Saturday, February 25, 2006

ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่รัฐธรรมนูญ (จริงหรือ)

(เขียนลงหนังสือพิมพ์ไทย Thai Nevada Post เมื่อวันที่ 8 พฤษจิกายน ปี 2005)

อย่างที่ได้บอกให้ทราบไปแล้วว่าเมื่อครั้งที่แล้วนั้น วิรุฬห์ได้หยุดไว้ที่ การชุมนุมกันของประชาชนที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 11 พฤษจิกายน

ผลที่ปรากฎคือ ประชาชนมาชุมนุมที่นั่นประมาณ 80,000 คน นับว่าผิดจาก แสนคนไปไม่มาก แต่สิ่งที่เด็ดที่สุดคือ เป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของสนธิลิ้มทองกุล โดยนำผู้คนเข้าร่วมประกาศขอถวายคืนพระราชอำนาจสู่พระมหากษัตริย์ และให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนี้ นายสนธิมีหลักการในการเคลื่อนไหวทั้งหมดมาจากข้อนี้ข้อเดียว คือการที่บอกว่ารัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทยมีจุดอ่อน โดยก่อให้เกิดการควบรวมอำนาจมากจนเกินไป ทำให้ขาเล็กๆ ย่อยๆ ไม่มีสิทธิ์ที่จะซื้อเสียงอะไรได้ ต้องเป็น “ขาใหญ่” จริงๆ เท่านั้น ที่จะมีสิทธิฺ์ได้เกิดและเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ได้

รัฐบาลของ พันตำรวจโท ด๊อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐบาลชุดแรกที่เข้ามาตามรัฐธรรมนูญ ใหม่ฉบับนี้

โดยสิ่งที่แตกต่างกับที่เกิดขึ้นมาก็คือ การมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ สส สองชนิด ได้แก่ (1) สส เขต และ (2) สส บัญชีรายชื่อ หรือที่เรียกว่า Party List

สส เขต นั้นเหมือนกับ “เบี้ย” คือเป็น สส ที่สมัครรับเลือกมาจากเขตเลือกตั้ง ต่างๆ ทั่วประเทศ เหมือนๆ กับที่เคยมีมา เลือกกันเข้ามาโดยตรง ส่วน สส party list นั้นเลือกเข้ามาเป็น พรรค

ดังนั้น ถ้ามองลงไปในบัตรเลือกตั้งที่พวกท่านจะได้เห็นเื่มื่อเข้าคูหาเลือกตั้ง ก็จะีมีอยู่สองส่วน หนึ่งคือชื่อ สส เขต ในเขตของท่าน กับ สองคือ ชื่อของ “พรรค” ในส่วนของ Party List

ถ้าท่านที่ไม่เข้าใจ Concept ของ Party List ก็จะอธิบายสั้นๆ ก็คือ เรื่องของ สัดส่วน นั่นเอง

สส ในประเทศไทยมีทั้งหมด 500 คน 400 คน คือ สส เขต เลือกตั้งโดยตรง ส่วนอีก 100 คือ สส party list

ประชาการทั้งประเทศ มีสิทธิ์เลือกตั้ง ประมาณ 44 ล้านคน ก็ืคือ 44 ล้านเสียง แต่มีคนมาออกเสียง แล้วบัตรไม่เสีย ไม่หาย ประมาณ 30 ล้านคน

อันดับแรกให้ท่านแบ่ง 30 ล้านคนนี้ เป็น ร้อยส่วน โดยแต่ละส่วน Represent สส Partylist 1 คน โดยการเลือกตั้งในครั้งนั้น ผลที่ออกมาคือ

พรรคไทยรักไทย ได้รับ 19 ล้านเสียง = สส 68 คน
พรรคประชาธิปปัตย์ 7 ล้านเสียง = สส 25 คน
พรรคชาติไทย 2 ล้านเสียง = สส 7 คน
พรรคมหาชน 1 ล้านเสียง = สส 0 คน
รวมสส Party List ทั้งหมด 100 คน

หลังจากนั้น ต้องนำผลไปรวมกับ อีก 400 ที่นั่ง ผลที่ออกมาคือ ไทยรักไทย 377 ที่นั่ง ประชาธิปปัตย์ 96 ที่นั่ง ชาติไทย 25 ที่นั่ง และ มหาชน 2 ที่นั่ง

Step ต่อมาคือการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคที่ได้เสียงข้างมากจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยในกรณีนี้ คือพรรคไทยรักไทย ที่มีเสียง ถล่มทลาย กลายเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ที่มีเสถียรภาพที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

