากจะเป็น นักการเมืองโพธิสัตว์ แต่ยังไ่ม่มีศีลเพียงพอ
- โจมตีนายกทักษิณ ที่เอาแต่ไปหาเสียงเลือกตั้งซ่อม โดยไม่สนใจปัญหาที่เกิดขึ้นที่ปักษ์ใต้ ปล่อยให้สมเด็จพระราชินี ทรงงานหนัก
- โจมตีเรื่องการเล่นการเมืองของพรรคไทยรักไทย ที่ยับยั้งแผนการของ ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร อภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่จะทำรถไฟฟ้าไปฝั่งธน โดยไม่ต้องการให้เป็น Credit ของพรรคประชาธิปปัตย์ โดยโจมตีว่า ทีตัวเองยังซื้อเครื่องบินส่วนตัว “ไทยคู่ฟ้า” ที่ใช้เงิน 2000 ล้านบาท เท่ากันกับงบประมาณสร้างรถไฟฟ้าได้
- โจมตี สส ในรัฐบาล โดยใช้คำ่ว่า “สุนัขรับใช้” ที่ตัดเคเบิ้ลท้องถิ่น โดยกล่าวหานายสนธิว่า ทำการถ่ายทอดโดยผิดกฎหมาย และมีการขู่ว่า เพื่อตัดโครงข่ายการถ่ายทอดรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ แต่นายสนธิสวนกลับว่าไม่มีทางทำได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ
- โจมตีนโยบาย ประชานิยม ที่ออกมาโดยรัฐบาล แต่เจ๊งหมดแล้ว และยังทำตัวร่ำรวย เที่ยวแจกเงินชาวบ้าน และสัญญาทำโครงการ หลายแสนล้าน หลายล้านๆ ทั้งๆ ที่รัฐบาลถังแตกแล้ว
- โจมตีการเพิ่มภาษี ชาวบ้านตาดำๆ ที่ทำรถเข๊ญขายก๋วยเตี๋ยว เป็นอีกหลักฐานหนึ่งว่ารัฐบาลถังแตก

3 พฤศจิกายน 2005
รัฐบาล โดยนายวิษณุ เครืองาม ได้แถลงว่า สมเด็จญาณสังวรณ์ ได้เซ็นรับการแต่งตั้งรักษาการแทน สมเด็จพระสังฆราชแล้ว และในคืนนั้นก็มีเหตุการณ์ ระเบิดที่ทำการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แต่ไม่ได้รับควาเสียหายอะไร เป็นเพียงระเบิดขู่เล็กๆที่ริมรั้วเท่าน้น แต่นายสนธิก็ได้จับมาเป็นประเด็นใหญ่

4 พฤจิกายน 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 7 - สวนลุมพินี ต่อเนื่อง Campaign “เอาประเทศไทยของเราืคืนมา”
คนดูประมาณ กว่า หนึ่งหมื่นคน

- เปิดประเด็นต่อเนื่องเรื่องซื้อเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” ของตัวเองก่อน ว่าเป็นความสิ้นเปลือง ในขณะที่ไม่ยอมซื้อ เครื่องบินให้ พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี (กำลังจะกลายมาเป็นเื่รื่องใหญ่มากอีกเรื่อง)
- ฉีกลึก ประเด็นแต่งตั้งพระสังฆราช จับโกหก นายวิษณุ โดยนำเอกสาร การรับการแต่งตั้งของสมเด็จพระญาณสังวงรณ์มาดู ปรากฎว่าพระองค์ไม่ได้เซ้นอะไรเลย!!!
- เปิดประเด็น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเข้าตลาดหุ้น ว่าเป็นการขายชาติ เพราะไม่ควขายสายส่ง ที่อยู่บนพื้นดินทืี่เวรคืนมา และไม่ควรขายเขื่อน อันมีน้ำซึ่งเป็นของแผ่นดิน

นายสนธิได้ประกาศ ระดมพล 5 หมื่นคน ในวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน!!!

ในขณะที่วิรุฬห์เขียนนี้ คือวันที่ 10 พฤศจิกายน เวลาดึกๆ ของ Pacific อันเป็นเวลาบ่ายๆ ของประเทศไทย จะมีคนมาถึง ห้าหมื่นคนหรือไม่ที่สวนลุมพินี ก็สุดแล้วแต่

เช้าวันนี้ สส ของรัฐบาลก็ฟ้องนายสนธิ ข้อหากบฎและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้ว (ไปกันใหญ่ และก็เป็นอีกครั้งที่นายกไม่อยู่ในประเทศไทย) โดยเน้นไปที่เรื่องของการที่นายกเข้าไปนั่งทำพิธีในวัดพระแก้วในจุดเดียวกับพระเ้จ้าอยู่หัว โดยกล่าวว่าได้รับอนุญา่ติเรียบร้อย แล้วทางหนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็สวนกลับโดยการแสดงเอกสารของ สำนักราชเลขาธิการ แล้วว่า เซ็นออกมาคนละวันกับที่ สำันักนายกอ้าง และ ในเอกสารก็ระบุว่า นายกต้องเป็นคนเข้าร่วมพิธี (แต่จริงๆนายกไปนำพิธี)พร้อมกับองคมนตรี (แต่ไม่มีองคมนตรีมาี่ร่วมแม้แต่คนเดียว)