และนี่คือจุดที่น่าสนใจระหว่าง สส สองชนิดนี้ เพราะกฎหมายระบุไ้ว้ว่า สส เขตเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ สส ที่เป็นรัฐมนตรีได้ คือ สส Party List เท่านั้น

เมื่อจำนวน สส Party List จะได้มาสักคน ยากแสนยาก ต้องอาศัยเสียงของประชาชนทั่วประเทศ เกือบ 3 ล้านคน จึงจะได้มาสักเสียงหนึ่่ง ซึ่งเป็นการแก้ํปัญหาในทางทฤษฎีว่า การซื้อเสียงนั้นเป็นไปไม่ได้

คำถามต่อมาที่เกิดขึ้น ก็คือ “ใคร” ที่จะอยู่ใน Party List ดังกล่าว เพราะเวลาเลือก ประชาชนไม่ได้ระบุ ชื่อ ระบุแต่พรรค คำตอบก็คือ คำว่า Party List นั่นเอง เพราะมัน มี List ของ Party อยู่ โดยอย่างเ่ช่นในกรณี ของพรรค ไทยรักไทย สส Party List อันดับหนึ่งคือ ท่านหัวหน้าพรรค พันตำรวจโท ด๊อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร อันดับสอง นายสุริยะ จึงรุ่งเรื่องกิจ และไปเรื่อยๆๆ จนถึง อันดับ ที่ 68 คือ นายสุทิน คลังแสง ซึ่งเป็นคนสุดท้้านที่คิดเข้าไปเป็น สส ส่วน คนที่ 69 ได้แก่นาย นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ ซึ่งกลายเป็น สส สอบตกไป (จากที่ได้รับ proportion มา 68 คน)

ขอให้สังเกตุอย่างหนึ่งว่า ถึงแ้ม้ สส เขต จะเป็น รัฐมนตรีไม่ได้ แต่ ไม่ได้แปลว่า สส Party List เท่านั้น ที่จะได้เป็น เพราะเป็นสิทธิของรัฐบาลที่จะตั้งชื่อใครก็ได้ โดยสังเกตุได้อย่างหนึ่งคือ คุณหญิงสุดาัรัตน์ เกยุราพันธ์ ซึ่งเป็น สมาชิกพรรคไทยรักไทย ระดับสูง ก็ไม่ได้เป็น สส แต่ได้รับเชิญให้เข้ามานั่งเป็นรัฐมนตรีเลย

นี่คือการเมืองไทยในปัจจุบัน พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย

ถ้าดูให้ดีๆ จะเห็นว่า พรรค คืออะไร พรรค คือ บริษัท พรรคไทยรักไทย เป็นพรรคใหญ่ เหมือนบริษัทใหญ่ ก็มีทุนมาก ค่อยๆ มีการ Merger + Acquisition พรรคเล็กใหญ่ มาโดยตลอด ตั้งแต่พรรค ความหวังใหม่ ไปจนถึงพรรคชาติพัฒนา สส ในพรรคเหล่านั้นก็พาตัวเข้ามาเป็น เสื้อ ไทยรักไทยหมด โดย แน่นอนว่า ถ้าเป็นบริษัท ผู้ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ ก็คือ ท่านหัวหน้าพรรค โดยเหมือนกับเป็น Chairman + CEO + Largest Chair Holder ในคนๆ เดียวกัน

นอกจากนี้ กฎหมายที่ให้อำนาจ “พรรค” มากอีก 3 ข้อได้แก่

- สส ที่จะเข้าัรับสมัครเลือกตั้งในพรรคใด จะต้องเป็นสมาชิกของพรรคนั้นๆ มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน
- ตามด้วยกฎเก่าแก่ คือถ้ามีการยุบสภา จะต้องมีการเลือกตั้งภายใน 90 วัน และ
- กฎใหม่อีก ข้อ คือ สส ต้องสังกัดพรรค !!!

ท่านผู้อ่านพอจะเห็นภาพหรือไม่?
ผลที่เกิดขึ้นคือ ท่านอยู่พรรคไหน ก็เหมือนติดคุกนั่นเอง เพราะถ้าท่านอยากย้ายพรรค เกิดเป็น สส อยู่ ถ้าท่าน ย้าย แปลว่าท่านลาออกจากการเป็น สส ถ้า ท่านรอจนยุบสภา ก็ย้ายไม่ทันแล้ว ถ้าย้ายก็ ไม่ถึง 90 วัน ผิดกฎ สมัคร สส ไม่ได้อีก เป็นอันอดไป