ทีนี้ ก็อยากจะขอให้ความเห็นในฐานะผู้ที่ติดตามข่าวในเมืองไทยอย่างใกล้ชิด โดยวิรุฬห์คิดว่า สิ่ง่ที่น่าสนใจมากสำหรับเหตุการณ์ทั้งหมดนี่คือ การที่รัฐบาลเป็นผู้ที่ควบคุมสื่อทั้งหมด ยกเว้น เครือผู้จัดการของนายสนธิ และมติชน ซึ่งถ้าคนสังเกตุ จะเห็นได้ว่า ข่าวในโทรทัศน์ของรัฐบาลจะหลีกเลี่ยงการวิจารณ์การเมืองระดับใหญ่แบบตรงไปตรงมามาก คนอย่างคุณ สรยุทธ สุทัศนจินดา ที่เป็นนักข่าวช่างวิจารณ์ รู้จักการเืืมืองอย่างลึกซึ่ง ที่นักข่าวหลายคนยกย่องให้เป็น “ราชสีห์” รุ่นเยาว์ วันนี้กลายเป็นแมวไปซะแล้ว ทำแต่เรื่องสังคม และการเมืองระดับชาวบ้าน ทิ้งเรื่องใหญ่เทียมฟ้า อย่างเรื่องต่างๆ ที่นายสนธิอ้างถึงให้เป็นที่สงสัยของคนในสังคมไป

บ้านเมืองยุคนี้ เป็นบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยคำถาม โดยคำถามหลักๆ ก็คือ ทำไม กูถึงทำงานหนักขึ้น แต่จนลงๆทุกวัน แต่ครอบครัวนักการเมืองทำไมรวยกันอุตลุตนัก ท่านายกของเราคนนี้ก็ได้รับการเลื่อนขึ้นจาก มหาเศรษฐีอันดับ ที่ 21 ของโลกมาเป็นอันดับ ที่ 14 มีเงินเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ ทำไมมาเป็นนายกแล้ว กิจการครอบครัวตัวเองใหญ่โต ในขณะที่บริษัทคู่แข่งหลักๆ อย่าง DTAC พากันขายหุ้น หนีไปทำกิจการอื่นๆ กันแล้ว แล้วทำไม เรื่องปักษ์ใต้ที่นายกสัญญาแล้วสัญญาอีก บอกหลายครั้งว่ารู้ตัวหมดแล้วว่าใครทำ ทำไมถึงมีแต่รุนแรงขึ้นทุกวัน ทำไมคนในตระกูล และเครือญาติท่านนายก มาดำรงตำแหน่งในรัฐบาลและทหารมากมายนัก และคำถามอื่นๆ อีกมากมาย

ตอนนี้ในสังคมไทย มีคนๆ เดียวที่กล้าถามคำถามเหล่านี้

แต่รัฐบาล และท่านนายกไม่เคยตอบเลยแม้แต่คำถามเดียว

ทำไมถึงไม่ตอบ ? วิรุฬห์เองก็จนใจที่จะเดา

ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องถามด้วยว่า นายสนธิ ทำไมจึงดึงเบื้องสูงมาเยอะขนาดนี้ นายกทำอะไร เป็นพันไปกับ พระมหากษัตริย์ได้หมด และยังใส่เสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ตลอดเวลา เป็นอะไรที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่มาก ซึ่งก็ต้องถามต่อไปว่า ถ้าคุณกำลังทำสิ่งที่เป็นธรรม และถูกต้อง ทำไมต้องเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาอ้างตลอดเวลา ?

แม้ว่าในสังคมไทยชั้นกลางตอนนี้ จะมีกระแสต่อต้านรัฐบาลอยู่มากมาย แต่ท่านผู้อ่านก็ควรจะใช้วิจารณญาณอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะปักษ์ใจเชื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะสถาณการณ์ตอนนี้ ตึงเครียด และเปราะบางมาก

ถ้าย้อนกลับไปที่การมองสถาณการณ์อย่างง่ายๆ ว่า นี่คือการปะทะกันระหว่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ นายกทักษิณ ชินวัตร ละก็ นี่คือสงครามประสาท เพราะที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต้องตั้งสติให้มั่น ถ้าใครสติแตกก่อนอาจจะถึงขั้นจบชีวิตเลยก็ได้ หลายๆคนอาจจะเห็นว่า นายกทักษิณช่วงหลังๆ จะให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำที่แปลกๆ เช่น “ถ้าใครเลือกพรรคไทยรักไทย ก็จะช่วยก่อน ไม่เลือกก็ช่วยทีหลัง” หรือ “ผมเมตตา หลวงตามหาบัว” เป็นต้น ทำให้เป็นการเปิดประเด็นให้นายสนธิ “ขุด” ได้มากขึ้น แต่ ในขณะเดียวกัน คนก็เริ่มสงสัยว่า การที่สนธิเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มานำหน้า และพูดด้วยอารมณ์มากในช่วงหลังนี่ นายสนธิีมีอะไรแอบแฝงมากกว่าเจตนาที่บริสุทธิ์หรือเปล่า

อย่าถูกคนใดคนหนึ่งดึงเป็นเครื่องมือ ใช้กาลามสูตรเยอะๆ เลยครับ ถ้าคิดดีแล้ว พิจารณาดีแล้ว จะเชื่อใครก็ค่อยๆ ว่ากันไป

รักประเทศไทยของเราให้มากๆ ละกันนะครับ

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป วิรุฬห์ไม่ขอวิจารณ์ แต่อยากขอให้ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณ และหากต้องการชมรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เก่าๆ ก็ชมได้ที่
http://www.manager.co.th/

เราจะต้องมาไล่ใครคนอื่นอีกหรือเปล่า? - 2

(เขียนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 6.00AM ของเมือง Las Vegas ในขณะที่กำลังมีการชุมนุมขับไล่พันตำรวจโท ดอกเตอร์ ทักษิณ ชินวัตร ที่ท้องสนามหลวง)

ถามว่าประเทศคืออะไร ประเทศก็คือ สะท้อนโดยรวมในทุกๆ ด้านของคนในประเทศนั้น ในกรณีของประเทศไทย ก็คือภาพสะท้อนทาง วินัย ทางจริยธรรม ทางความสามารถ ทางกำลังสมอง ฯลฯ ของคน 60 กว่าล้านคน

เราจะต้องมาไล่ใครคนอื่นอีกหรือเปล่า?

(เขียนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 6.00AM ของเมือง Las Vegas ในขณะที่กำลังมีการชุมนุมขับไล่พันตำรวจโท ดอกเตอร์ ทักษิณ ชินวัตร ที่ท้องสนามหลวง)

พ่อแม่ผมเคยบอกว่า เห็นภาพที่มีการเล่นดนตรีเพื่อชีวิต แล้วก็มีคนขึ้นมาสลับกันพูดโจมตี ผู้ปกครองในบ้านเมืองนั้นเหมือนกับสมัย 14 ตุลาคม 1974 ไม่มีผิด ตอนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่นิสิตนักศึกษาออกมานำประชาชนเข้าขับไล่เผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งตอนหลังก็ต้องออกจากประเทศไป ตอนที่ผมอยู่ประมาณ ม. 4 ก็มีเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ซึ่งเป็นการขับไล่ พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่ทำให้เพลิงสุมใจคนด้วยวาทะ “เสียสัตย์เพื่อชาติ” นำไปสู่การที่ทหารเข้าเข่นฆ่าประชาชนอีกครั้ง ซึ่งตอนหลังก็ต้องออกจากตำแหน่งไป และในวันนี้ ประชาชนก็ต้องออกมาไล่อีกแล้ว

ที่ต่างกันก็คงจะเป็นว่านายกทักษิณเป็นนายกที่ประชาชนเลือกตั้งมาด้วยคะแนนถล่มทลายเท่านั้นเอง แต่บริหารเหมือนเผด็จการไม่มีผิด จะน่ากลัวกว่าก็คือ มาในเสื้อสูทนักประชาธิปไตย พร้อมกับ คำว่าผมมี 19 ล้านเสียง

เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว คนรักเขาค่อนประเทศ ทำไมวันนี้ถึงได้ไล่ ก็คงรู้ๆ กันอยู่ จะเป็นเพราะ หุ้นเจ็ดหมื่นล้าน เพราะ สนธิ ลิ้มทองกุลหรืออะไรก็แล้วแต่เหอะ ประเด็นคือ วันนี้ทำไมเราต้องมาไล่อีก ทั้งๆ ที่เราก็เป็นประเทศที่เดินทางมาไกล ในระบบประชาธิปไตย ทหารทุกวันนี้ก็เรียบร้อย ไม่ยุ่งการเมืองแล้ว ทำไมเราต้องมาไล่กันอีก

เพราะเราถูกหลอก ก็แค่นั้น

เหมือนเราเป็นเถ้าแก่ จ้าง CEO มาบริหารงาน คัดเลือกมาอย่างดีแล้ว คนนี้ล่ะเหมาะสม ประวัติดี พูดเก่ง ไฟแรง แต่พอจ้างมันมาทำงาน มันเล่นโอนหุ้นเข้ากระเป๋าตัวเอง เพิ่มทุนบริษัทเอง ให้คนอื่นเข้ามาถือ จนเถ้าแก่อย่างเราเห็นว่าเฮ้ย ไม่ได้แล้ว ต้องไล่มันออก แต่มันก็ไม่ยอม

แต่อีกหน่อยมันก็ต้องออกล่ะพี่น้อง มันอยู่ไม่ได้หรอก

ปัญหาที่ผมสงสัยก็คือว่า แล้วคนใหม่ที่จะมา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เราจะต้องมาไล่มันอีกมั้ยเนี่ย หลายๆ คนก็บอกว่า ถ้ามันเลวก็ต้องไล่มันอีกสิ ผมก็เห็นด้วย แต่ถ้าเราไม่ต้องไล่ เราก็ไม่ต้องเหนื่อย บ้านเมืองก็ไม่ต้องเป็นอัมพาต ใช่มั้ย

ถ้าจะไม่ต้องไล่ เราก็ต้องไม่ถูกหลอกก่อน แต่ทำไงถึงจะไม่ถูกหลอกล่ะ

ผมจำได้ว่าการเลือกตั้งปี 2548 ที่ผ่านมา ผมก็อยู่ในประเทศไทย และได้มีโอกาสไปใช้สิทธิ์ด้วย ผมและเพื่อนๆ หลายๆ คนรู้ไส้นายกคนนี้ และไม่ได้ vote ให้เขา โดยตัดสินใจ vote ให้พรรคประชาธิปปัตย์ ไม่ใช่เพราะรักประชาธิปปัตย์ แต่เป็นเพราะต้องการให้มีคนไปคานอำนาจ กับนายเหลี่ยม

แต่ไอ้คนแบบผมมันมีน้อย เพราะคนทั้งประเทศก็ vote ให้เขาถล่มทลาย ได้ไป 377 เสียง เป็นพระเจ้าไปเลย

เพราะเขาหลอกคนทั้งประเทศได้ มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็น