นอกจากนี้ การออกเสียง หรือ ยกมือ ในสภา ก็เหมือนกับเป็นการล่ามโซ่นั่นเอง สั่งให้ยกมือก็ต้องยก ไม่ว่ากฎหมายฉบับนั้นจะอุบาทวฺ์บัดซบขนาดไหนก็ต้องยก ถ้าทำตัวกระด้างกระเดื่อง ก็อาจจะถูก “ขับออกจากพรรค” ได้ ซึ่งก็เท่ากับเป็นการ ขับออกจากการเ็ป็น สส นั่นเอง

นี่คือการให้อำนาจหัวหน้าพรรค จนเกินขอบเขตเหมือนกัน

แล้วถามอีกว่า ถ้ามันเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจฝ่ายบริหาร จนเกินขอบเขต มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

มันเกิดขึ้นมาเพราะคนเบื่อระบบเก่า ที่เป็นระบบที่คนเรียกว่า “แบ่งเ้ค้ก” โดยที่มีการเลือก สส แล้ว สส ที่มาจากหลายๆ พรรคก็จะมารวมๆ กัน จัดตั้งรัฐบาล โดยที่จะเป็นรัฐบาลจากหลายๆ พรรค มีการแย่งตำแหน่ง - bluff - หักหลัง - ยื้อ - ดึงเกม Conspiracy บ้าบอคอแตกไปหมด ผลคือทำงานอะไรไม่เสร็จสักอย่าง งานราชการไม่เดิน วันดีคืนดี ยุบสภา เลือกตั้งใหม่อีก โครงการใหญ่ๆ อะไรก็ไม่ได้เกิด

ดังนั้นรัฐธรรมนูญใหม่จึงเน้น เสถียรภาพของ รัฐบาลเป็นสำคัญ และมีการ Lock เรื่องของการซื้อเสียง ด้วยการใช้ระบบ Party List ซึ่ง สส เขตที่ไปซื้อเสียงโดยตรง จะมาเป็นรัฐบาล(ที่ คอรัปชั่น หากินได้) ไม่ได้ ซึ่งทุกคนก็รู้ๆ ว่า มี Scenario เดียวที่จะซื้อเสียงได้ คือการ “หุ้น” กัน เหมือนกับการ ร่วมกันลงทุนนั่นเอง

แต่คนที่ร่างก็คงจะคิดว่า ใครมันจะบ้ามาหุ้นกัน เพราะมันไม่ใช่ผลประโยชน์โดยตรง แล้วใครจะมีเงินมากขนาดนั้น

แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น??

การรวมหุ้นกัน ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วเงินทุนมหาศาลที่ใช้เพื่อการเลือกตั้ง ก็มีขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ได้มาเป็นรัฐบาลจริงๆ

พ้นจากการ ตรวจสอบ พ้นจากการ ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น

นาย สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลรุนแรงอย่างทุกวันนี้ เขย่าบังลังก์ ของนายกทักษิณได้รุนแรงเช่นนี้ ก็ไม่ได้เล่นเกมในสภา แต่ใช้วิธี เล่นเกมในถนน ในที่โล่ง โดยถามคำถาม “ที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องตอบ หรือไม่กล้าตอบนั่นเอง” แล้วก็ ไม่เคยตอบจริงๆ

ปํญหาดังกล่าว นับวันก็จะมีแต่มากขึ้น

- ปัญหาเรื่องคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
- ปัญหาการได้สัมปทานมากมายของบริษัทลูกชานของนายก
- ปัญหาการได้รับยกเว้นภาษี ของบริษัทที่ครอบครัวนายกเป็นเจ้าของ
- ปัญหาการซื้อเครื่องบินส่วนตัวของนายก ก่อนเครื่องบินของในหลวง
- ปัญหาการใช้เครื่องบินของราชการไปเที่ยวสงกรานต์์เชียงใหม่
- ปัญหากองทุนหมู่้บ้าน ที่พังยับเยิน
- ปัญหาการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อทำกำไรให้พวกพ้อง (เรื่องนี้คุยได้อีกเป็นวัน)
- ปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช
- ปัญหาการตกแต่งบัญชี การใช้จ่ายและการเก็บภาษีของรัฐบาลที่ไม่โปร่งใส(นักวิชาการหลายคนชี้ว่ารัฐบาลถังแตกแล้ว)
- และ อื่นๆ อีกมากมาย