มันไม่มีคนอื่นมาหลอกประชาชนเพื่อแสวงหาอำนาจ คนอื่นๆ เขามีแต่ยึดเอาดื้อๆ แบบทหาร มีทักษิณ นี่มาแบบจิ้งจอก

เราจะมีวิธีที่จะไม่ให้ถูกหลอกได้ ก็ต้องพูดแบบน้ำเน่าไปเลยว่าก็คือต้องให้ความรู้คน ต้องให้การศึกษา
หลายๆ คนอาจจะบอกว่า ทักษิณเขาหลอกคนจบปริญญาเอกได้ด้วยซ้ำ ก็ต้องมองไปดีๆ ว่าเมื่อการเลือกตั้งครั้งที่แล้วนี่ มีคนมากมายที่ชอบเขา แต่ก็เลือกประชาธิปปัตย์ เพราะต้องการให้มีการคานอำนาจ

เราต้องการคนที่มีวิจารณญาณในการใช้สิทธิ์แบบนั้น เราก็ต้องติดเขี้ยวเล็บทางสมองให้คนมากขึ้น !!!

มันจะง่ายขึ้นมามากถ้าเราเห็นทิศทางชัดเจนว่าประเทศไปทางไหน ถ้า Cell ทั้ง 60 ล้าน Cell มุ่งหน้าไปในทางเดียวกัน

คำถามที่จะทำให้ทิศทางที่ว่านี่เห็นชัดก็คือคำถามว่า ประเทศคืออะไร

(มีต่อ)

Saturday, February 25, 2006

ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่รัฐธรรมนูญ (จริงหรือ)

(เขียนลงหนังสือพิมพ์ไทย Thai Nevada Post เมื่อวันที่ 8 พฤษจิกายน ปี 2005)

อย่างที่ได้บอกให้ทราบไปแล้วว่าเมื่อครั้งที่แล้วนั้น วิรุฬห์ได้หยุดไว้ที่ การชุมนุมกันของประชาชนที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 11 พฤษจิกายน

ผลที่ปรากฎคือ ประชาชนมาชุมนุมที่นั่นประมาณ 80,000 คน นับว่าผิดจาก แสนคนไปไม่มาก แต่สิ่งที่เด็ดที่สุดคือ เป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของสนธิลิ้มทองกุล โดยนำผู้คนเข้าร่วมประกาศขอถวายคืนพระราชอำนาจสู่พระมหากษัตริย์ และให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนี้ นายสนธิมีหลักการในการเคลื่อนไหวทั้งหมดมาจากข้อนี้ข้อเดียว คือการที่บอกว่ารัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทยมีจุดอ่อน โดยก่อให้เกิดการควบรวมอำนาจมากจนเกินไป ทำให้ขาเล็กๆ ย่อยๆ ไม่มีสิทธิ์ที่จะซื้อเสียงอะไรได้ ต้องเป็น “ขาใหญ่” จริงๆ เท่านั้น ที่จะมีสิทธิฺ์ได้เกิดและเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ได้

รัฐบาลของ พันตำรวจโท ด๊อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐบาลชุดแรกที่เข้ามาตามรัฐธรรมนูญ ใหม่ฉบับนี้

โดยสิ่งที่แตกต่างกับที่เกิดขึ้นมาก็คือ การมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ สส สองชนิด ได้แก่ (1) สส เขต และ (2) สส บัญชีรายชื่อ หรือที่เรียกว่า Party List

สส เขต นั้นเหมือนกับ “เบี้ย” คือเป็น สส ที่สมัครรับเลือกมาจากเขตเลือกตั้ง ต่างๆ ทั่วประเทศ เหมือนๆ กับที่เคยมีมา เลือกกันเข้ามาโดยตรง ส่วน สส party list นั้นเลือกเข้ามาเป็น พรรค

ดังนั้น ถ้ามองลงไปในบัตรเลือกตั้งที่พวกท่านจะได้เห็นเื่มื่อเข้าคูหาเลือกตั้ง ก็จะีมีอยู่สองส่วน หนึ่งคือชื่อ สส เขต ในเขตของท่าน กับ สองคือ ชื่อของ “พรรค” ในส่วนของ Party List

ถ้าท่านที่ไม่เข้าใจ Concept ของ Party List ก็จะอธิบายสั้นๆ ก็คือ เรื่องของ สัดส่วน นั่นเอง

สส ในประเทศไทยมีทั้งหมด 500 คน 400 คน คือ สส เขต เลือกตั้งโดยตรง ส่วนอีก 100 คือ สส party list

ประชาการทั้งประเทศ มีสิทธิ์เลือกตั้ง ประมาณ 44 ล้านคน ก็ืคือ 44 ล้านเสียง แต่มีคนมาออกเสียง แล้วบัตรไม่เสีย ไม่หาย ประมาณ 30 ล้านคน

อันดับแรกให้ท่านแบ่ง 30 ล้านคนนี้ เป็น ร้อยส่วน โดยแต่ละส่วน Represent สส Partylist 1 คน โดยการเลือกตั้งในครั้งนั้น ผลที่ออกมาคือ

พรรคไทยรักไทย ได้รับ 19 ล้านเสียง = สส 68 คน
พรรคประชาธิปปัตย์ 7 ล้านเสียง = สส 25 คน
พรรคชาติไทย 2 ล้านเสียง = สส 7 คน
พรรคมหาชน 1 ล้านเสียง = สส 0 คน
รวมสส Party List ทั้งหมด 100 คน

หลังจากนั้น ต้องนำผลไปรวมกับ อีก 400 ที่นั่ง ผลที่ออกมาคือ ไทยรักไทย 377 ที่นั่ง ประชาธิปปัตย์ 96 ที่นั่ง ชาติไทย 25 ที่นั่ง และ มหาชน 2 ที่นั่ง

Step ต่อมาคือการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคที่ได้เสียงข้างมากจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยในกรณีนี้ คือพรรคไทยรักไทย ที่มีเสียง ถล่มทลาย กลายเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ที่มีเสถียรภาพที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

และนี่คือจุดที่น่าสนใจระหว่าง สส สองชนิดนี้ เพราะกฎหมายระบุไ้ว้ว่า สส เขตเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ สส ที่เป็นรัฐมนตรีได้ คือ สส Party List เท่านั้น

เมื่อจำนวน สส Party List จะได้มาสักคน ยากแสนยาก ต้องอาศัยเสียงของประชาชนทั่วประเทศ เกือบ 3 ล้านคน จึงจะได้มาสักเสียงหนึ่่ง ซึ่งเป็นการแก้ํปัญหาในทางทฤษฎีว่า การซื้อเสียงนั้นเป็นไปไม่ได้

คำถามต่อมาที่เกิดขึ้น ก็คือ “ใคร” ที่จะอยู่ใน Party List ดังกล่าว เพราะเวลาเลือก ประชาชนไม่ได้ระบุ ชื่อ ระบุแต่พรรค คำตอบก็คือ คำว่า Party List นั่นเอง เพราะมัน มี List ของ Party อยู่ โดยอย่างเ่ช่นในกรณี ของพรรค ไทยรักไทย สส Party List อันดับหนึ่งคือ ท่านหัวหน้าพรรค พันตำรวจโท ด๊อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร อันดับสอง นายสุริยะ จึงรุ่งเรื่องกิจ และไปเรื่อยๆๆ จนถึง อันดับ ที่ 68 คือ นายสุทิน คลังแสง ซึ่งเป็นคนสุดท้้านที่คิดเข้าไปเป็น สส ส่วน คนที่ 69 ได้แก่นาย นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ ซึ่งกลายเป็น สส สอบตกไป (จากที่ได้รับ proportion มา 68 คน)

ขอให้สังเกตุอย่างหนึ่งว่า ถึงแ้ม้ สส เขต จะเป็น รัฐมนตรีไม่ได้ แต่ ไม่ได้แปลว่า สส Party List เท่านั้น ที่จะได้เป็น เพราะเป็นสิทธิของรัฐบาลที่จะตั้งชื่อใครก็ได้ โดยสังเกตุได้อย่างหนึ่งคือ คุณหญิงสุดาัรัตน์ เกยุราพันธ์ ซึ่งเป็น สมาชิกพรรคไทยรักไทย ระดับสูง ก็ไม่ได้เป็น สส แต่ได้รับเชิญให้เข้ามานั่งเป็นรัฐมนตรีเลย

นี่คือการเมืองไทยในปัจจุบัน พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย

ถ้าดูให้ดีๆ จะเห็นว่า พรรค คืออะไร พรรค คือ บริษัท พรรคไทยรักไทย เป็นพรรคใหญ่ เหมือนบริษัทใหญ่ ก็มีทุนมาก ค่อยๆ มีการ Merger + Acquisition พรรคเล็กใหญ่ มาโดยตลอด ตั้งแต่พรรค ความหวังใหม่ ไปจนถึงพรรคชาติพัฒนา สส ในพรรคเหล่านั้นก็พาตัวเข้ามาเป็น เสื้อ ไทยรักไทยหมด โดย แน่นอนว่า ถ้าเป็นบริษัท ผู้ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ ก็คือ ท่านหัวหน้าพรรค โดยเหมือนกับเป็น Chairman + CEO + Largest Chair Holder ในคนๆ เดียวกัน

นอกจากนี้ กฎหมายที่ให้อำนาจ “พรรค” มากอีก 3 ข้อได้แก่

- สส ที่จะเข้าัรับสมัครเลือกตั้งในพรรคใด จะต้องเป็นสมาชิกของพรรคนั้นๆ มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน
- ตามด้วยกฎเก่าแก่ คือถ้ามีการยุบสภา จะต้องมีการเลือกตั้งภายใน 90 วัน และ
- กฎใหม่อีก ข้อ คือ สส ต้องสังกัดพรรค !!!

ท่านผู้อ่านพอจะเห็นภาพหรือไม่?
ผลที่เกิดขึ้นคือ ท่านอยู่พรรคไหน ก็เหมือนติดคุกนั่นเอง เพราะถ้าท่านอยากย้ายพรรค เกิดเป็น สส อยู่ ถ้าท่าน ย้าย แปลว่าท่านลาออกจากการเป็น สส ถ้า ท่านรอจนยุบสภา ก็ย้ายไม่ทันแล้ว ถ้าย้ายก็ ไม่ถึง 90 วัน ผิดกฎ สมัคร สส ไม่ได้อีก เป็นอันอดไป

นอกจากนี้ การออกเสียง หรือ ยกมือ ในสภา ก็เหมือนกับเป็นการล่ามโซ่นั่นเอง สั่งให้ยกมือก็ต้องยก ไม่ว่ากฎหมายฉบับนั้นจะอุบาทวฺ์บัดซบขนาดไหนก็ต้องยก ถ้าทำตัวกระด้างกระเดื่อง ก็อาจจะถูก “ขับออกจากพรรค” ได้ ซึ่งก็เท่ากับเป็นการ ขับออกจากการเ็ป็น สส นั่นเอง

นี่คือการให้อำนาจหัวหน้าพรรค จนเกินขอบเขตเหมือนกัน

แล้วถามอีกว่า ถ้ามันเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจฝ่ายบริหาร จนเกินขอบเขต มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

มันเกิดขึ้นมาเพราะคนเบื่อระบบเก่า ที่เป็นระบบที่คนเรียกว่า “แบ่งเ้ค้ก” โดยที่มีการเลือก สส แล้ว สส ที่มาจากหลายๆ พรรคก็จะมารวมๆ กัน จัดตั้งรัฐบาล โดยที่จะเป็นรัฐบาลจากหลายๆ พรรค มีการแย่งตำแหน่ง - bluff - หักหลัง - ยื้อ - ดึงเกม Conspiracy บ้าบอคอแตกไปหมด ผลคือทำงานอะไรไม่เสร็จสักอย่าง งานราชการไม่เดิน วันดีคืนดี ยุบสภา เลือกตั้งใหม่อีก โครงการใหญ่ๆ อะไรก็ไม่ได้เกิด

ดังนั้นรัฐธรรมนูญใหม่จึงเน้น เสถียรภาพของ รัฐบาลเป็นสำคัญ และมีการ Lock เรื่องของการซื้อเสียง ด้วยการใช้ระบบ Party List ซึ่ง สส เขตที่ไปซื้อเสียงโดยตรง จะมาเป็นรัฐบาล(ที่ คอรัปชั่น หากินได้) ไม่ได้ ซึ่งทุกคนก็รู้ๆ ว่า มี Scenario เดียวที่จะซื้อเสียงได้ คือการ “หุ้น” กัน เหมือนกับการ ร่วมกันลงทุนนั่นเอง

แต่คนที่ร่างก็คงจะคิดว่า ใครมันจะบ้ามาหุ้นกัน เพราะมันไม่ใช่ผลประโยชน์โดยตรง แล้วใครจะมีเงินมากขนาดนั้น

แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น??

การรวมหุ้นกัน ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วเงินทุนมหาศาลที่ใช้เพื่อการเลือกตั้ง ก็มีขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ได้มาเป็นรัฐบาลจริงๆ

พ้นจากการ ตรวจสอบ พ้นจากการ ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น

นาย สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลรุนแรงอย่างทุกวันนี้ เขย่าบังลังก์ ของนายกทักษิณได้รุนแรงเช่นนี้ ก็ไม่ได้เล่นเกมในสภา แต่ใช้วิธี เล่นเกมในถนน ในที่โล่ง โดยถามคำถาม “ที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องตอบ หรือไม่กล้าตอบนั่นเอง” แล้วก็ ไม่เคยตอบจริงๆ

ปํญหาดังกล่าว นับวันก็จะมีแต่มากขึ้น

- ปัญหาเรื่องคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
- ปัญหาการได้สัมปทานมากมายของบริษัทลูกชานของนายก
- ปัญหาการได้รับยกเว้นภาษี ของบริษัทที่ครอบครัวนายกเป็นเจ้าของ
- ปัญหาการซื้อเครื่องบินส่วนตัวของนายก ก่อนเครื่องบินของในหลวง
- ปัญหาการใช้เครื่องบินของราชการไปเที่ยวสงกรานต์์เชียงใหม่
- ปัญหากองทุนหมู่้บ้าน ที่พังยับเยิน
- ปัญหาการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อทำกำไรให้พวกพ้อง (เรื่องนี้คุยได้อีกเป็นวัน)
- ปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช
- ปัญหาการตกแต่งบัญชี การใช้จ่ายและการเก็บภาษีของรัฐบาลที่ไม่โปร่งใส(นักวิชาการหลายคนชี้ว่ารัฐบาลถังแตกแล้ว)
- และ อื่นๆ อีกมากมาย

อย่างที่เคยเปรียบเทียบให้ฟัง ว่า ถ้านี่เป็นนิยายยุทธจักร นายสนธิ จากที่เคยใช้กระบวนท่าแลกชีวิต ตอนนี้ กลายมาเป็นผู้ได้เปรีบบแล้ว โดยมีกระบี่ที่เฉือนรัฐบาล ที่เป็นเหมือนยักษ์ใหญ่ ไปหลายสิบแผล นายสนธินั้นเป็นมือกระบี่ที่ฉับไว เฉือนรัฐบาลไปหนึ่งแผล รัฐบาลร้องโอ้ย เอามือไปปิดแผล ก็เจอเชื่อดที่อื่นไปอีก 3 แผล แล้วพอไปปิดอีก ก็เจออีก 3-4 แผลใหม่

นายสนธิเคยเปรียบเทียบไว้ว่า เหมือนหมาขี้เรื้อน เกาที่ไหนก็โดนหมดล่ะ

รัฐบาลของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เอง ก็ต้องนับว่า เข้าตาจนในสงครามสื่อ ถึงขนาดยกเลิก รายการนายกพบสื่อในวันพฤหัสบดี ที่เป็นการตอบคำถามสื่อมวลชน คู่ไปกับรายการนายกทักษิณพบประชาชนทางวิทยุแห่งประเทศไทยวันเสาร์ (พูดคนเดียว ไม่มีคนถามคำถาม) โดยให้เหตุผลว่า “ช่วงนี้ ดาวพุธ โคจรถอยหลัง”

CNN ถึงขนาดเอาไปตีพิมพฺ์ทั่วโลก บอกว่านายกเชื่อว่า ดาวแห่งชะตาของท่าน ไม่ขนานกับ ดาวพุธ ทำให้มีเคราะห์ ไ่ม่ควรพูดอะไรตอนนี้

จะจริงหรือไม่จริง แต่ถ้า CNNมันลง เราก็เสียไปแล้วละครับ ประเทศไทย

แต่ก็ต้องถามนายสนธิ จริงๆ ล่ะ ว่าปัญหา ของเราอยู่ที่รัฐธรรมนุูญ จริงๆ หรือ หรือว่ามันอยู่ที่ ธรรมชาติของการเมืองไทยกันแน่

เพราะไ่ม่ว่าเราจะร่างกฎอะไร แต่งตัวแบบไหน สร้างภาพดีแค่ไหน แต่เราก็อยู่ในสังคมที่มีคนแบบเดิมๆ หลายๆ คนก็รอให้ถึงเลืิอกตั้งจะได้มีเงินใช้ แล้วก็โดนบังคับให้ไปเลือกคนที่เขาให้เงินมาแล้ว

ถ้าไม่เอาแบบนี้ เราจะกลับไปแบบเก่าที่ทำงานอะไรไม่เสร็จอีกหรือ

หรือว่าจะเอาแบบที่ นายสนธิิ บอกเลยว่าถวายพระราชอำนาจคืนไปเลย ย้อนยุคไปสู่สมัยวิกฤติพฤษภาทมิฬ ที่ประธานวุฒิ อาทิตย์ อุไรรัตน์ ลอบส่งรายชื่อ นายอานันทฺ์ ปัญยารชุนเพื่อเป็นนายก

อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่คนไทย ทุกๆ คนจะตัดสิน

ต้องยอมรับจริงๆ ว่า ตอนนี้ ข่าวในประเทศไทย สนุกมาก แต่จะเหมือนว่า เป็น Black Comady มากกว่า เพราะประเทศเรา กำลังเข้าวิกฤติในทุกๆ ด้าน ประเทศเราในทุกๆ วงการ แตกเป็นสองเีสี่ยงอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน เนื่องจากที่ผ่านมา จะเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ทหารกับนักศึกษา นักการเมืองกับนักวิชาการ ตำรวจกับประชาชน
แต่ทุกวันนี้ แม่แต่วงการสงฆ์ยังแตกเป็นสองเสี่ยง ทหารก็แตก นักวิชาการก็แตก และเริ่มมีการปะทะกันประปรายไปทั่วประเทศแล้ว

การเมือง ศีลธรรม เศรษฐกิจ วิรุฬห์เองยังไม่เห็น เลยว่าตอนนี้มีอะไรที่เป็นเืรื่องที่ดี และเห็นแววว่าจะมีอนาคตที่ดีบ้าง

คงต้องเหลืออยู่เรื่องเดียวละครับ คือวันที่ 4 ธันวาคมนี้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทำการให้โอวาทเืนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาอีกครัง พระองค์ทรงให้ข้อคิดดีๆ และกำลังใจกับคนไทยเสมอๆ

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ พระองค์ อายุมั่นขวัญยื่น เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปอีกนานแสนนาน เทอญ

คำตอบกับคำถามที่ว่า "ไม่เอาทักษิณแล้วจะเอาใคร?"

เวลาขึ้นรถ Taxi หรือเวลาไปเจอพวกสมองเสื่อม ยังโดนชาวบ้านเขาหลอกอยู่ เราจะทำอย่างไรกันดี ถ้าเราด่ามารดามันก็สะใจดีแต่อาจจะจบลงด้วยการลงไม้ลงมือกัน หรือมันอาจจะเป็นเพื่อนเราที่เราเกรงใจ ไม่อยากจะแตกหัก หรือมันอาจจะเป็นคนเดินถนนที่บางทีเราไม่อยากเข้าไปยุ่ง

แต่วันนี้เราทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว!!

อีกสองเดือนจะเลือกตั้งอีก คณะมหามารมันก็จะใช้เงิน เจ็ดหมื่นล้านของมันซื้อเสียงเข้ามาอีก แล้วก็ใช้ บัตรเลือกตั้งพิมพ์เองที่กองสลากมาเพิ่มกล่องตัวเอง ไหนจะใช้กำนันผู้ใหญ่บ้านที่เพิ่งได้รับเงินเดือนเพิ่ม กับตำรวจขี้ข้าของมันเข้ามาข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามอีก ยังไงมันก็ชนะอยู่แล้ว แต่จะชนะแค่ไหนเท่านั้นล่ะ ที่บัดซบที่สุดก็คือ เงินพวกเราเองทั้งนั้น

แต่เราก็ต้องสู้กับแม่งสักตั้ง

นึงวิธีการต่อสู้ที่ทำได้อย่างหนึ่งคือเปลี่ยนความคิดของพวกที่ ยัง "โง่" อยู่ให้ฉลาดขึ้นมาบ้างหนึ่งในวิธีนั้นก็คือ Metaphor หรือการเปรียบเทียบโดยใช้เหตุการณ์สมมุติเวลาขึ้นแท๊กซี่ ลองถามๆคนขับดูว่า พี่ว่านายกทักษิณเป็นไง ส่วนใหญ่จะตอบว่า ผมว่า "ตั้งแต่ผมเกิดมานี่ นายกทักษิณ นี่หล่ะที่ทำอะไรเยอะที่สุดแล้ว" หรือไม่ก็ "ผมก็เห็นนายกแม่งก็แดกทุกคนล่ะ" ดังนั้นเราก็ควรจะเล่ากลับคืนไปด้วยเรื่องเปรียบเทียบ

บ้านพี่ทำนาใช่มั้ย ... โอเค ... พี่ลองนึกๆ ว่า พี่เคยมีแต่ผู้ใหญ่บ้านห่วยๆ ไม่ได้เรื่อง แล้วก็โกง แต่วันนึงพี่เกิดมี ครูหน้าตาดี ขยัน ฉลาด โผล่มา พี่ก็เลือกเป็น ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านก็รัก หมู่บ้านก็เจริญ แต่ทุกคนก็รู้ล่ะ ว่าครูก็กินเหมือนกัน แต่พอเขาทำงานดี หมู่บ้านเราก็เห็นว่าเจริญ เราก็พอรับกันได้ ใช่มั้ย เพราะเราถามตัวเองว่า "ไม่เอาผู้ใหญ่คนนี้แล้วจะเอาใคร ผู้ใหญ่ก็กินทุกคนแต่ไม่เห็นมีใครเก่งแล้วก็ทำงานได้ดีขนาดนี้" มันก็เป็นคำถามที่ โอเค

แต่ถ้าวันหนึ่งลูกสาวพี่ เดินมาบอกพี่ว่า "พ่อๆ ครูเขาข่มขืนหนู ข่มขืนติดต่อกันมาสองปีแล้ว"พี่จะถามตัวเองอีกมั้ยว่า "เออ จะไปฆ่ามัน แต่ไม่รู้จะเอาใครมาเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อ"

พี่คงไม่ถามแล้วแน่ๆ ไปฆ่ามันก่อนแล้วใครจะเป็นก็ช่างหัวมันใช่มั้ย

นี่ล่ะคือระดับความชั่วของนายกคนนี้ที่มันกำลังทำกับประเทศไทย มันไม่ใช่แค่แดก แต่มันกำลังข่มขืนประเทศอยู่

แต่ทีนี้มันมีอีก เรื่องนึง ถ้าเกิดว่าลูกสาวพี่ ไม่ใช่เด็กดีล่ะ อาจจะเป็นเด็กติดยามาก่อน เคยโกหกพ่อแม่บ่อยๆ แล้วก็อาจจะเคยนอนกับผู้ชายมาแล้วหลายคน ต่อให้ทำแท้งมาแล้วด้วยเอา พี่อาจจะไม่เชื่อก็ได้ใช่มั้ย"เอ็งเอาอะไรมาพูด ครูเขาเป็นคนดี เขาไม่มาทำอะไรกับเอ็งหรอก อย่ามาโกหกข้าอีกนะ อีนังตัวดี ไปให้พ้น"

อีกสองวัน ลูกสาวพี่ ผูกคอฆ่าตัวตายเลย

ต่อมาเพื่อนๆ ลูกยืนยันว่าลูกพี่โดนข่มขืนจริง แถมพี่ยังรู้จากเพื่อนๆ ในหมู่บ้านอีกด้วยว่า ลูกสาวคนอื่นๆ ก็โดนเหมือนกัน

แต่ประเด็นก็คือ ต่อให้พี่เสียใจร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายเลือดมันก็ช้าไปแล้ว ลูกสาวพี่ตายไปเรียบร้อยแล้ว จะไปฆ่าไอ้ครูบ้านี่ให้ตายทั้งโคตร ลูกสาวพี่ก็ไม่พื้นคืนมาแล้ว

ก็เหมือนคนที่ออกมาต่อต้านนายก เขาก็อาจจะไม่ได้เป็นคนที่มีประวัติศาสตร์ที่ขาวสะอาดมาก่อน แต่เราต้องดูว่า เรื่องที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่มีมูลหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเพราะเขาไม่ได้สะอาด เรื่องของเขาต้องเป็นเรื่องโกหกแน่นอน แล้วพอพี่เกิดไม่สนใจเรื่องที่เขาเตือน ปล่อยให้เวลาผ่านไป แผ่นดินที่เราอยู่ ก็อาจจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างเป็นของต่างชาติหมด แล้วพี่จะไปต่อต้านไอ้นายกบ้านี้ มันก็ช้าไปแล้ว เพราะมันก็ไม่สนแล้วเหมือนกัน มันขายทุกอย่างให้ต่างชาติ จนหมดประเทศไปแล้ว มันจะรวยเช็ดเม็ดเสียยิ่งกว่าตอนนี้อีกหลายเท่าตัว

ลองดูวิธีนี้กับคนที่ยัง "โง่" อยู่ให้หันมาฉุกคิดบ้าง แล้วก็ถาว่า ถ้านายกทักษิณบริสุทธิ์จริง ทำไมสนธิท้าออกทีวี ไม่กล้าออก ทำไมถึงยกเลิกรายการตอบคำถามสื่อ แล้วก็ลองเล่าเรื่อง ปตท ให้เขาฟัง จากนั้น ก็ค่อยอ่าน 40 คำถามให้เขาฟัง เก็บเป็นโพยไว้ในกระเป๋าตังค์ด้วยเลยก็ดีรับรองได้ว่า ถ้าคนฟังยังมี Cell สมองหลงเหลืออยู่ ก็น่าจะเก็บไปคิดบ้าง ถ้าไม่อย่างนั้น ยังจะรักนายทักษิณอยู่ก็ตามสบาย สวดบังสุกุลให้มันไปได้เลย