อย่างที่เคยเปรียบเทียบให้ฟัง ว่า ถ้านี่เป็นนิยายยุทธจักร นายสนธิ จากที่เคยใช้กระบวนท่าแลกชีวิต ตอนนี้ กลายมาเป็นผู้ได้เปรีบบแล้ว โดยมีกระบี่ที่เฉือนรัฐบาล ที่เป็นเหมือนยักษ์ใหญ่ ไปหลายสิบแผล นายสนธินั้นเป็นมือกระบี่ที่ฉับไว เฉือนรัฐบาลไปหนึ่งแผล รัฐบาลร้องโอ้ย เอามือไปปิดแผล ก็เจอเชื่อดที่อื่นไปอีก 3 แผล แล้วพอไปปิดอีก ก็เจออีก 3-4 แผลใหม่

นายสนธิเคยเปรียบเทียบไว้ว่า เหมือนหมาขี้เรื้อน เกาที่ไหนก็โดนหมดล่ะ

รัฐบาลของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เอง ก็ต้องนับว่า เข้าตาจนในสงครามสื่อ ถึงขนาดยกเลิก รายการนายกพบสื่อในวันพฤหัสบดี ที่เป็นการตอบคำถามสื่อมวลชน คู่ไปกับรายการนายกทักษิณพบประชาชนทางวิทยุแห่งประเทศไทยวันเสาร์ (พูดคนเดียว ไม่มีคนถามคำถาม) โดยให้เหตุผลว่า “ช่วงนี้ ดาวพุธ โคจรถอยหลัง”

CNN ถึงขนาดเอาไปตีพิมพฺ์ทั่วโลก บอกว่านายกเชื่อว่า ดาวแห่งชะตาของท่าน ไม่ขนานกับ ดาวพุธ ทำให้มีเคราะห์ ไ่ม่ควรพูดอะไรตอนนี้

จะจริงหรือไม่จริง แต่ถ้า CNNมันลง เราก็เสียไปแล้วละครับ ประเทศไทย

แต่ก็ต้องถามนายสนธิ จริงๆ ล่ะ ว่าปัญหา ของเราอยู่ที่รัฐธรรมนุูญ จริงๆ หรือ หรือว่ามันอยู่ที่ ธรรมชาติของการเมืองไทยกันแน่

เพราะไ่ม่ว่าเราจะร่างกฎอะไร แต่งตัวแบบไหน สร้างภาพดีแค่ไหน แต่เราก็อยู่ในสังคมที่มีคนแบบเดิมๆ หลายๆ คนก็รอให้ถึงเลืิอกตั้งจะได้มีเงินใช้ แล้วก็โดนบังคับให้ไปเลือกคนที่เขาให้เงินมาแล้ว

ถ้าไม่เอาแบบนี้ เราจะกลับไปแบบเก่าที่ทำงานอะไรไม่เสร็จอีกหรือ

หรือว่าจะเอาแบบที่ นายสนธิิ บอกเลยว่าถวายพระราชอำนาจคืนไปเลย ย้อนยุคไปสู่สมัยวิกฤติพฤษภาทมิฬ ที่ประธานวุฒิ อาทิตย์ อุไรรัตน์ ลอบส่งรายชื่อ นายอานันทฺ์ ปัญยารชุนเพื่อเป็นนายก

อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่คนไทย ทุกๆ คนจะตัดสิน

ต้องยอมรับจริงๆ ว่า ตอนนี้ ข่าวในประเทศไทย สนุกมาก แต่จะเหมือนว่า เป็น Black Comady มากกว่า เพราะประเทศเรา กำลังเข้าวิกฤติในทุกๆ ด้าน ประเทศเราในทุกๆ วงการ แตกเป็นสองเีสี่ยงอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน เนื่องจากที่ผ่านมา จะเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ทหารกับนักศึกษา นักการเมืองกับนักวิชาการ ตำรวจกับประชาชน
แต่ทุกวันนี้ แม่แต่วงการสงฆ์ยังแตกเป็นสองเสี่ยง ทหารก็แตก นักวิชาการก็แตก และเริ่มมีการปะทะกันประปรายไปทั่วประเทศแล้ว

การเมือง ศีลธรรม เศรษฐกิจ วิรุฬห์เองยังไม่เห็น เลยว่าตอนนี้มีอะไรที่เป็นเืรื่องที่ดี และเห็นแววว่าจะมีอนาคตที่ดีบ้าง

คงต้องเหลืออยู่เรื่องเดียวละครับ คือวันที่ 4 ธันวาคมนี้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทำการให้โอวาทเืนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาอีกครัง พระองค์ทรงให้ข้อคิดดีๆ และกำลังใจกับคนไทยเสมอๆ

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ พระองค์ อายุมั่นขวัญยื่น เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปอีกนานแสนนาน เทอญ

No comments: