Wednesday, April 05, 2006

นักธุรกิจ กู้ชาติ

นี่ คือ Quote ของ อ.ต่อตระกูล ยมนาค ผู้มีชื่อเสียง อดีตนายก ของ วิศวกรรมสถาณแห่งประเทศไทย (ถ้าไม่รู้จักก็ลองหาข้อมูลทาง online นะครับ) ตอนนี้ท่านเป็นหนึ่งใน 300 ของกลุ่มวิศวกรช่วยชาติ ถอดความจากที่ ท่านกล่าวไว้ในการสัมภาษณ์ กับ อาจารย์ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในรายการ “รู้ทันทักษิณ” โดยมีผู้ร่วมบรรยาย คือ คุณปรีดา เตียสุวรรณ ประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย และ คุณไกร ตั้งสง่า อุปนายก วิศวกรรมสถาณแห่งประเทศไทย กรรมการสภาวิศวกร ตอนชุมนุมที่ สยามพารากอน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมา

ลองอ่านกันดู

อ.เจิมศักดิ์ : การมาชุมนุมของพวกเราที่ สยามพารากอนนี้ เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ซึ่งพวกเราก็เห็นว่ากำลังทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ คุณปรีดาเห็นว่าอย่างไร

คุณปรีดา : ธุรกิจเป็นสิ่งที่มีแต่ขยายไปมากขึ้นๆ ทุกๆ ที แล้วเป็นกำลังที่สร้างเงิน สร้างงานให้กับสังคมอย่างมหาศาล เพราะฉะนั้นถ้าพันธมิตรสามารถที่จะ เรียกกลุ่มธุรกิจให้มาร่วมมือร่วมใจกัน ออกไปประท้วงการปฎิบัติงานของคุณทักษิณที่ผ่านมา แล้วขอให้ท่านลาออกไปเสีย ผมคิดว่าจะเป็นพลังที่มหาศาลที่สุด แล้วก็เป็นพลังสุดท้ายที่ยังไม่ได้ออกมาแสดงตัวอย่างเต็มที่

อ.เจิมศักดิ์: แล้วที่คนเขาว่าการชุมนุมนี่ทำให้เศรษฐกิจพังนี้ จริงหรือเปล่าครับ

คุณปรีดา: ความจริงสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้คือ คุณทักษิณถูกจับได้ว่า ขายหุ้นเจ็ดหมื่นสามพันล้าน แล้วยังมีความพยายามที่จะไม่เสียภาษีให้กับพวกเราให้กับสังคมแม้แต่บาทเดียว ตั้งแต่นั้นมา พลังสังคมก็ออกมาขับไล่คุณทักษิณ อย่างมหาศาล จนกระทั่งเศรษฐกิจในระยะหลังก็ถอยลงมา อย่างมากมายอยู่แล้ว ผมทำการสำรวดจู พบว่าปัจจุบันนี้ ธุรกิจได้หายไปประมาณ 15-40% แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด ก็คือขอให้คุณทักษิณลาออกไป เว้นวรรคตัวเองออกไป เราก็จะเดินเข้าไปสู่หุบเหว ทุกทีๆ เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางเลือก เราจะต้องจัดการให้ท่านลาออกไปซะ ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นธุรกิจของพวกเราก็จะแย่กันไปกว่านี้ ถ้าท่านไปแล้วทุกอย่างจะกลับสู่สภาพเดิม หรือดีกว่าเดิม

อ.เจิมศักดิ์: หมายถึงถ้าไม่มาชุมนุมเศรษฐกิจจะพังยิ่งกว่า ?

คุณปรีดา: แน่นอนเลยครับ

อ.เจิมศักดิ์: แล้วคุณไกร คิดอย่างไรเรื่องนี้

คุณไกร: พี่น้องครับ เศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ประเทศไทยเราได้นำมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองนั้น เป็นเพราะภาคเอกชน คุณทักษิณมีส่วนเพียงนิดหน่อย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เศรษฐกิจของเรากำลังใกล้จะแย่ เพราะเรามีผู้นำที่ไร้คุณธรรม และจรรยาบรรณ แล้วก็เป็นที่มาว่า ทำไมนักธุรกิจถึงต้องออกมา

อ.เจิมศักดิ์: อาจารย์ต่อตระกูลละครับ คิดอย่างไรในประเด็นที่เรามาชุมนุมที่นี่ แล้วมีคนเขาบอกว่าการชุมนุมทำให้เศรษฐกิจพังเนี่ยจริงหรือเปล่า

อ. ต่อตระกูล: พี่น้องครับ ผมอยู่แถวนี้ (แยกประทุมวัน) มาตั้งแต่ ม.1 ผมยังไม่เคยเห็นศูนย์การค้าสยามเนี่ย มีคนมากขนาดนี้ ผมว่า สามห้าง (พารากอน, สยามเซ็นเตอร์ และ สยามดิสคเวอรี่) คิดผิดที่ปิดครับ สยามแสควร์เป็นของจุฬา จุฬาเลยเปิดให้พวกเราเข้าไปกินได้ เข้าห้องน้ำได้ เศรษฐกิจไม่เปลี่ยนแปลง ผมเดินไปที่ถนน รถก็ว่างมากเลยครับ นี่เป็นตัวอย่างที่ว่า รถส่วนตัวหายหมด มีแต่รถประจำทาง สี่แยกราชประสงค์ ไม่ติดเลยครับ

อ.เจิมศักดิ์ : แสดงว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ถ้าทุกคนหันมาใช้รถประจำทาง แล้วก็รถขนส่งมวลชน จะทำให้บ้านเมืองของเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในอนาคต เห็นบอกว่าตอนเริ่มต้นนี่ ก็ Happy ดี ไม่ใช่หรือที่มีนักธุรกิจเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะว่ามีวิธีคิดคล้ายๆ กัน เป็นนักบริหารเหมือนๆ กัน คิดยังไงตรงนี้ครับ

คุณปรีดา: คือ เราต้องยอมรับ ว่าคุณทักษิณก็มีข้อดี คือคุณทักษิณทำงานเร็ว การลงทุนจากต่างประเทศ คุณทักษิณกุลีกุจอไปเอามา ทำงานเร็วกว่ารัฐบาลอื่นๆ อันนี้ชัดเจน โครงการโอท๊อป ที่ให้ชาวบ้านนำสินค้ามาขายในตลาดโลก นี่ผมก็เห็นว่าดี แต่ปัญหาคือ จุดดีเหล่านี้มีแค่เล็กๆ แต่จุดไม่ดีมีมากมาย ซึ่งเราจะคุยกันต่อไป

อ.เจิมศักดิ์ : ที่บอกว่ามันมีดีอยู่บ้างนี่ ผลประโยชน์มันไปตกกับใครกันครับ ความดีทั้งหลายแหล่นี่

คุณปรีดา: ที่ดีน้อยๆนี่ อาจจะไปสู่ชาวบ้านบ้าง แต่ได้ที่ไม่ดีมากๆ กับเศรษฐกิจโดยรวมนี่ ผมยกตัวอย่างจากการกระจายของเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ที่ผ่านมานี่ มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ในห้าปีนี้ มันไปดีอยู่ที่ตระกูลหลัก คือ ชินวัตร ดามาพงศ์ และอีก 10 ตระกูล คือมันมีการคำนวน โดยบริษัท Bloomberg ว่าคุณทักษิณและพวก ได้แก่ดามาพงศ์ และวงษ์สวัสดิ์ มีหุ้นที่อยู่ในมือจัดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นการกุมอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

คุณไกร: คุณทักษิณเอาธุรกิจกับการเมืองมาผสมกัน เพราะลืมไปข้อหนึ่ง ในการประกอบวิชาชีพทางธุรกิจ นอกจากคุณจะต้องเก่ง เก่งเรื่องการจัดการการเงิน เก่งเรื่องการบริหารแล้ว สิ่งที่ตามมาคู่กันคือ ต้องมีคุณธรรม ซึ่งทักษิณไม่มี

อ.เจิมศักดิ์ : อาจารย์ต่อตระกูลครับ ผมได้มีแถลงการณ์ของ กลุ่มวิศวกรเพื่อชาติ รวมตัวกันในบรรดาวิศวกรระดับใหญ่ๆ ทั้งนั้น รู้สึกว่าจะมีท่านอาจารย์เกษม จาติกวนิชย์ เป็นประธาน กลุ่มนี้เนี่ย ออกมาทำไม

อ.ต่อตระกูล: วิศวกร ไม่ใช่แค่สามร้อยคนที่ต้องออกมานะครับ แต่วิศวกร เราอยู่กับการใช้เงินของรัฐบาลเป็นแสนล้าน เราถามวิศวกรกี่คน กี่คน ว่าจะหาสักคนได้มั้ย ที่ไม่เคยถูกรีดไถ จะหาสักโครงการไหน ที่ไม่เคยถูกรีดไถ จะหาสักโครงการไหนมั้ย ที่ถูกรีดไถน้อย สักแค่ 5% ไม่มีเลยครับ มีแต่ 20% ถึง25% หรือ ถึง 30% ก็มี วิศวกร แต่ก่อนไม่เคยถูกรีดไถ ก็ถูกรีดไถ แล้วยังไม่ให้วิศวกรได้ทำหน้าที่ ว่าโครงการต่างๆนั้น ควรจะสร้างหรือไม่สร้าง ควรจะซื้อหรือไม่ซื้อ รัฐบาลนี้ มีผู้นำสูงสุดอยู่เพียงคนเดียว คือ (คนตะโกนบอก “ทักษิณ”) เราต้องให้มันออกไป คือว่า เขาใช้วิธีใหม่ครับ แว๊บเดียว คิดได้ แล้วก็บอกว่า เอาไปห้าพันล้าน ไปซื้อCTX มา เอาไปสี่แสนล้าน ไปสร้างรถไฟมา วิศวกรบอกว่า ต้องใช้เวลาสร้าง 20 ปี เขาก็บอกว่า สามปี คุณต้องทำให้ได้ โครงการเหล่านี้แทบจะไม่มีการคิดอะไรเลย ไม่มีการคิดที่ว่า ผลรายได้จะเป็นอย่างไร ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร จะพอเพียงหรือไม่ ลูกหลานเราอีก 20 ปีต้องเป็นหนี้กันไปตลอดชาติ

(มีต่อ)

อ.เจิมศักดิ์ หมายความว่าโครงการต่างๆ เหล่านี้ คุณทักษิณใช้วิธีสั่งการ ไม่ใช่ว่าจะให้วิศวกรผู้มีความรู้ มาศึกษาว่าควรทำหรือไม่ คุ้มทุนหรือไม่ ถ้าจะทำ ทำอย่างไร เสร็จเมื่อไหร่ แต่ทักษิณใช้สมองของตัวเองเท่านั้น ให้เอาแบบนี้ เสร็จในเวลากี่วัน แล้วก็ทำขนาดนี้เลย เสร็จแล้วพวกวิศวกรทั้งหลายก็ต้องไปสร้างใหัมัน fit กับที่นายก ต้องการ แบบนั้นหรือครับ

อ.ต่อตระกูล: ใช่ครับผม เขาคิดว่า แผ่นดินนี้ ไม่ใช่ของเราครับ แผ่นดินนี้ เขาคิดว่าเป็นของ ทักษิณ (คนตะโกนตามว่า “ออกไป”) เราจะไม่เหลือแผ่นดินครับ เพราะเขาจะเอาไปขายหมด

คุณไกร: พี่น้องครับ อาจารย์ต่อตระกูลเราเรื่องที่คุณทักษิณไปทำผิดโผ เดี๋ยวผมขออนุญาติเล่านิดนึงนะครับ ว่าสำนักงานนโยบายขนส่งและจราจร หรือ สนข. เขาได้วางแผนระบบ Mega Project สิบกว่าปีที่แล้ว วางไว้ล่วงหน้า รถไฟแต่ละเส้นที่ออกมา นั่นคือมันสมองของวิศวกรและการวางแผน ผมจะเล่านะครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก่อนการเลือกตั้ง ทักษิณ 2 เรามีรถไฟฟ้า 7 สายด้วยกัน พวกเราก็ไปซื้อบ้านที่บางใหญ่ ซื้อบ้านเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการที่อีก 30 นาที นั่งรถไฟฟ้า จากบางใหญ่มาใจกลางกรุงเทพมหานครได้ เขาสัญญากับพวกท่านนะครับพี่น้องครับ ติดข้างเสาไฟฟ้าว่า รถไฟฟ้าจะผ่านตรงนี้ ผู้พัฒนาที่ดิน เร่งไปพัฒนาประมาณ 600 โครงการ นนทบุรี ปทุมธานี เพียงหวังว่าเศรษฐกิจ หวังว่าประชาชนจะได้มาซื้อบ้านของเขา แต่มันไม่ใช่ พอกุมภา 48 (เดือนที่มีการเลือกตั้ง) ผ่านไป เขาก็ไปตัดเหลือ 5 สาย โดยตัดเส้นบางใหญ่ออก พวกเราก็โวยวาย เขาบอก เขาทำได้ ผมเป็นนายกซะอย่าง ยังไม่พอนะครับ พอถึงวันที่ 4 (ธันวาคม) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านบอกว่า พอเพียง จากห้าสาย พอสิบวันให้หลัง ประกาศเป็นสิบสายทันที นี่คือการโฆษณาชวนเชื่อ เขาก็ไปลากเส้นตามอำเภอใจ โดยไม่คิดว่า ประเทศเรามีงบประมาณ เท่าไหร่ บอกไปว่า 300 กิโลเมตร ถ้าคุณเลือกพรรคไทยรักไทย แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่า เขาโกหก ถ้าจะทำ 300 เมตรต้องใช้เวลาประมาณ 20 ปี Mega Project เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมาก ท่านต้องมีแนวคิดจากวิศวกร ในการวางแผนและนโยบาย มีเรื่องระเบียบการประมูล แต่เขาทำแบบนี้ เมื่อมกราที่ผ่านมา จากกระบวนการที่มีรายละเอียด ตั้งแต่บางซื่อไปบางใหญ่ มีแบบเรียบร้อย พร้อมที่จะสร้าง แต่งบประมาณไม่พอ เลยห้ากิโลก็พอ แต่อีกห้ากิโลมาเพิ่มให้อีก แล้วเดี๋ยวค่อยๆ ทำไป แต่เขาไม่ทำแบบนั้น เขาประกาศตูมทีเดียว 10 โครงการ แล้วเขาบอกว่า สามร้อยกิโลเมตรจะเป็นของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะเมื่อมกราที่ผ่านมาเขาได้ทำการเปิดประมูลแบบ International Bidding หรือการประมูลแบบสากล กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่เรียกว่า รีบรุก ลุกลน แล้วก็เร่งรีบ ทำไมหรือครับ เพราะเขาต้องการจะขาย โครงการนี้ให้เสร็จสิ้น เขามีขบวนการที่เรียกว่า การเปิดประมูลโดยใช้แบบสากลดังกล่าว ใครก็ได้ ยังไงก็ได้ ที่ไหนก็ได้ และเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะอะไรครับ? เขาก็บอกว่าให้ท่านส่งมาเลย จะเป็น Design Build หรือ จะทำไปสร้างไปก็ได้ จะทำแบบร่วมกับรัฐบาลก็ได้ จะทำแบบสัมปทาน BOT ก็ได้ (Build Operated แล้วก็ Transfer) หรือท่านจะทำอะไรก็ได้ หรือท่านจะส่งมา lotแรก มี Backhoe มาแปดคัน จะขอเพิ่มเป็น สิบคัน ก็ได้ ครั้งแรก ส่งวิศวกรมา สิบคน ครั้งที่สองส่งไปอีก 20 คน ก็ได้ พี่น้องต้องดูครับ ท่านจะสร้างบ้าน ท่านจะเป็นคนปลูกบ้าน ท่านมีสิทธิเลือก แล้วคนที่จะไปซื้อคือประเทศไทย โครงการทั้งหมดเป็นของเรา เราเป็นคนจ่ายภาษี เราจะต้องไปจ่ายเงินให้กับของที่เรายังไม่รู้ว่าคืออะไร เจ็บใจมั้ยครับแบบนี้ เขาทำต่อนะครับ คือพยายามจะเร่งทั้งหมดให้จบภายใน 6 ปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งหมดต้องประมาณ 20 ปี ถ้าท่านเป็นรัฐบาลที่ถูกต้อง ท่านทยอยทำ ทำไมครับ สายสีเขียวก็คือสะพานตากสิน เราต่อแค่ สองกิโลเมตรเท่านั้นเอง เพราะเขาขี้อิจฉา เขาอิจฉาว่า ชาวกรุงเทพมหานครจะได้รับความสะดวกสบาย จ่อมันแค่ถนนตากสินเอง ทำไมไม่ต่อถึงบางเสียที ในเมื่อเสานั้นพร้อมแล้ว เขาอิจฉาว่าทำไมคุณไม่ต่อจากอ่อนนุชไปจนจรดบางนา หรือศรีนครินทร์ ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีนโยบายปฎิบัติพลังงาน บอกว่าจะประหยัดพลังงาน แต่ให้พวกเราทนนั่งรถติด ถ้ารัฐบาลมีนโยบายประหยัดพลังงานจริง ท่านต้องรีบเร่งสร้างรถไฟฟ้า เราสนับสนุนแน่ แต่กระบวนการนั้นไม่ถูกต้อง

อ.เจิมศักดิ์ : คุณปรีดา ว่าอย่างไรครับ

คุณปรีดา: พี่น้องเคยได้ยินโครงการ Elite Card มั้ยครับ ที่เอาไปขายให้ชาวต่างชาติหัวละ 1 ล้านบาทน่ะ พังไปเป็นหลายพันล้านนะครับ วิธีการทำงานทำอย่างไรรู้มั้ยครับ คุณทักษิณเรียกผู้ว่าการท่องเที่ยวเข้ามา ผมจะขาย Card อันนี้ให้กับชาวต่างประเทศนี่ล่ะครับ 1 ล้านคน คนละ 1 ล้านบาท เพราะฉะนั้น น่าจะได้เงินทั้งหมด 1 ล้านล้านบาท มาเข้าประเทศไทย เงื่อนไขสำคัญของการที่จะขาย Card ใบนี้ก็คือ ใครที่มาซื้อ Card นี้จะมีสิทธิไปซื้อที่ดินได้ 10 ไร่ เราทุกคนก็รู้ๆ กันอยู่ว่าชาวต่างประเทศ ซื้อที่ดินไม่ได้ คุณทักษิณก็ไปสัญญากับเขาว่าจะให้ซื้อได้ 10 ไร่ ปรากฎว่าเวลาชาวต่างประเทศไปซื้อจริงๆ ขึ้นมา วิ่งเอา Card นี้ไปที่กรมที่ดิน กรมที่ดินบอกว่า ไม่รู้เรื่อง เพราะถึงมีคำประกาศออกมาก็จริง แต่กฎหมายยังไม่ได้เปลี่ยนเลย คิดดูสิครับว่า ทำงานใหญ่ขนาดนี้ รายละเอียดแบบนี้ ยังพลาดได้ เสร็จแล้วในที่สุดชาวต่างประเทศเขาก็ขาดความเชื่อถือ แห่กันเอา Card มาคืน ก็ขาดทุนไปเป็นหลายพันล้านบาท

อ.เจิมศักดิ์ : รู้สึกว่าจะติดหนี้ CNN อยู่ด้วยใช่มั้ย ที่ไปโฆษณาในนั้น
คุณปรีดา: ถูกต้องครับ นี่ละครับฝีมือการทำงานของรัฐบาลทักษิณที่ผ่านมา

อ.เจิมศักดิ์ อ้าวก็เห็นบอกว่าเขาเก่งเรื่องการตลาดไม่ใช่หรือ

คุณปรีดา: ก็คือการตลาดที่โฆษณาตัวเองไงครับ ผลงานยังไม่ทันออก วิ่งไปโฆษณาตัวเองแล้ว

อ.ต่อตระกูลครับ เร็วๆ นี้มันมี Mega Project หลายอันที่ทักษิณไปเชิญชวนคนต่างชาติ บอกว่าให้ช่วยๆ กัน คิดโครงการด้วย แล้วพอเสร็จแล้ว มาแลกเปลี่ยนสินค้าการเกษตรกัน ผมสงสัยว่าตอนทักษิณขึ้นมาเป็นนายกใหม่ๆ ใช้ความเป็นชาตินิยม IMF ไม่ใช่พ่อ ด่าทั้ง IMF ด่ารัฐบาลที่แล้ว ด่าไปร้อยแปด เรื่องต่างชาติ แล้วเขาไปให้คนต่างชาติช่วยทำไม อาจารย์คิดว่ามีคำอธิบายอย่างไรสำหรับเรื่องนี้

อ.ต่อตระกูล: ประเทศไทยหมดตัวครับ คือคำอธิบายง่ายๆ เราไม่มีเงินจะสร้างอะไรแล้ว แต่ดันไปสัญญากันไว้ ว่าจะสร้างให้คนกรุงเทพ กระทรวงการคลังบอกว่าจะหาเงินได้ แต่หาไม่ได้ ก็เลยต้องไปเชิญต่างประเทศมา บอกให้เอาเงินมาลงทุนด้วย ชาวต่างชาติก็บอกว่า ไม่เชื่อประเทศไทยหรอก ใครไม่มีเส้นประเทศไหนก็จะไม่ได้ หลอกเขามาหลายหนแล้ว คราวนี้ก็เลยคิดว่า ถ้ายอมง้อให้ชาวต่างประเทศเขา เขียนข้อเสนออะไรก็ได้ เสนอมา ไม่ต้องมี ข้อกำหนด ในโลกนี้ไม่เคยมีใครทำแบบนี้ครับ ประเทศที่ยากจนแค่ไหน เขาก็ไม่ทำแบบนี้ครับ มีประเทศไทยที่ถอดเสื้อผ้าให้เขาดูหมด เพราะว่าหมดเนื้อหมดตัวแล้ว ไปกราบไหว้ขอให้เขาเข้ามา ประธานาธิบดีฝรั่งเศสมาประเทศไทย แปลกใจมาก ว่าการ์ตูนของหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสเขาบอกว่า ไหนบอกว่าประเทศไทยรักชาติ สมัยที่เข้ามาแถวนี้ ประเทศไทยส่งคนไปรบ สมัยโน้น สงครามอินโดจีน ตายไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มาวันนี้เขาเขียนการ์ตูนเป็นรูปคุณทักษิณ บอกว่าจะซื้อประเทศไทยก็ได้ ขอให้ฝรั่งเศสมา(พยายามหาการ์ตูนที่ว่านี้แล้ว หาไม่เจอครับ ใครหาเจอบอกด้วย) น่าอับอายขายหน้ามาก เรายอมให้คนแบบนี้เป็นตัวแทนของเราได้อย่างไร

คุณปรีดา: ขอต่อนิดหนึ่ง พี่น้อง ไหนๆ ก็พูดเรื่อง Mega Project แล้ว วิธีคิดของทักษิณเนี่ย ไม่เหมือนชาวบ้าน คนไทยทำได้ แต่ไม่ยอม คนไทยทำได้แต่ข้าไม่ให้ เพราะเขาไปคิดจำนวนยอดเงินครับ ระบบชลประทานคือระบบเขื่อน ทุกอย่างมีฝาย การสร้างอ่างเก็บน้ำ เขาคิดว่ามูลค่าอะไรก็ตามที่รวมๆ กันแล้ว พันล้าน นั่นคือ Mega Project แล้วเขาก็ให้ประมูลระบบสากล ก็คือให้ฝรั่งทำ ให้จีนให้ญี่ปุ่นทำ คนไทยเรา เรารู้เรื่องชลประทานดีกว่าใคร แต่เขาไม่ให้เราทำ เขากลับไปให้ต่างชาติทำ อย่างนี้เรียกว่าใช้ได้มั้ยครับ

คุณไกร: เมื่อห้าปีก่อนที่ รัฐบาลทักษิณเข้ามาใหม่ๆ จำได้หรือไม่ว่า คุณทักษิณบอกว่าเราจะพึ่งตัวเอง ทักษิณโนมิกส์ คือการพึ่งกำลังของรากหญ้า พึ่งกำลังของคนของประเทศเรา เราจะสร้างประเทศของเราเอง เราไม่ care ฝรั่ง UNไม่ใช่พอกู จำได้มั้ยครับ เสร็จแล้วเป็นไงครับ AIS ขาย ขายอะไรไปบ้าง ขาย ITV ขายดาวเทียม ให้ Singapore ไปเรียบร้อย นี่คือ ห้าปีให้หลัง

อ.เจิมศักดิ์: ขอถามทั้งสามท่านต่อว่า มีลูกกันหมดแล้วใช่มั้ยครับ (ทุกคนตอบว่ามีหมดแล้ว มีลูกคนละ 1 คน ถึง 2 คน คนละประมาณ 20 กว่าปี) แต่ละท่านมีลูกขนาดนี้ เวลาตัดสินใจในกิจการใหญ่ๆ คุณตัดสินใจเองหรือให้ลูกตัดสินใจ

คุณปรีดา: ลูกผม ผมยังมีปัญหาว่าจะให้มันออกจากบ้านไปเผชิญชีวิต คิดอะไรไม่ค่อยจะเป็นเลย อยากให้มันไปหาประสบการณ์ข้างนอกบ้าง ไม่มีทางหรอกครับ เด็กอายุแค่นี้ มันจะไปตัดสินใจอะไรใหญ่ๆ ได้อย่างไร

อ.เจิมศักดิ์: แล้วอย่างนั้นเชื่อหรือไม่ว่าทักษิณ บอกว่าเขาไม่รู้เรื่องเลย เจ็ดหมื่นสามพันล้าน ลูกๆเขาทำเอง คุณปรีดาเชื่อหรือไม่

คุณปรีดา: ตอนนี้คุณ สุวรรณ วลัยเสถียร ออกมาพูดว่า ลูกๆ ของเขาทำกันเองนี่ ผมหัวเราะกันเกือบตกเก้าอี้แน่ะ (คนดูเฮ ดังมาก)

อ.เจิมศักดิ์: ทำไมถึงหัวเราะละครับ

คุณปรีดา: มันเป็นคำพูดของบุรุษที่ผมนับถือ อย่างน้อยที่สุดคือเคยนับถือ แต่มันเป็นคำพูดที่ไร้เดียงสา และคิดว่าคนไทยมันโง่เหมือนลา

อ.เจิมศักดิ์ : คุณไกรละ เชื่อมั้ยว่า ทักษิณบอกไม่รู้เรื่องเลย ขายเจ็ดหมื่น สามพันล้าน


คุณไกร: หน้าเขาเป็นไงละครับพี่น้อง (คนตะโกนว่าเหลี่ยม) เชื่อได้มั้ยครับ (คนตะโกนว่า ไม่ได้)

อ.เจิมศักดิ์: อาจารย์ต่อตระกูลล่ะ เชื่อหรือเปล่าครับ

อ. ต่อตระกูล: ไม่เชื่อเด็ดขาดครับ

อ.เจิมศักดิ์: ทั้งสามท่านี้ เคยซื้อหุ้นหรือเปล่าครับ

คุณปรีดา และ คุณไกรบอก ว่า เคย แต่อาจารย์ต่อตระกูลบอกว่า ไม่เชื่อแล้ว ตลาดหุ้นไทย

อ.เจิมศักดิ์: ถามว่าเวลาที่เล่นหุ้น รู้สึกอย่างไร

คุณปรีดา: คือประการแรก ต้องดูว่ามันมี ทักษิณ Premium หรือเปล่า นะครับ ถ้ามีทักษิณ Premium นี่ ถ้าเราจับทางได้ ไปตามเขา มีสิทธิได้ คือ พูดง่ายก็คือ ถูกปั่นกันแหลกลาญด้วยกำลังเงิน และอำนาจที่มีอยู่ในมือของคน กลุ่มนี้ อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า 40% ของตลาดหุ้น อยู่ในมือ ของ คุณทักษิณและครอบครัว

อ.เจิมศักดิ์ ตกลงว่าไม่ค่อยจะกล้าเล่นตลาดหุ้นเท่าไหร่

คุณปรีดา: ก็แบบว่าระวังมากนะครับ ซื้อนิดๆ หน่อย

คุณไกร: ผมว่าคุณทักษิณ ทำให้ตลาดหุ้นของเราไม่มีความเป็นกลาง เขาเอารัฐมนตรีกระทรวงการคลังมาดูแลทั้งตลาดเงินและตลาดทุน ใช้ได้หรือไม่ครับ คนเดียว สามารถจะมีสองหัว สามารถจะบอกว่า ข้างในเป็นอย่างไร เพราะว่าเขาดูแลทั้งตลาดทุน และตลาดเงิน (ธนาคาร) เพราะฉะนั้น ความไม่โปร่งใสตรงนี้ พวกเราก็ต้องยอมรับว่าคือ แมงเม่าดีๆ นี่เอง ท่านจะต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้นที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณทั้งหมด

อ.เจิมศักดิ์: ฟังอย่างนี้แล้ว ต่างชาติเขามองทักษิณ แบบว่า ตลาดหุ้นก็ดี เศรษฐกิจของประเทศไทยก็ดี การบริหารธุรกิจและเศรษฐกิจเนี่ย ต่างชาติ เขามองอย่างไร

คุณปรีดา: คือเราไม่ต้องดูอะไรมากนะครับ ตั้งแต่คุณทักษิณเข้ามาบริหารประเทศเนี่ย ความเชื่อถือของต่างชาติที่เขามี สถาบันที่เรียกว่าPERC เนี่ย เขาให้ความเสี่ยงในการลงทุนของประเทศไทย ในเรื่อง คอรัปชั่น ตกลงมาทุกๆ ปี ถ้าผมจำไม่ผิด ปีก่อนเนี่ย เราตกจาก 32 มาเป็น 34 แล้วสำหรับคนที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อนๆ ผมที่ผมทำการค้ากับเขาอยู่เนี่ย เวลาเจอหน้าเขาก็ถามว่า ไอ้เจ็ดหมื่นสามพันล้านที่เขาขายออกไปเนี่ย แล้วพวกคุณไม่ได้สักสลึงนึงเลยเนี่ย คุณไม่อายกับความเป็นคนไทยบ้างหรือ ว่าคุณในฐานะที่เป็นคนไทยเนี่ย ยอมให้บุคคลซึ่งเป็นระดับสูงสุดของประเทศแบบนี้ มาทำกับคุณได้ คุณไม่ละอาย กับความเป็นไทยบ้างหรือ คิดดูสิครับ นี่ล่ะเป็นสิ่งที่ทำให้ ผมเนี่ย ทนไม่ไหว แล้วก็ออกมาเผชิญหน้ากับพวกคุณทักษิณ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม ในเรื่องที่เขาจะมากลั่นแกล้งธุรกิจผม แต่ตอนนี้ สรรพากร ก็มาแล้ว ที่บริษัทผม วันนี้หมายของกรมแรงงานก็เข้ามาแล้ว เขียนมา วันที่ 29 คือวันนี้ มาถึงมือผม 29 กลางวัน สั่งให้ผม ไปรายงานตัวที่กรมแรงงาน พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า จากวันที่ จากวันที่ออก เวลาที่เขียน จากวันที่ผมต้องไปปรากฎตัว ยังไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยครับ อันนี้เป็นหลักปฎิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ ใครสั่งมา

อ.เจิมศักดิ์ : น่าเห็นใจนะครับ

คุณปรีดา: ผมก็เห็นใจนะครับ ผมทราบนะครับ ว่าในกรมแรงงานก็มีข้าราชการที่ดี ทั้งหลายก็มีมากมาย ขอให้พวกเราปรบมือให้ข้าราชการดีๆ หน่อย(คนปรบมือ) แต่ว่าไอ้พวกที่ไม่ดี ซึ่งผมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะมีเท่าไหร่ ที่ผมจะต้องไปเจอเขา แล้วยังไงผมจะกลับมาฟ้องท่าน ไอ้พวกที่ไม่ดีเราเรียกว่าอะไรนะครับ (คนด่ามากมายด้วยคำหลายๆ แบบ)

คุณไกร: พี่น้องถ้ามี internet ลองไปสำรวจโลกดูนะครับ ลองเปิดดู Chicago Tribune, Washington Post, New York Times เขาจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่น้องกำลังประท้วงนายก นายกทักษิณไม่มีจรรยาบรรณ และจริยธรรมในการปกครอง เขาบอกด้วยนะครับ ว่าผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วยังแถมเอาการเมืองมายุ่งกับธุรกิจ แล้วเขาก็บอกต่อไปว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องแล้ว อยุ่ในกระบวนการระบอบประชาธิปไตย ผมขออนุญาติเรียกพี่น้องว่า พวกเราไม่ใช่ม๊อบ แต่พวกเราคือ March เ็ป็นน้องสาวของม๊อบ (การประท้วงแบบ Large Scale ในสหรัฐอเมริกา จะเรียกเป็น March เช่น Million Man March ที่เป็นการประท้วงสิทธิของคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา – ดร.พร) พวกเราสงบสุข ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า Violence หรือความรุนแรง เพราะฉะนั้นปรบมือให้ตัวเองหน่อยครับ เราไม่มีความรุนแรง เรามีความสงบสุข

อ.เจิมศักดิ์: คุณทักษิณเขาบอกตลอดเวลาว่า เขาไ่ม่เคยยุ่งเลย เรื่องหุ้น เื่รื่องธุรกิจ เขาวางมือเรียบร้อยแล้ว เชื่อหรือเปล่าครับอาจารย์

อ.ต่อตระกูล: ไม่เชื่อเด็ดขาดครับ คุณพานทองแท้ แกไม่รู้เรื่องทำธุรกิจอะไรหรอก แกอยู่แถวสยามแสควร์เนี่ยล่ะ ไม่รู้เรื่อง เจ็ดหมื่นล้านของตัวแกหรอก

อ.เจิมศักดิ์: วันก่อนนี่ ได้ฟังหรือเปล่า ผมได้สัมภาษณ์ท่านทูต กษิตม์ ภิรมย์ ท่านบอกว่าสมัยเป็นทูตอยู่ที่ญี่ปุ่น คุณทักษิณกำลังนั่งรถจะไปพบนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาในรถ แล้วก็สั่งซื้อหุ้นที่ประเทศไทย คุณปรีดาวันนั้นได้ฟังหรือเปล่า

คุณปรีดา: ครับ ผมฟังอยู่ แล้วผมก็คิดว่านี่คือใบเสร็จที่แจ้งโทษได้อย่างชัดเจน

คุณไกร: วันนั้นที่เขาบอกกันว่า รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือหุ้นไ่ม่ได้ แต่ดันไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งซื้อหุ้น ของผมนี่มี ยังทีเด็ดกว่า ปีที่แล้วนี่ มาที่บริษัทผม ไม่ใชุ้คุณทักษิณนะ ผู้ลงทุนกลุ่มนึงไปที่บริษัท AIS แล้วผู้ลงทุนกลุ่มนี้ก็ซื้อหุ้นที่บริษัทผมด้วย ก็มีนัดกันว่าจะมาที่บริษัทผม บ่ายสองโมง หลังจากไปเยี่ยมบริษัท AIS แล้ว แต่หลังจากนั้นมีโทรศัพท์มาหาผมว่า ขอยกเลิกมาเยี่ยมบริษัทผม เพราะบอกว่า พอคุณทักษิณรู้ ก็อยากพบผม อยากจะมาอธิบายเรื่องประเทศ เรื่องหุ้นให้คนลงทุนพวกนี้ ทั้งๆ ที่ดำรงตำแหน่งนายกอยู่

อ.เจิมศักดิ์: พี่น้องครับ รัฐธรรมนูญมาตรา 209 เขียนไว้ชัดเจนว่า บุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้น หรือกิจการของบริษัทไม่ได้ เพราะจะมีผลประโยชน์ มีส่วนได้ส่วนเสีย ฟังอย่างนี้แล้ว ท่านทูตกษิตม์ ก็ดี ทั้งคุึณปรีดา เตียสุวรรณ ให้เป็นพยานหลักฐานเบื้องต้นชัดเจน พี่น้องยังคิดว่า นายกทักษิณเป็นรัฐมนตรีของประเทศไทยอยู่อีกหรือเปล่า (คนตะโกนร้องบอกว่าไม่เป็น)

อ.เจิมศักดิ์: คุณปรีดาพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า การที่ทักษิณบริหารธุรกิจ มันทำให้คนประมาณ 10 ตระกูลร่าร่วยขึ้นแต่คนอื่นๆ แย่ลง แต่เขาก็ให้คนจนไม่ใช่หรือ เขาเอาเงิน 7 หมื่นล้านไปให้กองทุนหมู่บ้าน หมู้บ้านละล้าน ธนาคารออมสินเอาไปปล่อย อาจารย์ต่อตระกูลก็เป็นกรรมการอยู่ด้วยนี่ครับ ผลมันเป็นอย่างไร

อ.ต่อตระกูล: ผมเป็นกรรมการนะครับ ตอนที่ทักษิณเจอท่านปลัดกระทรวงการคลัง ก็ประกาศว่าทำไมมันได้ง่ายขนาดนั้น เอามันแบบนี้ละทุบกระปุกออมสินเด็กเลย ได้มา 7 หมื่นล้าน แล้วเขาอนุมัติอย่างไรรู้มั้ยครับ เขาส่ง fax มาให้กรรมการบอร์ดทุกคน ให้เซ้นไปใน fax ว่า ให้รัฐบาลกู้ ผมไม่เคยรู้เลยว่า เงื่อนไขคืออะไรบ้าง เห็นมีแต่รัฐบาลจะจ่ายเฉพาะดอก แต่เงินต้นจะเป็นยังไงไม่มีใครทราบ

อ.เจิมศักดิ์: โอ้โห รัฐบาลชุดนี้นี่เขาใช้วิธีทำงานแบบนี้เองหรือครับ แทนที่จะให้กรรมการออมสินประชุมกัน เพื่อจะได้ถกเถียงกันว่าควรจะให้กู้หรือไม่ กับเงินเจ็ดหมื่นล้านนี่ กลับใช้วิธีส่ง fax ไป ให้เซ็น เออ นี่เขาทำงานกันแบบนี้นะ

อ.ต่อตระกูล: ครับ แล้วผมก็โดนปลด เพราะผมไม่เซ็น (คนปรบมือ)

อ.เจิมศักดิ์: พอไม่เซ็นแล้วผลเป็นยังไงละครับ

อ.ต่อตระกูล: เขาก็เอาตำรวจไปแทนผมครับ

อ.เจิมศักดิ์: ตกลงบ้านเรานี่ใช้ตำรวจปกครองละกันนะครับ เออ คุณปรีดา ตกลงเรื่องกองทุนหมู่บ้านนี่ ที่คุณติดตามอยู่นี่ ผลมันออกมาใช้ได้มั้ยครับ

คุณปรีดา: ผมนี่เป็นคนที่มีอคติกับกองทุนหมู่บ้านมาตั้งแต่แรก ผมก็ดูๆ อยู่ แต่พอผมทราบว่าท่านจะเอาจริง เป็นหมู่บ้านละล้านนี่ ผมตกใจมากๆ ก็เลยพูดไว้เลยว่า นโยบายนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ เพราะจะทำให้คนเสียนิสัย วันๆ ไม่ทำอะไร รอเมื่่อไหร่ จะได้เงินอย่างเดียว ผมได้ทำงานเรื่องนี้มา 4-5 ปีก่อนที่รัฐบาลไทยจะเข้ามา ผมไปช่วยจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ของหมู่บ้าน ทำงานกับ ธกส. ที่จะไปสร้างการออมทรัพย์ในแต่ละหมู่บ้านให้เกิดขึ้นมา โดย ในสิบปีหลังนี้ ธกส. ก็ทำได้ดี ไปสร้างสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ถึง หมื่นกว่าหมู่บ้าน สหกรณ์ออมทรัพย์นี้หมายถึงอะไร ก็หมายถึง ธกส.เดินไปในหมู่บ้าน ก็จะไปหาคนที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้านนั้นๆ มารวมกันสัก 5-6 คน โดยส่วนใหญ่ก็มีผู้ใหญ่บ้านอยู่ด้วย คนเหล่านั่้นก็จะรวบรวมเงินจากชาวบ้าน ไปฝากธกส. พอได้ดอกเบี้ยก็มาแจกคืนให้ชาวบ้าน ในขณะเดียวกันก็จะให้ชาวบ้านมากู้ด้วย โดยมีโครงสร้างคล้ายๆ กันแล้วมันออกมาดี เพราะเป็นคนที่ชาวบ้านเชื่อใจ ก็เหมือนธนาคารย่อยๆ นี่เอง เพราะฉะนั้น ข้อเสนอตอนนั้นที่เราพยายามจะ กราบเรียนรัฐบาลทักษิณไปนั้นว่าไอ้เงินที่จะไปลง 1 ล้านบาทต่อหมู่บ้าน มันควรจะไปลงที่สหกรณ์ออมทรัพย์ มันจึงจะถุกต้อง แล้วก็บอกว่า ถ้าทำแบบนี้แล้ว มันจะเกิดความอิจฉากันขึ้นมาเอง แล้วเขาก็จะไปตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ตาม แล้วพอเขาตั้งเป็นระบบแล้ว จึงเอาเงินไปให้เขา เห็นมั้ยครับ นี่จะเป็นวิธีที่สร้างงานและผลิตผลอย่างแท้จริง แต่ปรากฎว่าเอาเงิน 7 หมื่นล้านไปลงให้ทุกหมู่บ้านเลยเนี่ย มันเลยทำให้เกิดองค์กรที่ มาใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ท้ายที่สุด นิด้า หรือแม้แต่ สถาบันพระปกเกล้า ก็ได้แสดงออกมาชัดเจนว่าเงินที่ออกมานี่ มันไม่ได้ไปสร้างงานอะไรเลย มันมีแต่ไปสร้างหนี้ ที่เกิดมาจากการบริโภค โทรศัพท์มือถือ มอเตอร์ไซค์ ใช้ไป แล้วก็ไม่ได้อะไรคืนมา และมันก็กลายเป็นหนี้ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตร พี่น้องต้องจำไว้ว่า ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรเป็นธนาคารที่ไม่สามารถที่จะถูกตรวจสอบได้ เพราะอะไรทราบมั้ยครับ เพราะสองธนาคารนี้ไม่ได้อยู่ในกระบวนการชอง Bank ชาติ เพราะฉะนั้นนักการเมืองจะทำอะไรกับธนาคารสองธนาคารนี้ก็ทำได้ ธนาคารออมสินที่ฝากเงินของลูกเราเนี่ย เขาทำได้หมด แล้วไม่ต้องรายงานเลย เมื่อเช้านี้หนังสือพิมพ์ลงแล้วว่า รัฐบาลได้ผ่อนการชำระเงินคืินธนาคารออมสิน 5 หมื่นล้านบาท รัฐบาลไม่มีเงินแล้ว แล้วช่วงที่ผ่านมาที่ใช้เงินไปหาเสียง เข้าไปสู่ระบบประชานิยม หาเสียงเข้าตัวโดยไม่สนว่าเงินจะไปอยู่ที่ไหนบ้าง ในที่สุดแล้ว มันก็พิสูจน์ ออกมาว่าเราถังแตกขนาดไหน

อ.เจิมศักดิ์ คุณปรีดาบอกว่ารัฐบาลถังแตกเนี่ย ขอถามที่อยู่ในวงการก่อสร้างดีกว่า คนที่อยู่ในวงการก่อสร้างจะมี sense ที่ดีในเรื่องนี้แน่ๆ คิดว่าไงครับ คุณไกร อาจารย์ต่อตระกูล

คุณไกร: รัฐบาลนี้หมดเงินแล้วนะครับ ถามพี่น้องนิดนึงนะครับ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตั้งแต่รัฐบาลชุดนายกชวน นายกทักษิณทำอะไรให้พวกเราบ้าง มีมั้ยครับ ไม่มีเลยนะครับ เพราะเขากั๊กไว้ ไม่เคยสร้างระบบรถขนส่งมวลชนอะไรเลย ยกเว้นสร้างให้กทม สองกิโลเมตร น่าอายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่มีเงินไงครับ เขาถึงเอา mega project ไปขายให้ต่างชาติ เท่านั้นไม่พอ พี่ไทยได้อะไรครับ เศษก้างปลา เพราะว่า เขาออกแบบจากเมืองนอก ออกแบบจาก ฝรั่งเศส ญี่ปุ่นเสร็จ เราไม่ได้อะไร เขาก็สร้างระบบการตลาด บอกมาว่าจะทำทีเดียวสิบเส้น แล้วเป็นไง ทำไม่ได้ คุณเสนอมาเลย เปลี่ยนเส้นทางได้ เปลี่ยนสถานีได้ เปลี่ยนอะไรก็ได้ โดยที่เราเป็นเจ้าของประเทศแท้ๆ ตอนนี้เงินรัฐบาล เข้าใจว่ารัฐบาลกระทรวงการคลังคงเห็นแล้วนะครับ ประมาณ 4 หมื่นล้าน ถ้าหักส่วนต่างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย ส่วนต่างที่ต้องจ่ายให้ผู้ลงทุน ในฐานะของการกระจายเป็นบริษัทมหาชน รัฐบาลอาจจะเหลือประมาณ 3 หมื่นล้าน พอมั้ยครับ เงินเดือนข้าราชการปีนี้ เพราะฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าจากนี้ไป โครงการของรัฐขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นมาด้วยมือของรัฐบาลชุดนี้

อ.เจิมศักดิ์: ผมมีอีก 2-3 คำถาม อ. ต่อตระกูลช่วยประเมิณให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยว่า การที่จะไล่ทักษิณเนี่ย พี่น้องลงทุนกันมากมาย แต่ละคนเสียงานการ อดนอน เสียค่ารถมา ประเมิณแล้ว เป็นการลงทุนมหาศาลที่จะขับไล่ทักษิณ ถามว่าการลงทุนพวกนี้คุ้มค่ามั้ย

อ.ต่อตระกูล: คุ้มค่า หาค่าไม่ได้ครับ ถ้าให้ทักษิณอยู่ต่อไปอีก 3 ปี เขาจะไม่อยู่สามปี เขาต้องอยู่อีก 20 ปี ถึงตอนนั้นประเทศไทย จะเป็นอาร์เจนตินา และจะไม่มีทางกลับคืนมาได้อีกแล้ว นั่นคือเราจะไม่เหลืออะไรเลย จุฬาก็ต้องเอาไปขาย ไปทำ resort

อ.เจิมศักดิ์: คิดว่าคุ้มค่ามั้ยครับ คุณปรีดา

คุณปรีดา: อาจารย์ครับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราที่ทำให้เราต้องออกมา แสดงพลังกับนักการเมืองที่ฉ้อฉลเนี่ย มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำตลอดไปครับ ผมพนันได้เลยว่าอีก 15-20 ปี จากนี้ไป พี้น้องก็ต้องมารวมตัวเพิ่อ ล้างระบบการเมือง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ครั้งสุดท้ายเราทำเมื่อ พฤษภา 35 ก่อนหน้านั้น ก็ปี 1973 มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ชั่วราย ไม่ได้เป็นสิ่งที่ร้าวราน หรือก้าวร้าวอะไร มันเป็นวิธีที่เราในฐานะประชาชน ต้องมีสิทธิ์มาล้างระบบการเมืองตลอดเวลา

อ.เจิมศักดิ์: ถ้าการลงทุนพวกนี้คุ้ม เราก็ต้องทำต่อไป ทีนี้พอทักษิณเขาไม่ได้เป็นนายกแล้วนี่ นักธุรกิจสามคนนี้คิดว่าเขาจะไปประกอบอาชีพอะไร

คุณไกร: ขออนุญาตินะครับ ที่เดียวที่คุณทักษิณควรจะไปคือ British Virgin Island ครับ (คนปรบมือ) ที่นั่นสะอาด น้ำใส หาดทรายสีขาว สมควรที่นายกจะไปอย่างมาก

อ.ต่อตระกูล: เพื่อนผมมาจากประเทศลาวเมื่อเช้านี้ เขาบอกว่าใ้ห้บอกนายกทักษิณว่า ประเทศลาวก็ไม่เอาเขา เขาบอกว่าเขารู้มานานแล้วว่านายกคนนี้ น่ากลัวมาก ทำไมคนไทยไม่รู้ ถ้าคนไทย 60 ล้านคน ยังปล่อยคนแบบนี้ให้อยู่เป็นนายกได้ ถ้าทักษิณไปอยู่ที่ลาว คนไม่เกิน 10 ล้าน พริบตาเดียว เขาซื้อหมดประเทศได้เลย

อ.เจิมศักดิ์: อ้อ ลาวกลัวเพราะมีคนไม่กี่ล้านคน แล้วสิงคโปร๋ไม่กี่แสนคนเนี่ย ทำไมทักษิณเสียรู้ Singapore ได้ครับ

อ.ต่อตระกูล: พูดไม่ได้ เพราะเห็นบอกว่า ทักษิณเป็นหนี้สิงคโปร์อยู่นานแล้ว หลายสิบปีแล้ว

คุณปรีดา: คุณทักษิณรักใน อดีตนายก ลีกวนยูมาก และก็รักท่านมหาธีย์ มากน่าจะไปทำอะไรแถวๆนั้ไนได้ด้วยเงินของท่าน อีกอย่าง คฤหาสน์ ที่ใหญ่โตเป็นหลายร้อยล้านที่ London ก็น่าจะเป็นที่ๆ ท่านไปเสวยสุขได้อย่างสบาย

อ.เจิมศักดิ์: แล้วถ้าท่านทักษิณเป็นนายกต่อไป นักธุรกิจอย่างพวกท่านจะไปทำอะไร

คุณปรีดา: ผมไปขายเต้าฮวยครับ

อ.เจิมศักดิ์: แล้วคุณไกรล่ะ

คุณไกร: พี่น้องครับ นายกทักษิณมีอำนาจมืดอยู่ในมือ เขาเล่นงานนักธุรกิจคนใดก็ตามที่มาต่อต้านเขา สำหรับในสมาคมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยเราแบ่งนักธุรกิจออกเป็นสามประเภท 1. นักธุรกิจที่ทำให้เขา เอื้อประโยขน์ให้เขา และได้ผลประโยชน์จากเขา เช่นพวกค้าไก่ – ประเภทสอง นี่ เอ็งอย่ามายุ่งกับข้า ข้าขออยู่คนเดียว อย่ามายุ่งกับผม หากินอย่างเดียว – และประเภทที่สาม ก็คือพวกผม แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่กล้ามาขึ้น พวกผมก็ออกมาก่อน พี่น้องครับ เราไปสง่างามบนถนนราชดำเนิน มากกว่าครึ่งมาจากนักธุรกิจที่ไม่ประสงค์จะออกนาม ธุรกิจเขาเดือดร้อน เพราะทุกครั้งที่เขายุ่งเกี่ยวกับการเมือง วันรุ่งขึ้นสรรพากรมาหาเขาทันที

อ.เจิมศักดิ์: แล้วสรรพากรไปฟังเขาำทำไมล่ะ

คุณไกร: เขาเช็คบิลครับ เขาเช็คบิลทุกๆ อย่าง พี่น้องครับ นักธุรกิจเป็นผู้เสียภาษีให้กับประเทศชาติ ทุกๆ วันที่ 7 วันที่ 15 วันที่ 30 วันที่ 7 เราหัก ณ ที่จ่าย วันที่ 15 เราเสีย VAT วันทีี 30 Operate Tax ครึี่่งปี เราต้องนำส่ง สิ้นปี เราต้องนำส่ง สิ้นปี เสียตลอด ทุกๆ อาทิตย์ เราต้องจ้างพนักงานประจำ เขามีกระบวนการข่มขู่ สรรพากรนี่ ถ้าท่านนำ VAT เกิน กว่าที่เราควรจะนำส่ง ท่านอย่าหวังจะได้คืน ไม่งั้นเขาก็จะขอดูบัญชีหน่อย เขาก็จะบังคับให้เราจ่ายเกิน ไม่สามารถที่จะเรียกร้องเอาคืนได้ เขาใช้กรมสรรพากรเป็นอาวุธฆ่านักธุรกิจ ถ้าใครกระด้างกระเดื่อง แสดงตัวเป็นปฎิปักษ์ เขาจะเล่นงานโดยกรมสรรพากร การที่เรามีม๊อบเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีการแถลงข่าว ณ สำนักงา่นแห่งหนึ่ง สำนักงานนั้น หลังจากที่เราแถลงข่าวแล้ว วันรุ่นขึ้น สรรพากรเล่นงานทันที หัวใจของนักธุรกิจ เราต้องการมีกำไร อีกด้านหนึ่ง เราต้องการมีคุณธรรมกับลุกค้า แต่ท่านทักษิณไม่ ท่านทักษิณไม่สนใจ ไม่มีคุณธรรม จะทำซะอย่าง เพราะฉะนั้น จากนี้ไป ผมเองก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น

อ.เจิมศักดิ์: อาจารย์ต่อตระกูลละครับ จะไปทำอะไรดี

อ.ต่อตระกูล: ตอนแรกว่าจะไปขายโรตีครับ แต่ก็มีอุปสรรคเพราะร้าน โรตีบอย ครอบครัวทักษิณก็จะมาซื้อกิจการ ทำอะไรเขาก็จะมายึดไปหมด รุ่นลูกหลานท่านไม่ต้องเรียนหนังสือหรอกครับ เรียนไปก็ไม่มีงานทำ เพราะว่าจะเหมือนกับ ซูฮาร์โต และครอบครัว ในอินโดนีเซีย ที่กิจการทั้งประเทศ อยู่ในมือเขาหมด แล้วคนอื่นไม่ต้องทำ ไม่ต้องเรียนอะไร ไม่ต้องเข้าจุฬา ไม่ต้องเข้าเตรียมอุดม ไม่ต้องเข้าสาธิต อยู่บ้านเฉยๆ แล้วเป็นกรรมกรอย่างเดียว

อ.เจิมศักดิ์: คำถามสุดท้ายสำหรับทุกๆ ท่าน นะครับ อยากจะถามว่า ท่านอยากจะพูดอะไรกับ บรรดานักธุรกิจบ้าง ไหนท่านใดเป็นนักธุรกิจช่วยยกมือหรือชูธงหน่อยครับ (คนเฮ) เออ เยอะเหมือนกันนะครับ

คุณปรีดา: พวกผมสามคนออกมานี่ ถ้าไม่สามารถขจัดระบอบทักษิณได้ คุณต่อตระกูลจะไปขายโรตี ผมก็ไปขายเต้าฮวย แล้วคุณทำอะไรนะ

คุณไกร: ผมอยู่เฉยๆ ล่ะ

คุณปรีดา: พวกเราหมดอนาคตครับ แต่ผมเรียนได้เลยว่า ถ้าพวกเราทั้งหลาย หรือพวกท่านทั้งหลายไม่ออกมา ประเทศนี้จะไม่มีอะไรเหลือให้เราทำอะไรกับมันได้ เสร็จแล้วเราก็ต้องมานั่งเสียใจว่า เรามีโอกาสที่จะทำลายระบอบนี้ แต่เราไม่ได้ทำอะไรกับมัน อันนั้นจะเป็นสิ่งที่จะอยู่ในใจเราอย่างเศร้าหมองไปตลอดชาติ ตอนนี้พวกผมที่นี่มีความสุขที่อย่างน้อยได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ เพราะฉะนั้น พี่น้องนักธุรกิจครับ ถึงเวลาแล้วครับ ก่อนที่ชาติจะล่มสลาย ก่อนที่ชาติเราจะตกไปเป็นแค่ของ สิบตระกูล ก่อนที่ชาติ จะตกไปเป็นของสิงคโปร์ ของฝรั่งมังค่า ของคนอื่นๆ เราต้องรวมพลังทำลายระบบนี้ออกไปให้ได้ และวิธีทำลายก็คือ อย่าให้มีการเลือกตั้งวันที่สอง เพราะถ้าวันที่สองเกิดขึ้น มันจะเละไปกว่านี้อีก เรามีความสามารถที่จะผนึกกำลังกันให้ได้ อย่างวันที่หนึ่ง ผนึกกำลังกันมาให้ได้เป็นล้านๆ ไปที่สนามหลวง แสดงให้เขาเห็นอีกสักครั้ง ว่าอย่าทำอย่างนี้ ระบอบทักษิณต้องไป ปัญหามันอยู่ที่คุณไม่ได้อยู่ที่สภา ไปยุบสภาทำไม มากันสักล้านคน อย่าให้การเลือกตั้งนี้เกิดขึ้น เพราะถ้าเกิด เราจะคาดเดาไม่ได้เลยว่าจะมีอะไรแย่ลงไปอีกหรือไม่ มันจะเกิดการนองเลือดหรือเปล่า มาช่วยกันหน่อยเถอะครับ

อ.เจิมศักดิ์: เห็นด้วยมั้ยครับ (คนดูเฮ) คุณไกร วันที่ สองทำไงดี
คุณไกร: พี่น้องครับ ถ้าวันที่สองต้องมีการเลือกตั้ง เขาไ่ม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เขาพยายามจะสร้างว่า ระบอบประชาธิปไตย ควรจะเป็นแบบนี้ ตามแนวทางที่เขาคิดไว้ เื่มื่อต้นเหตุไม่ใช่ของจริง กรรมการไม่เป็นกลาง ประชาธิปไตยก็เป็นของปลอม ถ้าพี่น้องต้องไปเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ของเรา เราก็ต้องไป แต่พี่น้องต้องกา ไม่เลือกใคร เราจะบอกเขาว่า เราไม่เลือกใคร ทักษิณสอนอะไรเราบ้าง เขาสอนให้เรารักประชาธิปไตย เขาสอนให้เราสอนลูกสอนหลานได้ว่า ประชาธิปไตยมันคืออะไร ทักษิณสอนให้เรารู้ว่า คนเลวไม่จำเป็นต้องได้ดีเสมอไป

อ.ต่อตระกูล: วันที่สองนี่ ต้องทำแบบที่จังหวัดพิจิตรทำครับ พอมาทำ poll ก็บอกเขาไปว่าจะเลือกทักษิณ เขาจะได้ไม่ทุ่มเงินมา หลอก poll ให้มั่นใจว่าเขาชนะ พอเปิดออกมาทั้งประเทศไทย ไม่เอาทักษิณ

อ.เจิมศักดิ์: พี่น้องครับมีคนบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องไปเลือกตั้ง จริงๆ แล้วเราไม่อยากจะเลือก แต่ถ้าเราไม่ไปเลือกตั้ง วันนั้นเขาเตรียมบัตรผีไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจะลงแทนเรา แล้วดันไปเลือกเบอร์สอง เพราะฉะนั้นเราคงต้องไป ถ้าถึงวันนั้น ไม่เลือกผู้ใด ไม่เลือกพรรคใด อันนั้นเป็นสิทธิ อันชอบธรรม พี่น้องเห็นด้วยมั้ยครับ (เฮ) พี่น้องครับ อย่างไรก็ตาม เราต้องทำให้ทักษิณออกไปให้ได้ ถ้าเขายังอยู่เศรษฐกิจจะเสื่อมทรามลงอย่างรวดเร็ว แม้พวกเราจะเหนื่อย แม้พวกเราจะเสียต้นทุนอย่างมหาศาล ถ้ารวมคนเป็นแสน ต้นทุนวันหนึ่งเป็นหลายสิบล้าน หลายร้อยล้าน แต่เราต้องทำต่อไป พี่น้องสู้ใช่มั้ยครับ

ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)
ทักษิณ (ออกไป)

ขอขอบคุณนักธุรกิจกู้ชาติทั้งสามท่านครับ

ปล: ถึงตอนนี้ วันที่ 6 เมษายน ในประเทศไทย ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ นายกทักษิณ พูดแค่ว่า “จะไม่รับตำแหน่ง” เท่านั้น เป็นคำสัญญาอีกอันหนึ่งซึ่ง เราไม่มีทางเชื่อถืออะไรไ้ด้ กับคนไร้สัจจะเช่นนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราต้องสู้ต่อไป รัฐบาลก็ยังตั้งไม่ได้ ยังอีกนานกว่าการต่อสู้อันนี้จะจบลง แต่อย่างน้อบ ความตึงเครียดก็ลดลงไปได้ระดับหนึ่ง

สุดท้ายผมอยากจะขอเสนอ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรเข้าชิงตำแหน่ง ดาราแสดงนำฝ่ายชาย ของ Academy Awards หรือ Oscar ให้กับการแสดง ในค่ำคืนวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา เป็น Acting แห่ง ศตวรรษจริงๆ น้ำตาหลั่งไหลท่วมทำเนียบ โดยผ่านสายตาของคนไทยทั้งชาติ ถ้ารวมนักแสดงรอบๆ ตัวเช่นนายเนวิน (สาขา special effect) และ คุณหญิงอ้อ และพวกลูกๆ อาจจะได้ 11 ตัวเลยก็ได้ ให้ไปเลย ภาพยนต์แห่งปี “Gangs of Bangkok”

The Clash of Sex Tycoons

ตีพิมพ์ใน Thai Nevada Post (ปักษ์ สอง กันยายน 2005)

อาบ อบ นวด แค่ชื่อก็อาจจะทำให้ชายไทยที่อยู่ในอเมริกาหลับตาพริ้มขึ้นมาทันที ไม่ว่าท่านจะเ็ป็นโสด แต่งงาน แล้ว หรือหย่าแล้วก็ตาม เราไม่ได้ภูมิืใจที่คนทั้งโลกมองเราว่าเป็นประเทศแห่งโสเภณี แต่เราก็ไ่ม่ปฎิเสธว่า เรื่องประเภทนี้ จะหาดีกว่าประเทศไทย ในด้านของราคาและการบริการที่ได้รับแล้ว ก็ไ่ม่รู้จะไปหาที่ไหนได้ในโลกอีก เด็กๆผู้ชายหลายๆ คนในประเทศไทยในสมัยที่ผมโตขึ้นมาก็ไปเปิดบริสุทธิ์กับที่ อาบ อบ นวดกันเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้างบประมาณน้อยหน่อยก็อาจจะไปซ่องโสเภณีราคาถูกๆ ที่โด่งดังในกลุ่มเด็กโรงเรียนชายล้วนก็คือ โรงแรม ศรีทอง ซอยข้างโรงแรม Asia ถนนเพชรบุรี ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็คงไ่ม่ต้องแล้วเพราะเด็กๆ แม้แต่เด็กโรงเรียนชายล้วนก็มีปัญญาไปหาแฟนมาเปิดบริสุทธิ์กันเองได้ แล้วผู้หญิงไทยยุคใหม่ก็เป็นยุคแห่งความมั่นใจ หญิงไทย ทำงานเก่ง มีความเป็นตัวของตัวเอง มีกำลัง และอำนาจไม่แพ้ผู้ชาย และก็มีการใช้ชีวิต sex ที่ไม่แพ้ผู้ชายเช่นกัน แต่จะว่าแย่หรือไม่แย่ลงนั้นก็แล้วแต่คนจะคิด

ฟังๆ ดูเหมือนกับว่า อาบ อบ นวด น่าจะลดลง ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เพราะว่าในเมื่อ จากสมัยก่อนที่ลำบากยากเย็นไปจับปลาในหนองน้ำ มาถึงยุคทีีมีปลามาขายในตลาด จนถึงยุคที่ปลามาว่ายกันให้สลอนอยู่ริมฝั่งน้ำให้จับง่ายๆ แบบปัจจุบัน แปลว่า สำหรับท่านชาย ความต้องการที่จะไปอาบอบนวด น่าจะลดลง ใช่หรือไม่ ? คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะการวิเคราะห์ฺดังกล่าวนั้น ไม่ตรงประเด็น

Demographic ของลูกค้า อาบ อบ นวด นั้น 90% คือคนที่มีลุกมีเมียแล้ว โดยเฉพาะอาบอบนวด เกรด A จะมีนักศึกษาที่มีฐานะดี หรือ คนทำงานหนุ่มๆ ก็ีมีบ้าง แต่ไม่ใช่ major customer เพราะพวกนี้ กำลังซื้อต่ำ มาได้เดือนละครั้งก็เก่งแล้ว (ยกเว้นแต่จะมีเงินแบบพานทองแท้ก็ว่าไปอย่าง) อาบ อบ นวด เกรด A ที่ว่านี้คืออะไร ก็คือ สถานที่ที่มี “เด็ก” ตามคำที่ลูกค้าเรียก หรือ “พนักงาน” ตามคำที่เจ้าของเรียก ที่สวยที่สุด หมดจด ที่สุด และสถาณที่ก็จะตกแต่งด้วยวัสดุหรูหรา ราคาแพง เหมือนกับโรงแรม สาม ถึง ห้าดาว (แต่กรุณาอย่าเอามาเปรียบเทียบกับโรงแรมใน ลาสเวกัส นะครับ ถึงแม้จะมีชื่อเหมือนกันหลายๆ แห่งกับโรงแรมที่นี่ก็ตาม) ที่สำคัญ สถาณภาพเกรด A นี้มักจะได้มาจากการที่เป็นสถาณที่ๆ เปิดใหม่ที่สุด โดย พอมีเปิดใหม่ที ลูกค้าที่เป็นลูกค้า Top Class หรือ ลูกค้าเกรด A ก็จะแห่กันไปที่ใหม่อยุ่พักนึง ถ้าที่ใหม่ทำได้ดีจริงๆ ไปหาเด็กดีๆ ดังๆ และทำงานเก่ง (ขออย่าขยายความเลยว่าทำงานเก่งนี่คืออะไร คิดเอาเองนะครับ) ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนไม่มาก (ไม่ใช่ว่าเด็กที่ทำงานเก่งน้อย แต่เด็กที่เจ้าของและคนเชียร์แขกการันตีเลยว่า เก่ง และเป็นเด็กที่ีมีแขกติดเยอะมาก ถ้าย้ายทีทำงานแขกจะตามเด็ก) ถ้าดึงเด็กพวกนี้มาเข้าที่เปิดใหม่ได้ สถาน อาบ อบ นวดนั้นจะดังเป็นพลุแตก ทันที ถ้ายังรักษาคุณภาพต่อไปได้อีกครึ่ง ก็จะอยู่ตัว และก็็จะคืนทุน ทำกำไรมหาศาล และ่ค่อยๆ เสื่อมไปตามระบบ

แต่ถ้าท่านพลาดภายในเวลา 6 เดือนแรก ก็บอกได้เลยว่า ปิดประตูได้ เพราะลูกค้า เกรด A ที่มีเงินจะถลุงจริงๆ จะไ่ม่มา จะเหลือแต่ลูกค้าระบบประหยัด ที่มาดูตู้เป็นชั่วโมงๆ กว่าจะเลือกสักคน อาจะต้องมีการขายต่อปรับระบบ หรืออะไรก็ว่ากันไป แต่จะไม่มีการปิดในทันที ถ้าถึงขนาดปิดจริงๆ ก็คือต้องเก่าคร่ำคร่าเป็นสิบๆ ปี จนตึกใช้การไม่ได้แล้ว หรือว่า มีคนจะเอาที่ไปทำอย่างอื่นนั่นล่ะ ถึงจะปิด โดยลักษณะของธุรกิจคือมันจะเสื่อมไปจนถึงจุดที่เป็นซ่องโสเภณีสกปรกๆ ราคาถูกๆ แล้วก็จะอยู่ไปอย่างนั้น จะเห็นได้ว่า ลักษณะของธุรกิจโดยรวม ก็เหมือนกับตัว โสเภณีเองนั่นเอง แรกๆ มาใหม่ๆ ไฉไล แพงระยับ สาว สวย พอแก่ลงก็ต้องลดราคา ทรุดโทรม แล้วก็เน่าไปตามสัจธรรม ดังนั้นเคล็ดลับของการที่จะอยู่ในยุทธจักอย่างยั่งยืนก็คือ การที่จะต้องมีการ resurrect หรือ ชุบชีวิต กันอยู่ตลอดเวลา ที่เรียกว่าชุบชีวิตนั้น ไ่ม่ใช่การทำที่เดิมใหม่ แต่เป็นการไปหาที่ใหม่ สร้างอาคารใหม่ แล้ว โอน “ใบอนุญาติเดิม” ไปใส่ ในธุรกิจอาบอบนวดนั้น ใบอนุญาติ มีค่าที่สุด ใบอนุญาติที่ว่านี่ มีลักษณะอย่างไร ก็มีลักษณะเป็นจำนวนห้อง ถ้าท่านมีใบอนุญาติกี่ห้อง ก็แทบจะนับเงิน หนึ่งแสน หรือสองแสน บาท คูณจำนวนห้องไปได้เลย นั่นจะกลายเป็นมูลค่าของ Asset ในมือของท่าน

ใบอนุญาิติเหล่านี้คือข้อจำกัดที่จะทำให้เจ้าของอาบอบนวดสักคนที่คิดจะสร้างใหม่ ต้องวางโครงการว่าจะทำได้ใหญ่ขนาดไหน ถ้ามีใบอนุญาติ ร้อยใบ ก็ทำได้แค่ ร้อยห้อง หรือ จะแบ่งเป็นสองแห่ง ก็ทำได้ แค่ 70 กับอีกที่ 30 เท่านั้น ใครที่เปิดเกิน มี 200 แต่ทำ 250 นี่ก็เจอสั่งปิดมาแล้ว หรือเจอปรับห้องละแสนบาทต่อปี มาแล้ว ก็คือเหมือนกับสั่งปิดนั่นเอง ใครจะมีปัญญาจ่ายได้ ถามว่า แล้วทำไมไม่ขอใหม่ให้ได้มากตามความต้องการ คำตอบก็คือ เพราะพระราชบัญญัติสถาณบริการสมัย พล เอก เปรม ที่ต้องการจำกัดสถาณบริการเพื่อภาพพจน์ของประเทศ โดยออกเืมื่อปี พศ 2520 มีข้อความมากหลาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ จะไม่มีการออกใบอนุญาติใหม่อีกต่อไป และนั่น กลายเป็นสาเหตุให้ใบอนุญาติที่มีอยู่มีค่ายิ่งกว่าทอง เพราะสถาณการณ์กลับไปเป็นเหมือนกับ รถ taxi สมัยก่อนที่มีจำนวนจำกัด ค่าทะเบียนแพง คนที่ต้องการจะเปิดอาบอบนวด 200 ห้อง แต่มีใบอนุญาิติแค่ 150 ก็ต้องซื้อมาอีก 50 ให้ได้ จะไปซื้อจากไหน ก็ต้องไปซื้อจากคนที่เขามีอยู่ ก็ต้องดูอีกว่าเขาอยากขายหรือเปล่า เพราะว่าถ้าเขาทำของเขาดีๆ อยู่แล้วจะขายทำไม คนที่อยากขายมักจะเป็นคนที่ ไม่ติดหนี้ธุรกิจอื่นๆ หัวบาน ต้องเอาเงินไปหมุน หรือไม่ก็ขายเพราะว่าอยากออกจากวงการ หรือไม่ก็ขายเพราะรู้ว่าคนที่จะเอาไปทำมันเจ๊งแน่ๆ แล้วก็ทำสัญญา lock ล่วงหน้าเพื่อซื้อคืน ราคาถูกๆ ทำกำไรแบบทึ่มๆ ไปเลย ก็แล้วแต่ แต่การซื้อขายแต่ละครั้งไม่ค่อยจะเป็นเรื่องเล็กในวงการคนทำธุรกิจประเภทนี้ แต่มันไม่ค่อยจะอยู่ในหนังสือพิมพิ์ก็เท่านั้น คนที่รู้ก็คือคนในวงการและตำรวจ

ตีพิมพ์ใน Thai Nevada Post (ปักษ์ แรก ตุลาคม 2005)

จากฉบับที่แล้ว ต้องขอแก้ว่าโรงแรมศรีทองนั้นอยู่ซอยข้างโรงแรมเอเชีย ไม่ได้อยู่ข้างโรงแรมแอมบาสเดอร์แต่อย่างใด ต่อจากฉบับที่แล้วคือเรื่องของการชี้ขาดในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับใบอนุญาติ โดยที่บอกไว้ว่า โกลัก หรือนาย กุลประเสริฐ สุขขี ได้ค้นพบช่องโหว่ในกฎหมาย Zoning ที่จะเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลให้กับตัวเขาเองได้ ขุมทรัพย์ที่ว่าก็คือโอกาสในการขอใบอนุญาติใหม่ ที่จะเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามสิบปี ที่ไม่เคยมีการออกใบอนุญาติใหม่ได้มาก่อน สาเหตุที่จะออกได้นั้นก็เนื่องมาจากว่า การออกกฎหมาย Zoning ที่มี คุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์เป็นผู้ริเริ่มนั้น ได้มีการชี้ขาดว่าได้ทำให็กฎหมายควบคุมสถาณบริการสมับป๋าเปรมมีอันต้องหมดสภาพไป ดังนั้น การขอใบอนุญาติใหม่จึงทำได้ แล้วความหมายของการชี้ขาดตรงนี้ัมันทำให้นั้น มีผลอะไรกับคนที่มีใบอนุญาติเก่าๆ อยู่ในมือ ก็ไม่ต่างอะไรกับใบอนุญาติ taxi ในสมัยก่อนที่มีการซื้อขายใบละเป็นเหมื่น เป็นแสน พอเปิดเสรีให้ขอได้ตามใจชอบ แล้วเกิดอะไรขึ้น? ก็กลายเป็นกระดาษไร้ค่าดีๆนี่เอง เพราะใครๆ ก็ขอได้ ถ้าโกลักขอได้ ผ่านตลอดฉลุย ก็จะเป็นกรณีแรกที่เกิดจากกฎหมาย Zoning และจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ ถนนรัชดาก็จะเป็นดงอาบอบนวดที่แท้จริง เพราะคนจะแข่งกันเปิดใน Zone นี้ คนที่มีใบอนุญาติอยู่ในมือที่อยากจะวางมือ โดยการขายกิจการ บวกราคาใบอนุญาติก็ทำไ่่ม่ได้แล้ว เพราะ ใบอนุญาติในมือกลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่า จะขายก็ขายได้แต่ตึกเท่านั้น กลายเป็นผู้เสียผลประโยชน์อย่างมหาศาล แล้วคนที่มีใบอนุญาติในมือมากที่สุดคือใคร ก็ไม่ใช่ใคร นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ของเรานั่นเอง ก่อนจะถึงตรงนี้ก็ต้องย้อนเล่าประว้ตินายชูวิทย์สักเล็กน้อย วิรุฬห์ทราบดีว่าท่านผู้อ่านหลายๆคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับนายชูวิทย์เป็นอย่างดี ประวัติก็เล่าไปแล้วตั้งแต่ เปิดตัวจนถึง การตั้งพรรคต้นตระกูลไทย ลอยแพ ลูกพรรค แล้วก็มาเข้าพรรคชาติไทย เป็น สส ระบบบัญชีรายชื่อ สำเร็จ เข้าไปนั่งในสภาได้ ถ้าถามว่านายชูวิทย์มีใบอนุญาติจริงๆหรือ ถ้ามีจะเป็น สส ได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่า ในทางกฎหมายไม่มีหรอกครับ เพราะว่า มันผิดกฎ เหมือนกับนักการเมืองอื่นๆ ที่เป็นนักธุรกิจก็ต้อง โอนหุ้นให้ ลูก หลาน เมีย พี่ น้อง หรือ แม้แ่ต่คนใช้ และคนขับรถ ให้ออกไปเป็นชื่อคนอื่นเสีย เป็นอันจบ จึงจะเป็น สส ได้ แต่ถามว่า อิทธิพลในการตัดสินใจทางธุรกิจล่ะ เป็นอย่างไร วิรุฬห์ก็ฟันธงได้เลยว่า นายชูวิทย์ยังมี influence ในกิจการอยุ่อย่างเต็มที่ ลองคิดกันดูให้ดีๆ ท่านผู้อ่าน ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจพันล้าน เวลาท่านจะล้างมือเล่นการเืมือง (ล้างมือในทางกฎหมาย) ท่านจะ clear ตัวเองให้เข้าลู่วิ่งได้ ท่านจะขายทิ้งหมดให้คนไม่รู้จัก แบบเหมือนพระเจ้าตากจะเข้าตีเืมืองจันทร์เลยหรือไม่ ไม่ทิ้งทางหนีทีไล่ไว้เลยหรือ ท่านคงไม่ทำแน่ๆ ท่านก็คงจะต้องเผื่อถอยไว้สักหน่อย เผื่อว่าสอบตก จะได้กลับมาทำธุรกิจได้ แล้วหุ้นต่างๆ นี่จะเอาไปฝากไว้กับใครดี ก็ต้องไปฝากไว้กับคนที่ไว้ใจได้ เวลาที่มาถึงแล้ว มันจะได้ยกคืนมาให้เราได้ โดยเรื่องความไว้ใจนี่ มีสองประการคือ กลุ่มที่หนึ่ง คนที่คุยกันรู้เรื่อง บอกให้ยกให้กลับก็ยกให้ คนพวกนี้คือคนในสายเลือด ลูกเมีย กลุ่มที่สองคือ หุ้นส่วนเก่า ที่มันอาจจะไม่ยกคืนให้ก็ได้ แ่ต่มันก็ไม่มีวิทยายุทธมากพอที่จะทำ ธุรกิจนี้ได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องพึ่งความรู้จากท่านอยู่ดี ชูวิทย์นั้นเลือกวิธีที่เนียนกว่า คือเลือกแบบหลัง ยกหุ้นให้เมียน้อยตัวเอง แล้วก็หุ้นส่วนเก่า ไม่ใ่ช่คนนามสกุลเดียวกันแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครมาครหาได้เลย ทางกฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้ กิจการอาบ อบ นวด ของนายชูวิทย์ในช่วงที่เป็นนักการเืมืองและเป็น สส นั้น จริงๆ แล้วก็ลดความนิยมลงตามลำดับ ไม่ได้เป็นแถวหน้าห้าดาวของวงการต่อไป มีเจ้าอื่น เข้ามาทำตลาดกระจายๆ กันไปตามเรื่อง ดังนั้น อย่างที่บอกไปแล้วว่า โกลัก ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ ระดับ สองดาว ถึงสามดาว อยากเข้าทำตลาด ห้าดาวบ้าง จึงได้ตัดสินใจเข้าสมัครใบอนุญาติโดยใช้กฎหมายตัวนี้ โดยจะนำใบอนุญาติถึง 200 ห้องนี้ไปเปิดอาบ อบ นวด ชื่อ เอไลน่า สำหรับชูวิทย์นั้น พอมารู้ตัวอีกที เรื่องของนายโกลักก็ไปอยู่กับ กองบัญชาการตำรวจนครบาลเรียบร้อยไปแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการอุทรณ์ ซึ่งต่อมาได้ออกมาว่า รับอุทรณ์และให้เปิดได้ ชูวิทย์ซึ่งนั่งไม่ติด ก็เลยต้องหาวิธีสร้างเรื่อง แผนคือการยืมดาบฆ่าคน การยืมดาบฆ่าคน จริงๆแล้ว หมายถึงการไปหลอกให้คนอื่น ไปฆ่าคนให้เราโดยใช้ดาบเป็นอาวุธ (ตีความตรงไปตรงมาแบบหนังจีนกำลังภายใน) แต่ในกรณีของชูวิทย์นั้น ก็ต้องเอาความหมายมาตีแผ่เช่นนี้ คนที่ถูกหลอก = ประชากรกรุงเทพและนักการเมืองฐานเสียงกทม ดาบ = โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สาขารัชดา วิธีการฆ่า = การสร้างเรื่องให้เห็นว่าอาบ อบ นวด ของ โกลัก ใกล้กับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาดังกล่าว คนที่ถูกฆ่า = สถาณอาบ อบ นวด เอไลน่า ท่านผู้อ่านพอเห็นสมการลางๆ แล้วหรือไม่ นายชูวิทย์ ต้องการจะปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นสส อยู่ เลยต้องทำการค้นคว้า โจทย์คือจะทำอย่างไร ไม่ให้สถาณที่นี้เปิดได้ สิ่งที่พบคือ อาบ อบ นวด แห่งนี้ อยู่ตรงข้ามโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พอดี ดังนั้นวันหนึ่งจึงไปเีรียกนักข่าวทั้วเมืองให้มาถ่าย แล้วก็ป่าวประกาศว่าแบบนี้ัมันใช้ไม่ได้ มันยั่วยุ มาเปิดใกล้ๆ โรงเีรียนแบบนี้ได้อย่างไร นักข่าวพอเห็นข่าวนี้ ก็เหมือนเห็นเนื้อชิ้นใหญ่ จ้วงกันเสียไม่มีชิ้นดี พอสาวๆ ไปมากๆ ก็ไปถึง กองบัญชาการตำรวจนครบาลที่เป็นด่านสุดท้ายในการให้ใบอนุญาติ ตำรวจก็พูดไม่ออก ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ว่า ตามกฎหมายในเรื่องระยะทาง ให้เปิดได้ แต่จะไปลองพิจารณาดูอีกที เป็นอันว่าชูวิทย์ชนะยกแรกเรียบร้อย เพราะเกิดคลื่นในสังคมเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว และพอประชาชนอ่านข่าวเรื่องนี้มาก นักข่าวก็ยิ่งขุดมาก คนก็ยิ่งอ่านมากขึ้นอีก เหมือนเป็นแรงส่งซึ่งกันและกัน แล้วพอถึงจุดหนึ่ง นักการเมืองท้องถิ่น ก็ทนไม่ได้ ต้องก้าวเข้ามา แล้วก็ออกแถลงการณ์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็เห้นตรงกันว่าไม่ควรเปิด เป็นอันว่าชูวิทย์ชนะอีก เรื่องราวทำท่าจะไม่ค่อยดี สำหรับโกลัก ที่ลงทุนไปถึง ร่วม 200 ล้านบาท จะมาพังพาบเอาต่อหน้าต่อตา โกลักจึงไม่ยอม ขอสู้โดยผ่านเวทีสังคม และจะใช้สื่อเป็นเครื่องมือบ้าง โดยการมาออกรายการ ถึงลูกถึงคน ที่มี rating สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยมาเผชิญหน้ากับ นายชูวิทย์ในรายการ โดยคุณสรยุทธ สุทัศนจินดา พิธีกรของรายการค่อนข้างแน่ใจว่า จะมีการปะทะกันแบบเืลือดเดือดแน่ๆ เลยจัดให้ทั้งสองอยู่คนละห้องกัน โดยประเด็นที่ชูวิทย์บอกออกทีวีก็คือเรื่องเดิมว่า ไม่ควรจะสร้าง เพราะมันไ่ม่เหมาะสม ก็ว่ากันไป แต่สำหรับโกลักนั้น มาพร้อมทนายความและได้นำหลักฐานมาแฉชูวิทย์หลายเรื่อง ในการออกทีวีนั้น โกลักก็ทำให้ชูวิทย์เพลี่ยงพลำ้ในหลายๆ เรื่อง โดยที่ถ้าเป็นคนที่รู้จักวงการนี้ดีจะบอกได้ สำหรับประเด็นที่ใหญ่ๆ มีสองเรื่อง ดังนี้ ชื่อของผู้ถือหุ้น กิจการแห่งหนึ่งของนายชูวิทย์ โดยนายชูวิทย์อ้างว่าไม่รู้จัก แต่พอโกลักรุกหนักๆ ว่าแน่ใจนะว่าไม่รู้จัก ชูวิทย์ก็เหมือนจะไหวตัวทัน โดยอ้างพลิ้วไปว่า อ้อ จริงๆ เป็นลูกน้อง แต่โกลักก็ซ้ำเลยว่า นี่เป็นภรรยาของคุณ ชูวิทย์ไม่ยอมตอบ ยังคงยืนยันว่าเป็นลูกน้อง โกลักก็หัวเราะ โกลัก อ้างว่านายชูวิทย์เคยพยายามซื้อที่ดินแปลงที่ทำเอไลน่านี้ทำเป็นอาบ อบ นวดเหมือนกัน เพราะต้องการ monopolize ธุรกิจตัวนี้บนถนนรัชดา นายชูวิทย์ก็สวนกลับทันทีว่า ไม่จริง โดยใช้ตรรกะว่า ผมมีอยู่สามแห่งแล้ว บนถนนรัชดา จะไปเปิดอีกทำไม ซึ่งถ้าเป็นผู้ชมที่ไ่ม่เข้าใจธุรกิจตัวนี้ และนำตรรกะแบบธุรกิจทั่วไปที่นายชูวิทย์บอกมาคิด ก็อาจจะเชื่อ แต่ในความเป็นจริืงแล้ว ตรรกะดังกล่าวใช้กับธุรกิจ อาบ อบ นวดไม่ได้ เพราะลูกค้านั้นมีไม่จำกัด ยิ่งเปิดมากก็ยิ่งขายดีมาก เปิดติดๆ กันไปยิ่งดี คนไม่ชอบเด็กที่หนึ่ง ก็เดินไปอีกที่หนึ่งได้ ไม่ต้องนั่งรถไป เงินทองไม่รั่วไหล แต่จะมีคนดูกี่คนที่ดูทางนายชูวิทย์ออกก็ไม่รู้ คนที่ดูก็จะเห็นว่า นายชูิวิทย์ พลิ้วมาก มีหลักการ มีอารมณ์ขัน มี action เป็นจังหวะๆ ไป ในขณะที่โกลักนั้น พูดจาอย่างเกรี้ยวกราด มีอารมณ์ และออกเสียงภาษาไทยไม่ชัด ตามประสบการณ์แล้ว ชูวิทย์ซึ่งออกทีวีมาหลายครั้ง จึงมีวิทยายุทธในการออกสื่อได้เหนือกว่า โกลักมาก เป็นอันว่าโกลักก็แพ้ไปอีกที ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านก็คงจะสงสัยแล้วว่า ผมมองนายชูวิทย์ในแง่ร้าย ก็อาจจะพูดเช่นนั้นได้ แต่ผมไม่ได้มองเขาในแง่ร้ายเพราะเขามีหนวดแหลม หรือ เป็นเจ้าของกิจการโสมมแต่อย่างใดไม่ แต่ผมดูจากสิ่งที่เขาทำมาตลอดในอดีต จริงๆ แล้วนายชูวิทย์เคยเป็นข่าวมาตั้งแต่ คดีสั่งรื้อบาร์เบียร์ การแฉตำรวจแบบครึ่งๆ กลางๆ ใช้แต่ชื่อ ย่อ พอมีตำรวจมาถามว่าใครก็ไม่ยอมบอก ทำให้ตำรวจต้องไปสุ่มย้าย มีตำรวจที่ไม่ได้รุ้เรื่องโดนย้ายไปหลายคน แล้วก็มีการตั้งพรรคใหม่ จะทำเพื่อประชาชน พอมีคนดีคนเก่งมาร่วมด้วย ก็ลอยแพเขาเสียเฉยๆ แบบนั้น พรรคก็ต้องยุบ แล้วไปอยู่พรรคใหม่ มาเป็นนักการเมือง แล้วก็มีกรณีหมิ่นเหม่เรื่องนี้อีก ถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่ผิดเลยครับ ทุกอย่างถูกกฎหมาย แต่ถ้าถามว่า นายชูวิทย์คนนี้น่าไว้ใจหรือไม่ ผมว่า ไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย นับว่าเป็นเดชบุญของคน กทม ที่ไม่ได้เอาคนคนนี้มาเป็น ผู้ว่า ตอนที่เขาลงรับสมัคร ล่าสุดสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ชูวิทย์ชนะขาดไปแล้ว โดยทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีคำสั่งไม่อนุมัติใบอนุญาติสถาณประกอบการ เอไลน่า ส่วนตัวโกลักเองก็ออกมาออกข่าวว่า ไม่ฟ้อง (จากที่เคยขู่ว่า ถ้าไม่ให้อนุญาติจะฟ้อง กองบัญชาการตำรวจนครบาล) จะขออำลา ไม่ทำอะไรแล้ว ถามว่าทำไมโกลักถึงยอมถอยง่ายๆ คำตอบก็คือ มีคนที่ใหญ่กว่า “มาก” เบื้องบน สั่งมาให้หยุด ถ้าไม่หยุด มีเรื่อง แค่นั้นเองครับ ท่านผู้อ่านลองคิดดูเองละกันว่าเป็นใคร เมืองไทยก็มีแค่นี้ละครับ หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่า การที่อาบ อบ นวด เอไลน่าถูกปิดในที่นี้เป็นชัยชนะของฝ่ายศีลฝ่ายธรรมที่อ่อนกำลังเหลือเกินในสังคมยุคนี้ ก็คงจะสบายใจดีที่คิดแบบนั้นครับ แต่สำหรับวิรุฬห์ เห็นว่า ถ้าเราจะทำอะไรให้ถูกต้องนั้น ผลลัพธ์ นั่นไม่ใช่ประเด็นเดียวที่เราต้องคิดถึง แต่ต้องดู “ที่มา” + “กระบวนการ” ควบคู่กันไปด้วยครับ ถ้าที่มาและกระบวนการ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่ผลลัพธ์ไม่ได้ออกมาอย่างที่สังคมเห็นว่าควรจะเป็น อย่างน้อยเราก็ยังอธิบายให้ลูกหลานฟังได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ถ้าวันนึงเขาถามถึง

Tuesday, April 04, 2006

And the Academy Award goes to..Mr. Taksin Shinnawattra

Source: AP (Ass. Press)

Yes, Ladies and Gentleman. First time in the history of the Academy that we have the best performing male actor from Foreign Country, he’s the one and only Prime Minister of Thailand. Mr.Taksin Shinnawattra. His role in the movie “The Last (day of) Prime Minister” won the heart of all critic. Estimating from the review, the scene that won him this award is probably when he makes the half-ass speech that he will “not take the prime minister position in the new government. His tears that did not exactly come out of his eyes reflect so many emotions. Mr. Jemsak Pintong, the Political Acting Critic said yesterday that “I think the tears of Mr.Taksin is the result of three reason which are (1) the asset that he might be ceased by the government in the near future, (2) the asset that he might be cheated by Temasek and (3) the sadness that suddenly he remember that he hasn’t have any erection in the past 6 months. “There are lots of broken lines that show so many hidden agenda.” Mr. Jemsak said. “..which reflects so much sense of cunning that totally belong to him but also fool all the Thais that he is a good guy. He is truly the actor of the century”

Sondhi Limtongkul the media firebrand who has been a harsh critic on Mr.Taksin since the cancel of his show “Thailand Weekly” on TV9, said last night that “I congratulate him for receiving this Oscar. He definitely deserved it. I've never seen any one act so good in such a long long time. Thinking back, there are so many scenes that can win him the award. Within only one movie, he play so much roles in different emotion such as being a ruthless leader, a crazy man, a baby hugger, a father who set up his son, a husband who can not give his wife and orgasm for years, and also a thief. He’s the actor of all actors.”

Mr. Apisit Wechachiwa, the leader of opposition party also salute him for his success “In my life as a politician, I always admire the cool-cat acting of Mr.Chuan Leekpai, as my master. But compare to Mr.Taksin’s acting to Mr Chun’s I think Mr. Chuan will be just like a light bulb while Mr. Taksin is a Sun. I should learn more from him. I still don’t know how to bring tears when ever I want yet. I am working on it.”

Mr. Wassana Permlarp, who also received the high-honor award HoY or “เหี้ย” of the year did not be able to join the academy because he and other three member of the Election Committee was killed by suffocation with load of waste election cards in the past election. It was a sad news but because of the overwhelming weight of Mr.Taksin’s Success. There are only 3 lines of this mass murder suicide on the local newspaper. The funeral for him and other three of Election Committee will be at Sanlam Lang which the public are allow to throw rocks, trash or spit on the 4 bodies. The family of all 4 members will be sit there as well, but only spitting on them are allowed (confirmed by Apria Kosayothin – BKK Governor)

Mr. Taksin will appear for Public Trashing Party around next week. People are excited to congratulate him by throwing shit, also spiting and may be throwing fetus in the plastic bag to him. However, the there is no confirmation about the date because Mr.Taksin still consider the specification regarding what kind of trash will be allowed to throw to him. Critic said that it is likely to be “FUCKMAEW”.

Friday, March 31, 2006

โลภะ โทสะ ทักษะ

จากท่าน อาจารย์ วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์

โลภะ โทสะ ทักษะ
จาก ดร. วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์

โลภะ – ความโลภ
โทสะ – ความบ้าอำนาจ
ทักษะ – ความเก่ง

โลภะ เฉยๆ = โจรลักเล็กโขมยน้อย ฉกชิงวิ่งราว
โลภะ + ทักษะ = มหาโจร
โทสะ เฉยๆ = นักเลงอันธพาล ข้างถนน
โทสะ + ทักษะ = เผด็จการ
โลภะ + โทสะ + ทักษะ = ทักษิณ ชินวัตร

ตอบคุณ Cybergreen

Quote:
4 แสนคน เป็นเจ้าของประเทศ19 ล้านเสียง ก็เป็นเจ้าของประเทศ
-----------------------------------------------
เห็นด้วย
Quote:แล้วกับคนที่ไม่มีโอกาศเลือกตั้งวันนี้ แต่จะเป็นผู้ใหญ่ในวันพรุ่งนี้ใครให้คุณปิดโอกาสเขาไป-----------------------------------------------
ใครปิดโอกาส? การเรียกร้องบนถนนด้วยความสงบไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง เป็นการแสดงความเห็นโดยอิสระเสรี คุณไม่เห็นด้วย ก็คัดค้านได้ แบบที่คุณทำอยู่นี่
Quote:
ทักษิณทำอะไร?
สนธิทำเพื่ออะไร?จำลองโผล่มาทำไม?ทุกคนรู้ใช่หรือไม่?-----------------------------
ไม่รู้ ถ้าคุณรู้อธิบายมาสิ ถ้าคุณรู้อะไรดีๆ มาแชร์กันหน่อย
Qoute:ใครต่อใครมากหน้าหลายตา ก็เป็นตัวแทนประชาชนกันหมดอยากถามว่า พวกคุณรู้ใจประชาชนอย่างไรขอร้องอย่ามา “กระเบื้อง” แทนคนทั้งประเทศ เพราะทุกคนก็รู้ว่าคุณต้องการอะไรผลประโยชน์ต่างหาก ที่ทำให้คุณ แอบอ้างแทนประชาชน-----------------------------
ผมไม่เห็นรู้ว่าเขาต้องการอะไร คุณ Cybergreen บอกหน่อยสิ อย่า Assume ว่าคนอื่นเขาฉลาดเหมือนคุณ ผมก็ไม่ได้ฉลาดเหมือนคุณ ช่วยชี้แจงให้มันชัดๆ หน่อย เรื่องผลประโยชน์ ด้วย ช่วยบอกหน่อยว่าคนเหล่านี้
ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์, ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ, ดร.เสรี วงษ์มนฑา, ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช, ดร.สังศิต พิริยรังสรรค์, ดร.บัณฑร อ่อนดำ, อ. สุรัตน์ โหราชัยตระกูล, ดร.นิติภูมิ นวรัตน์, อ.ภูวดล ทรงประเสริฐ, อาจารย์ อมรินทร์ คอมันตร์, ดร.ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์, ดร. จักร พันธ์เพชร, อาจารย์ ไกรศักดิ์ ชุนหะวัน, อ.สุทธิพงษ์ ปรัชญาพฤกษ์, ดร. จักร พันธ์ขูเพชร, ดร.อภิชัย พันธเสน, ดร. เลิศชาย ศิริชัย, นพ. บันลือ เฮงประสิทธิ์, นพ. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ, คุณรสนาโตสิตระกูล, อ.วิทูรย์ เลี่ยมจำรูญ , ดร.ชัยยันต์ ไชยพร, ดร.พิรงรอง รณะนันทน์, คุณ สุภิญญา กลางนรงค์ และอื่นๆ อีกมาก ทั้งนักเรียน นิสิต นักศึกษาเกือบทุกสถาบัน พนักงานรัฐวิสาหกิจ ราชการ อาจารย์มหาวิทยาลับ ครู พ่อค้า นักธุรกิจ ทูตานุทูต วิศวกร แพทย์ สมาคมทนายความ สมาคมนักหนังสือพิมพ์ และประชาชนทั่วๆไป เป็นแสนๆ
มีผลประโยชน์อะไรบ้าง ? อธิบายมาสิ
-------------------------------------------
Quote: ตั้งก๊วนก่อม็อบ อ้างประชาชน แล้วประเทศชาติได้อะไร
ได้รู้ข้อมูลอีกด้าน ที่รัฐไม่เคยชี้แจง ในโทรทัศน์ มีแต่ข่าวว่า มีการประท้วง มีการเคลื่อนที่ไปที่ไหน บอกว่าจะให้นายกออก แต่ไม่เคยบอกว่า คนที่ประท้วงเขาพูดอะไรบ้าง เนื้อหามีอะไรบ้าง ประเทศชาติ ไม่ใช่ตลาดหุ้น GDP หรือ การจราจรที่ไม่ติดขัด ประเทศชาติคือผลประโยชน์ ของคนส่วนรวม คุณ Cybergreen ถ้ามีความเป็นธรรม น่าจะฟังความทั้งสองด้าน เคยไปฟังเขาคุยที่ ประท้วงบ้างมั้ย หรือคิดว่าไม่จำเป็นต้องฟัง งั้นคุณ ก็วิจารณ์โดยมีข้อมูลไม่ครบ
Quote:
-----------------------------
...คนไทยไม่โง่ โดนแล้วต้องเรียนรู้ หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมามันสอนให้รู้จักจำ ว่าการเมืองกับระบบอุปถัมภ์ มันไม่ต่างกันเลยการทำความดีเพื่อชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็นนายก------------------
ผมปัญญาน้อย อ่านประโยคนี้ แล้วไม่เข้าใจ ขยายความหน่อย
Quote: ...อยากกู้ชาติ กู้แผ่นดิน ต้องรู้รักสามัคคี ไม่ใช่ก่อม็อบเพื่อนองเลือด-----------------
So far คนที่ออกมาก่อม๊อบ เผาหุ่น กั้นคนท้อง คนเจ็บไม่ให้ออกนอกตึก ปาอุจจาระ ปาระเบิด คือใคร? แล้วคนก่อม๊อบที่พัง เวทีปราศัย พรรคประชาธิปปัตย์ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ซ้อม กรรมการพรรคประชาธิปปัตย์ จนต้องปิดเวที เป็นใคร คุณด่าคนพวกนี้ด้วยหรือเปล่า ? หรือด่าแต่ ม๊อบ พันธมิตร ?

Quote: จำลองโผล่มาทำไม ทำศาสนาให้ด่างพร้อย ด้วยคำว่ากองทัพธรรมทำไม?
ก็เป็นความเห็นอย่างหนึ่ง รับฟังกันได้ แต่อยากให้ลองดู web นี้
www.yuwasong.com
นี่คือคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นพระสงฆ์ องค์เจ้า มาออก Website โกหกตอแหล ต่อหน้าชาวบ้านชาวช่องแบบนี้ คุณ Cybergreen ลองมองด้วยจิตใจเป็นธรรมว่า อย่างนี้ศาสนาด่างพร้อยหรือไม่ web นี้โดนด่าถึงขนาดต้อง หนีไปแล้ว แต่ไม่แน่อาจจะกลับมาใหม่ แต่ที่แน่ๆ มี Cache ของ ตัว Text อยู่ ลองอ่านด้วยตัวเองแล้วเปิดใจหน่อย
---------------------------------------------------------
Quote:...คนแก่ต้องมานอนกลางดินกินกลางทราย เพื่อค่าแรงวันละ 300 บาทนี่หรือ...สิ่งมีชิวิตที่เรียกว่า “ คน”
--------------------------------------------------------------------

ใครรับค่าแรงวันละสามร้อย? ม๊อบ จตุจักหรือ พันธมิตร? หรือพูดไปลอยๆ อย่างนั้น แต่จากข้อความที่คุณ พิมพ์ มา คุณน่าจะหมายถึง ม๊อบ พันธมิตร ไหนหลักฐาน? มีรูปถ่ายมั้ย หรือไปถามชาวบ้านเขามา ? ถ้ามีจริงๆ เขารับเงินกันมาทุกคนหรือเปล่า? คนแก่ที่ต้องไปนอนกลางดินกินกลางทราย ที่ว่านี่ หลายๆ คนที่ผมรู้จักดี มีเงินเป็นล้านๆ เขาจะเอาไปทำไม 300 บาทเพื่อมานอนกลางดินกินกลางทราย?


อย่าคิดว่าคัวเองฉลาดมากนัก ถ้ายังไม่ได้รับข้อมูลครบถ้วน

คนไทยส่วนใหญ่น่ะ ไม่โง่หรอก แต่คุณอยู่ในคนส่วนใหญ่นั่นด้วยหรือเปล่าล่ะ

ผม Provoke คุณแล้ว นะ ถ้าจะตอบโต้กับผม กรุณาแสดงตัว ชื่อนามสกุลจริงออกมา จะได้เล่นกันถูก ไม่งั้นเชิญ คุณ เถียงของคุณไปคนเดียว เพราะผมอยากจะเถียงกับ “คน” ให้เกิด ปัญญา ไม่ใช่ เงาชื่อ Cybergreen

-----------

Website เป็นที่ๆ เป็นอิสระผมเข้าใจ จะใช้ Icon อะไรก็ได้ จะใช้นามปากกาอะไรก็ได้ จะพุดอะไรสนุก ให้ความรู้อะไรไม่เสียหาย แต่ผมรู้สึกสังเวช คนที่ไม่ใช้ชื่อ นามสกุลจริง เข้ามาในที่ๆ เป็นของ วิชาชีพอันมีเกียรติของเรา แล้วไปด่าชาวบ้าน ระบายอารมณ์ ฟาดหัวฟาดหางไปทั่วโดยไม่มีความรับผิดชอบ ไม่สามารถ Link กลับไปได้ ที่ตัวของตัวเองว่าคุณเป็นใคร มาจากที่ไหน นี่หรือคือสถาปนิกผู้ประกอบวิชาชีพที่อยากจะให้ผู้คนเขานับถือ ?

Once ว่าคุณ เอ่ยปากด่าคนอื่นแล้ว ต้องแสดงตัวหน่อย

แล้วถ้าเจอกันตัวต่อตัว คุณจะกล้าพูดแบบนี้หรือเปล่า ถ้าไปอยู่ต่อหน้า กันกลางที่ชุมนุมชน ต่อหน้า คนเป็นหมื่นเป็นพัน ? หรือกล้าแต่จะแหย่ๆ แบบนี้ ขี้ขลาดตาขาวเหมือนนายกรัฐมนตรีของเราตอนนี้

ถ้าแน่จริงจะออกความเห็นอะไรที่เป็น hi-tension หรือที่เป็น Public Attention แบบนี้ แสดงตัวเองออกมาหน่อย อย่าอยู่ในรู ไปขนข้อมูลมา ไป Research มา แล้วเอา fact มาทับกันให้ตายไปข้างหนึ่ง จะได้รู้ๆ กันว่า ใครแพ้ ใครชนะ เพราะผมไม่กล้ว คุณกล้าเจอกับผมหรือเปล่า ?

Sunday, March 19, 2006

ประชาธิปไตย จากคำตอบ ของข้าพเจ้า

“ประชาธิปไตย คืออะไรในความคิดของท่าน”คุณพี่เล่นถามคำถามแบบเขียน Thesis ปริญญาเอกกับผมได้แบบนี้ก็แย่สิครับ แต่เอาว่าผมจะพยายามตอบก็แล้วกัน เพราะผมเปิดประเด็น ผมไม่เหมือนใครบางคนที่กล้าตอบคำถามเฉพาะที่ตัวเองตอบได้ พอตอบไม่ได้ทำเป็นไม่ได้ยิน หรือใช้วิธีดูถูกชาวบ้านเป็นการหนี

เอาละครับ

สังคมเป็นที่ๆ หนึ่งที่สมาชิกทุกท่านเลือกมาอยู่ด้วยกัน ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ทางเลือกเรายิ่งชัด ว่าจะไปอยู่ที่ไหน คุณอยากเป็นคนไทย หรือ คนมาเลย์หรือ อยากเป็น พม่า เขมร ออสเตรเลี อเมริกา ยุโรป มันมีทางเลือกอยู่ ทีนี้สังคมมันก็มี Hardware กับ Software Hardware ง่ายๆ ก็คือ แผ่นดิน และทรัพยากร หรือตึกรามบ้านช่อง Software คือกฎหมาย กฎเกณฑ์ ศิลธรรม ศาสนา ซึ่ง ในสังคม ก็จะมี Sub Software ตรงนี้ ย่อยลงไปตาม จุดของ Hardware ต่อไป

ประเด็นคือถ้ามองเป็น Computer ถ้ามีเครื่อง Hardware แบบสุดยอด มันก็ไม่พอ เราจะต้องมี Software ที่ดี มาทำงาน จึงจะนับว่าเป็น Computer ที่สุดยอด สามารถนำไปใช้งานได้ อย่างดีทีนี้

ประเด็นก็คือ คนใช้งานนี่ล่ะ

ใครๆ ที่อ่านหนังสือ กังฟู ก็จะรู้ อันว่าผู้ไร้ฝีมือ แม้จะมีกระบี่อันเจิดจรัสทำโดยยอดฝีมือ ก็ไม่สามารถตัดได้แม้แต่เต้าหู้ แต่ยอดฝีมือนั้น แม้จะหยิบจับเพียงกิ่งไม้ไผ่ ก็อาจจะยกขึ้นประหัตประหารศัตรูให้แตกพ่ายได้

ประชาธิปไตย เป็นระบบที่เราทุกคนเป็นผู้ใช้ Computer ตัวนี้ ซึ่งในกรณีของเรา ก็คือ คน 1 คนที่ประกอบด้วยเซลล์ 65 ล้านเซล์ ทุกๆ เซลล์ เป็นผู้ใช้ ไม่ใช่เซล์ที่เป็นนักการเมืองในสภา ผมไม่ได้พูดเป็นปรัชญาสวยงามนะครับ แต่นี่เป็นเรื่องจริง อย่างที่เราเห็นได้ในถนนทุกวันนี้ ทุกๆ อย่างก็ยังเป็นไปตามกฎที่อยู่ใน Software ตัวนี้ และถึงแม้ว่า มี Virus มี Spy Ware อะไรก็ตาม แต่เราก็มี Norton มี อะไรมา Clean ได้ และถ้าสุดๆ จริงๆ เราก็ Format ได้ และบางครั้งเราก็ อาจจะต้อง Format หลายครั้ง แล้ว Clean อีกเพื่อแก้ปัญหา

แต่เมื่อเราเลือกให้เซลล์ทั้ง 65 ล้านเซล์มาเป็นผู้ใช้ Software ตัวนี้ ผลงานที่ออกมาของคน 1 คนนี้ ก็จะเป็นภาพรวมของ 65 ล้านเซลล์ ไม่ใช่ ผลงานของ ตัวแทน ไม่ใช่ผลงานของผู้ที่มีปัญญาและธรรมมะแบบท่าน Veera ไม่ใช่คนแบบผม ไม่ใช่คนที่มีความสามารถอื่นๆ แต่เป็นผลงานที่ออกมาของคนทั้ง 65 ล้านเซลล์ นี่คือประชาธิปไตย ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน และงานนี้ ประเทศไทย คือ คนหนึ่งคนที่เดินหน้าทำงานไป

การที่เรายังเป็นประเทศที่ มีปัญหา เพราะคนส่วนใหญ่มีปัญหา ยังเป็นหนี้ มีปัญหาติดเหล้า ติดการพนัน นั่นคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาไม่มีโอกาส เขายังขาดความรู้ ก็เหมือน Cell ที่อ่อนแอ ก็เป็นหน้าที่ ของ Cell ที่แข็งแรงกว่าต้องไปช่วย ช่วยทุกวิถีทางให้ เขาดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้ใช้ Computer ตัวนี้ทำงานพัฒนาไปได้พร้อมๆ กันสำหรับผม นี่ละครับ ประชาธิปไตย เราทุกๆ Cell ก็ depends on ทุกๆ Cell เหมือนกัน เราแยกกันไม่ได้ เหมือนที่น้อง Byrdy บอกว่า ให้เอาคนจนออกไป ให้คนจบปริญญาตรีไปตั้งประเทศใหม่ ก้เหมือนแยกสังขาร เราจะอยู่ได้อย่างไร เมื่อเรา ต้องพึ่งแต่ละ Cell เราก็ต้องมีการรับฟังความเห็นของทุกๆ คน และต้องมีการพึ่งพาอาศัย เอิ้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพื่อให้เราเป็นหนึ่ง และมีชีวิตต่อไปข้างหน้าได้

อันนี้ล่ะ มันมาถึง การสนทนาระหว่างท่าน Veera กับผม

ถ้าเป็นในสหรัฐ รัฐธรรมนูญข้อแรก “First Amendment” คือ Freedom of Speech หรือ สิทธิ ในการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ และแน่นอนว่า เป็นสิทธิที่มาพร้อมความรับผิดชอบ ท่าคนพูดไปโจมตีใคร เขาก็มีสิทธิ โจมตีกลับ หรือฟ้องร้องได้ เขาไม่เคยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเลยมาตั้งแต่ตั้งประเทศ เขาแก้เฉยๆ ทีละนิดทีละหน่อยเราจะมีประชาธิปไตยที่เข้มแข็งได้ Cell ทุก Cell ต้องแข็งแรงทั้ง Physical, Mental และ Spiritual (สามด้านนี้ ท่านพุทธทาสเคยพูดไว้นะครับ ) ซึ่งผมก็ยังมองในแง่ดีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ล่ะ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ทำให้คนไทย มาแกร่งได้ ทั้ง 3 ด้าน อีกหน่อยถ้าประเทศเรา มีเซลล์ที่ดีๆ มาเป็นผู้นำแล้ว gear นโยบายทุกอย่างเข้าหาเรื่องการพัฒนา Cell ทั้ง 65 ล้านเซลล์ เป็นหลัก เราก็จะเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าในแบบของเราได้ (ย้ำว่าแบบของเรา) ทำไม เยอรมันนี ญี่ปุ่น หรือ อิสราเอล ถีงเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าได้ ทั้งๆ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเขาโดนทำลายย่อยยับ ไม่มีอะไรเหลือ ส่วน อิสราเอลนั้น ไม่มีแผ่นดินเลยด้วยซ้ำ สำหรับผมคิดว่าเป็นเพราะเซลล์ของเขาส่วนใหญ่เป็นเซลล์ที่แข็งแรงมาก ทั้งสามด้าน แต่ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นแบบเขานะครับ ให้เป็นแบบอิสราเอล มีเรื่องกับเพื่อนบ้านหมดทุกแห่ง หรือคอรัปชั่นเชิงนโยบายสุดขั้วแบบญี่ปุ่นก็ไม่เอานะครับ

ผมไม่เห็นด้วยว่านี่คือ การทำให้แตกกัน ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าความจริงครับ ความจริงจะเป็นคำตอบของทุกๆ อย่าง ท่าน Veera_arch บอกให้ทั้งสองฝ่าย หรือสามฝ่าย ถอยคนละก้าว นั่นก็เป็นความคิดของท่านนะครับ ซึ่งผมก็ต้องฟัง แต่ผมสนใจแค่ว่า ปัญหาคราวนี้ จะ Resolve ยังไง ซึ่งทั้งสามฝ่ายก็มีการตกลงกันแล้ว ว่าจะมาคุยกันออกทีวี ให้คนตัดสิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ Fair ที่สุด ถ้าสนธิ ลวงโลกมาตลอด ออกทีวีเจอฝ่ายนายกชี้แจงทุกคำถามได้หมด สนธิก็ตายกลางเวที แล้วม๊อบ แสนคนหน้าทำเนียบก็จะเหลือ พันคนในพริบตา และนายกก็จะได้เป็นนายกไปนานเท่าที่อยากจะเป็น แต่ว่า ถ้านายกตาย ก็ต้องยอมรับว่า ม๊อบทั้งประเทศ หรือคนที่เขาอยู่เฉยๆ จะเข้าหาพันธมิตรประชาธิปไตยทันทีถ้ามาออกทีวี

โต้กันทั้งสามฝ่ายปัญหาจะจบทันที แต่เราก็เห็นกันแล้วว่า ใครไม่กล้ามา

ประเด็นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมะแล้ว ตอนนี้เป็นเรื่องของความจริง ต้องเอาความจริงมาพูดกันให้หมด

สุดท้าย คนเรียนสูงไม่จำเป็นต้องมี Ego สูงทุกคนหรอกครับ และผมไม่คิดว่า Ego เป็นสิ่งที่ไม่ดี มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราสู่จนถึงจุดสุดท้าย ไม่ให้เราเขวไปกลางคัน เป็นความมั่นใจในตัวของตัวเองที่ผมว่า คนที่ไม่ได้เรียนจบอะไรเลยเขาก็มีได้ ตราบใดที่เรามีความรับผิดชอบในสิ่งที่เราพูด ในสิ่งที่เราทำ เรายอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อืน รู้จักแพ้ รู้จักชนะ เคารพกติกา (ไม่ใช่กติกูนะครับ)

สุดท้าย ผมตอบท่านแล้ว แล้วผมไม่ถามท่านกลับนะครับ เพราะฉะนั้นผมไม่ติดค้างอะไรท่าน และท่านก็ไม่ติดค้างอะไรผมนะครับ ผมต้องขอตัวแล้ว ช่วงนี้มีสอบและมีงานเยอะมาก แล้วผมก็บอกน้อง Byrdy ไปแล้วด้วยว่าจะ “เว้นวรรค” ไม่เขียนกระทู้การเมืองสักพัก อยากจะรักษาคำพูดตัวเองหน่อยนะครับ

ปิดกระทู้ คำถาม จาก ASA

เรียน ท่านผู้เข้ามาแวะในกระทู้ของผมทุกท่านครับ

บังเอิญว่าผมไม่ได้ดูกระทู้อื่นๆ เลย ไ่ม่ได้กลับไปดูกระทู้ธงด้วย พอกลับไปมองแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้าง

ในฐานะที่เป็นผู้เปิดกระทู้และเขียนคำถามทั้งหมดนะครับ ผมขออนุญาติ “ปิด” กระทู้นี้ ครับ ไม่ใช่เพราะว่า ไม่อยากฟังคำตอบของคุณหมอนะครับ ผมน่ะรอได้ ไม่ไปไหนหรอก แต่ผมคิดว่า มันไม่มีประโยชน์ที่พวกคุณจะมานั่งรอคำตอบของคุณหมอ เพราะผมคิดว่า เขา
“น่ากลัวมาก” เนื่องจากเหตุผลข้างล่างนี่
นี่คือตอนแรก
--------
โดย: หมอ วันที่ ( 12 Mar 2006 23:27:52 )
ติดต่อขอข้อมูลจากสำนักพระราชวังได้ ครับ ถ้าสงสัยส่วนกรณีวัดพระแก้ว...ให้ไปฟังพระราชดำรัส วันที่ 5ธันวาคม ที่ผ่านมา...น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจน...
-------
ผมก็ถามเขาว่า…….พระราชดำรัสพูดตรงไหนว่าคำตอบชัดเจนเรื่อง วัดพระแก้ว และนี่คือสิ่งที่คุณหมอตอบกลับมา
----------------
โดย: หมอ วันที่ ( 13 Mar 2006 09:56:49 )
"....วันนี้เราขึ้นมานี่ เราแก้ตัวแทนนายกฯ เพราะว่านายกฯ ไม่ผิด นายกฯ ทำได้ทุกอย่าง ก็เลยไม่ต้อง ไม่ต้องไปออกทีวีแล้ว ไปออกทีวีทุกวัน ๆ ๆ มีคนเขาบอกว่าเขาเอือมที่ออก แต่ว่ามีหน้าที่ที่ออกก็ออก มีคนที่เขาเดือดร้อน ที่อยู่ในรายการ เพราะเขาต้องเป็นคนที่ต้องพูด แล้วก็คนที่พูดนั่นก็เลยถูกลูกหลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การแก้ตัวครั้งเดียวเอา ได้ แต่แก้ตัว นี่แก้ตัวมาเท่าไหร่ 10 ครั้งแล้วนะ ที่ออก ออกทีวี เลยชักจะเอือม...."--------------------ความข้างต้น พูดถึงประเด็นที่รัฐบาลได้ออกแถลง ซีดี และออกอากาศซ้ำทางช่อง 11 และช่อง 9 กรณีการชี้แจงจากสำนักพระราชวัง ร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การใช้พระอุโบสถ และการจัดพิธี ซึ่งผ่านขั้นตอน และดำเนินการโดยกองงานที่เกี่ยวข้องในการจัดพิธี สำนักพระราชวัง
----------------------

นี่ชัดเจนตรงไหน ? พระราชดำรัสที่สุดแสนจะล้ำลึก สุดแสนจะกว้างใหญ่ไพศาล สุดแสนจะแฝงไว้ด้วยคติธรรมและความเป็นกลางอย่างยิ่ง สุดแสนจะเต็มไปด้วยปริศนาธรรม คุณเล่นตีความเอาแต่ได้อีกแล้วหรือเนี่ย? คุณไม่สนใจภาพรวมอีกแล้วหรือเนี่ย?

เพื่อนๆ ครับ นี่ขนาดเขาอ้าง กาลามสูตรมาสอนพวกเราเนี่ย ผมคิดว่าเขาเองก็ไม่ได้อ่านหรอกว่าแต่ละข้อมีเนื้อหาอะไรบ้าง พอเวลาถึงตาเขา เขาก็ตีความตัดเป็นชิ้นๆ แบบที่เขาอยากจะให้มันเป็น ไม่สนใจความเป็นจริง แค่นั้นเอง กาลามสูตรที่ว่า “อย่าเชื่อด้วยการอนุมาน” แต่คุณหมอกำลัง อนุมานเข้าข้างตัวเองเห็นๆ เลย

คนที่ทำอย่างที่ตัวเองพูดไม่ได้ ยังจะมีหน้ามาสั่งสอนให้คนอื่นทำตาม แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรครับเพื่อนๆ ?

คนที่กล้า “บังอาจ” ตีความกระแสพระราชดำรัสอันศักด์สิทธิ์เข้าข้างตัวเองแบบนี้ เขาทำอะไรก็ได้ พูดอะไรก็ได้ทุกอย่าง เขาตีความได้หมดล่ะครับ ในโลกจินตภาพของตัวเขาเอง เขาย่อมถูกเสมอ

เขาพูดกันเรื่องธง ลากไปเรื่อง ปรีดี ได้ไง ? การเมืองทำลายคนดี ? ก็ต้องให้คุณหมอมาลองพิสูจน์มาหน่อยสิครับว่า ตอนนี้ คนดีที่คุณว่าเนี่ย ทำไมไม่กล้าตอบคำถามที่ผมแปะไว้นั่นสักคำถามเดียว

แล้วมันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องของหุ้นนะครับ

แล้วมันก็ไม่ใช่ Mob สนธิ แล้ว

ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์, ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ, ดร.เสรี วงษ์มนฑา, ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช, ดร.สังศิต พิริยรังสรรค์, ดร.บัณฑร อ่อนดำ, อ. สุรัตน์ โหราชัยตระกูล, ดร.นิติภูมิ นวรัตน์, อ.ภูวดล ทรงประเสริฐ, อาจารย์ อมรินทร์ คอมันตร์, ดร.ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์, ดร. จักร พันธ์เพชร, อาจารย์ ไกรศักดิ์ ชุนหะวัน, อ.สุทธิพงษ์ ปรัชญาพฤกษ์, ดร. จักร พันธ์ขูเพชร, ดร.อภิชัย พันธเสน, ดร. เลิศชาย ศิริชัย, นพ. บันลือ เฮงประสิทธิ์, นพ. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ, คุณรสนาโตสิตระกูล, อ.วิทูรย์ เลี่ยมจำรูญ , ดร.ชัยยันต์ ไชยพร, ดร.พิรงรอง รณะนันทน์, และอื่นๆ อีกมาก ทั้งนักเรียน นิสิต นักศึกษา พนักงานรัฐวิสาหกิจ ราชการ อาจารย์มหาวิทยาลับ ครู พ่อค้า นักธุรกิจ ทูตานุทูต วิศวกร แพทย์ สมาคมทนายความ สมาคมนักหนังสือพิมพ์ และอื่นๆ อีกเยอะ

คนพวกนี้เขามีคำถามอีกมากมายนะครับ ที่จะถามนายเหนือหัวของคุณหมอ คุณหมอเขาคิดว่า คนพวกนี้สามารถถูกจูงจมูก ได้โดยคนที่ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล?

จริงๆแล้ว คุณหมอจะตอบไม่ตอบมันก็ไม่สำคัญ เพราะว่าตัวคำถามเองมันเป็นคำตอบในตัวเองอยู่แล้วครับ แล้วอีกอย่างผมเดาได้ว่าถ้าเขาตอบเขาจะตอบแบบไหน

เขาจะไม่ตอบทุกคำถาม เขาจะตอบเฉพาะคำถามที่เขาตอบได้เท่านั้น
อันไหนที่ตอบไม่ได้ ที่เหลือจะทำเป็นไม่เห็น
แล้วก็จะบอกว่าผมผิดทั้งหมด แบบเหมารวม
ตามด้วยวิธีดูถูกคน เหยียบให้จมทรณีไป (มุขเลข ป.2 เอย อะไรเอย)
จนพอตัวเองจนตรอก แถไม่ออก(คิดเลข ป.2 ผิดเอง) ก็ใช้วิธีแบบเดิมๆ คือทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ หัวเราะ แล้วก็จากไป
คำแก้ตัวคือ “ผมไม่มีเวลา ผมยุ่ง” ก็ว่ากันไป (ไม่มีใีึครเขาให้คุณตอบทั้งหมดพร้อมกัน ตอบทีละคำถามก็ได้ สองปีผมก็จะรอ)

จบมุข

เชื่อผม ทุกท่าน อย่าไปท้าทายเขา ปล่อยเขาไปเถอะ แผ่เมตตา ปล่อยเขาไปที่ชอบๆ ของเขาเถอะครับ

ผมเองก็เสียใจที่หลงไปนับถือเขาตอนแรก คิดผิดจริงๆ จากตอนแรกนับถือ กลายมาเป็นไม่ชอบ แล้วพอผมได้ทราบ ประวัติของเขาจากหลายๆ แหล่งที่เชื่อถือได้ feed ข้อมูลมาให้ผม ตอนนี้ผมกลายเป็นสังเวชไปแล้ว ผมสงสารเขามาก

เพราะฉะนั้นขอ “ปิด” นะครับ กระทู้นี้ และผมจะไ่ม่ยุ่งกะคนๆ นี้อีกแล้ว ไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่เสวนาด้วย และไม่ตอบคำถามของเขา (เขาไ่่ม่ตอบผมเหมือนกัน ก็ถือว่า fair)ผมจะทำเป็นไม่เห็นเขาเหมือนกับที่เขาทำเป็นไม่เห็นผมเหมือนกัน ผมว่าทุกท่านถ้าจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา ก็คิดให้ดีๆ นะครับ ที่จะต่อปากต่อคำกับคนแบบนี้ ส่วนผม ผมแผ่เมตตาและ ลาก่อนละครับ

Cowards die many times before their deaths; The valiant never taste of death but once.
William Shakespeare (1564 - 1616), Julius Caesar

แปลกันเอาเองนะครับ ภาษาอังกฤษผมไม่แ็ข็งแรงS

ปิดกระทู้

Friday, March 17, 2006

ขอสู้ผ่าน Bits

แสนห่างไกลสุดขอบฟ้าที่บ้านเกิด
แต่ก็ใกล้สุดบรรเจิดในเบิ้องหน้า
ได้นั่งฟังนั่งชมทุกเพลา
ตั้งจิตใจของข้าอยู่กับธรรม

ขอสาปแช่งขับไล่จากหมื่นไมล์
ขอผลักไสไอ้จังไรให้อาสัญ
อหิงสาเพื่อนข้าสู้ประจัน
นั่งสู้ทนด้วยกันไม่เรรวน

แสงตะวันร้อนแรงสาดแสงกล้า
ส่องร่างกายเหล่าผู้กล้าไม่หันหวน
ใจข้าร้อนดังเพลิงได้ตีตรวน
จิตวิญญาณข้าปรวนพญาไฟ

ร้องตะโกน “ออกไป”อีกล้านครา
ล้วนดังก้องในใจข้า เกินผลักไส
พญามาร จะพ่ายแพ้แก่ผองไทย
ยกธงไตร แผ่นดินสูง รุ่งจริยธรรม

Thursday, March 09, 2006

กลับกลอก

เมื่อวานคือ:

คุณสนธิ “ผมจะเล่นการเมือง ช่วยสนับสนุนผมด้วย”

ต่อมาคือ “ไอ้พวกนี้มันไม่รู้เรื่อง ออกมาเห่ามาหอน”

ต่อมา วันที่ 3 มีนาคม คือ

“เพื่อนสนธิ” มีอะไรก็พูดกันได้ จะให้ไปหาที่บ้านพระอาทิตย์ก็ยอม ส่วน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พ.ต.ท.ทักษิณก็เรียกพี่จำลอง นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึงนายเสนาะ เทียนทองว่า “พี่เหนาะ ทำไมใจร้ายกับน้องอย่างนี้ ผมยังไม่ใจร้ายกับลูกน้องพี่เหนาะเลย”

และวันนี้ 9 มีนาคม (6 วันเท่านั้น) คือ

“ไอ้นี่มันเพิ่งล้มละลายมาไม่กี่วัน และจะไปกู้ชาติ ผมไม่สน จะเดินหน้าทำงานต่อ รอการตัดสินใจของประชาชนทั้งประเทศ ถ้าจะให้ผมทำงานต่อ รับรองทำงานหนักและฉลาดกว่าเดิม และประเทศก็ไม่ต้องชะงักงัน วันนี้ประเทศวุ่นมามากแล้ว”

แล้วก็แถมด้วย......

“ข้าจะหนีเอ็งไปทำไมวะ ผมเป็นนายกฯ ที่ทำมาหากินสุจริต เอะอะก็หาว่าไม่เสียภาษี ผมเสียภาษีมากกว่าพวกมันรวมกันอีก นายกฯ คนนี้มาจาก 19 ล้านเสียง ไม่มีชั่ว ไม่โง่ ไม่บ้า ดีอย่างเดียวคือรักประชาชน ดังนั้นถ้าเลือกเบอร์ 2 แสดงว่าประชาชนต้องการรักษาประชาธิปไตย แต่ถ้าเหม็นหน้าผมหรือจะยอมให้กฎหมู่มาไล่นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งตามกติกาก็ว่ากันไป วันนี้ผมถูกหาเรื่องมาหลายเดือนแล้ว มาด่าข้างเดียวตลอด วันนี้คนที่ประชาชนเลือกมากำลังถูกรุม ดังนั้น วันที่ 2 เม.ย.นี้ ขอให้ประชาชนช่วยกันอุ้มผมแหวกวงล้อมออกไปด้วย”

ผู้นำประเทศที่ไหนใช้คำพูดยุให้คนแตกกันแบบนี้ ?

ผู้นำประเทศที่ไหน พูดจากลับไปกลับมาแบบนี้ ?

Tuesday, March 07, 2006

ถามคุณหมอ ใน web ASA เมื่อ 4 มีนาคม 2006

อยากให้คุณหมอ ไขความกระจ่างด้วยครับ ตอนแรกผมนึกว่าคุณหมอมาใช้วิชาความรู้ด้วยความเป็นกลาง ผมค่อนข้างนับถือ แต่พอคุณหมอเริ่มหลบเรื่องตัวเลขกับ อาจารย์ลูกน้ำ (คุณหมอใช้วิธีหัวเราะแล้วบอกว่าอาจารย์ลูกน้ำไม่ทำตามกติกา แล้วอย่ามาบอกว่าผมแค่เ่ล่าเรื่องลูกของตัวเองนะครับ คนอ่านในนี้เขาดูออก เหมือนนายกเปี๊ยบเลย เื่ื่รื่องกติกานี่) แล้วก็มุ่งไปโจมตีแต่เรื่อง ปรส. ของพรรคประชาธิปปัตย์เลย เหมือน สมัครกับดุสิตเปี๊ยบเลย ทำให้ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องข้อมูลของคุณหมอแล้วล่ะครับ

จริงๆ ผมจะเถียงกับคุณหมอจนโลกถล่มทลายเลยก็ได้ แต่ผมไม่อยากทำ เพราะผมคิดว่าท่านเป็นผู้ใหญ่และมีหลักการที่ดี อยากจะให้เกียรติท่าน ไม่อยากไล่บี้ เพราะผมไม่มีข้อมูลเท่าท่าน ผมจะสวนเื่รื่องจริยธรรมท่านก็ไม่ยอมรับอีก ท่านคงยอมรับว่า ปล้น ฆ่า และ ข่มขืนเป็นเรื่อง ที่ยอมรับได้กระมัง คำถามที่ผมถาม ท่านก็ไม่ตอบ ตอบแต่เรื่องที่ท่านสวนผมกลับได้ แต่ท่านเล่นตีความทุกอย่างเข้าตามตัวท่านเองหมด กฎหมายก็ตีความเข้าตัวเองหมด ผมสงสัยต้องเปลี่ยนใจ ไม่นับถือแล้ว เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณหมอเข้าข้างใครอยู่ ก็เอาเถอะครับ ประชาธิปไตย เราแสดงกันได้เต็มที่ แ่ต่อย่าหลบในรูเลยครับ

คุณหมอบอกว่า หุ้น กับสัมปทาน มันคนละประเด็น...หุ้นเป็นหลักทรัพย์ เป็นทรัพย์ซึงแลกเปลี่ยนซื้อขายได้อย่างเสรี..เป็นสิทธิและกรรมสิทธิ์ของเจ้าของหุ้น...มันไม่ใช่ขายสัมปทาน เพราะสัญญาสัมปทานยังคงเดิมไม่มีอะไรต้องแก้ไขในสัญญาสัมปทานนั้น....ใครเข้ามาบริหารก็ต้องทำตามสัญญาที่มีอยู่เดิม ตลอดจนภาระของสัญญาที่เกิดขึ้น รวมถึงรายได้ที่ต้องจ่ายให้แก่รัฐ..

สิงคโปร์นี่มันโง่จังเลยนะครับ ที่เข้ามาซื้อ อะไรที่ไ้ร้สาระ จับต้องไม่ได้ด้วยเงินตั้ง เกือบ สองพันล้านดอลลาร์ ไม่มีหลักประกันอะไรเลยด้วย จะโดนยกเลิกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะเป็นประเทศที่พัฒนาเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ ทำไมมันถึงทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ นอกจากว่ามันจะรู้แน่ๆ ว่ามันมี Solid Deal ที่เป็นตัวที่จะ Make sure ว่าทุกอย่างจะ Inplace แล้วก็มีคนมาลดหย่อนภาษีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วก็เอาเปรียคู่แข่งอื่นๆ ในประเทศให้จมทรณีได้เมื่อวาน คุณโภคิน บอกว่าถ้านายกลาออกจะผิดรัฐธรรมนูญ (เด็กๆ แถวนี้ มันหัวเราะก๊ากเลย) แต่นายกเคย(บังอาจ) บอกว่า ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบจะลาออก (ไม่ได้เตี้ยมกันก็แบบนี้ล่ะ) แล้วจะเอายังไงกันแน่ นี่หรือคือ Top Lawyer ของประเทศ

คุณหมอให้ idea ที่น่าสนใจในกระทู้ก่อนนะครับ ด้วยความที่เ็ป็นชาวบ้านก็เลย อยากจะขอความเห็นในเรื่องต่อไปนี้ เท่าที่ได้ข้อมูลจากเพื่อนๆ ที่อยู่ตามต่างจังหวัดในประเทศไทยวันนี้ เรื่องทีเิกิดขึ้น วันนี้

1. ตำรวจตั้งด่านสะกัดรถที่จะเข้ามางานวัน พรุ่งนี้แล้วนะครับ ตรวจอยู่นั่นล่ะ เพื่อนผมมันก็บ้า ดันใส่ผ้าพันคอ กู้ชาติ มันก็ชัดไปหน่อย เลยโดนจับ จ่ายไป 200 บาท แต่ได้เข้ามาแล้ว

2. คนงานที่บ้านมันไม่มาทำงานเมื่อวาน เพราะได้รับเงิน 500 บาท เข้ากรุงเทพ ตอนนี้กำลังเดินทางกลับ แถมบ่นด้วยว่าโดนเบี้ยว เหลือแค่ 300 แล้วที่บอกว่าจะพาไปพัทยาก็ไม่พาไป

3. ที่ AIS เพื่อนผมโดนสั่งให้เขียน ไปรษณีย์ มันไม่เขียน โดนด่าว่าเธอกินเงินเดือนเขาอยู่ มันบอกว่ามันทำงานแลกเงินเดือน ไม่ได้มานั่งให้เงินเดือนเฉยๆ

4. เจ้าหน้าที่ของอำเภอ อย่างน้อย 1 คนนั่งมาทุกๆ คัน

จะหาว่าผมเป็นคนโกหก พกลมหรือเปล่าก็แล้วแต่คุณหมอนะครับ คุณหมอตีความ ตัวเลขยังตีความเข้าข้างตัวเองได้เลยนี่ ผมสงสัยที่ นายกทักษิณพูดเมื่อวานแบบคำต่อคำ เอากองเชียร์นายกแบบ คุณหมอ มาตอบหน่อยก็ดีนะครับ ผมจะได้ความรู้

Quote “วันนี้ไปรษณียบัตรพิมพ์ไม่ทันครับ วันนี้มาแล้ว 5 ล้าน 3 แสนครับ เพราะว่าคนไทยต้องการจะบอกกับทุกฝ่ายว่า ลดราวาศอกกันหน่อยเถอะ ถอยกันคนละก้าว สองก้าวเถอะ”
ข้อสงสัย : เขาสรุปเอาเองหรือเปล่าเนี่ย เขาให้เขียน มาเชียร์ตัวเองแล้วบอกว่า คนไทยต้องการให้ลดลาวาศอก? ไม่เ็ห็นเกี่ยวเลย

Quote “พี่น้องครับ อีกตัวหนึ่งที่พูดกันคือ แอมเพิล ริช พี่น้องครับ ตอนก่อนที่ผมเป็นนักธุรกิจผมจะเอาหุ้นไปขายตลาดหลักทรัพย์ เพราะจะเอาเงินฝรั่งเข้าประเทศ จะเอาเงินฝรั่งเข้าประเทศต้องเอาหุ้นส่วนหนึ่งไปจองไว้เป็นหุ้นต่างประเทศ ถ้าจะจองไว้เป็นส่วนต่างประเทศที่เขาบังคับ 4957 ก็ต้องให้เอา ก็เลยเอาหุ้นไปจดทะเบียนบริษัท แอมเพิล ริช ที่บริติชเวอร์จิ้น ไอร์แลนด์ ซึ่งก็มีสิทธิ์จดกันเป็นเรื่องปกติสำหรับบริษัทที่จะไปค้าขายต่างประเทศ บริษัทที่จะค้าขายต่างประเทศเขาไม่ได้เอาสิทธิทางภาษีในประเทศเพราะหุ้นนี้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยมันไม่เสียอยู่แล้ว”
ข้อสงสัย: สรุปว่าเอาไปจดไว้ที่เกาะที่มี คนไม่กี่หมื่นแต่มีบริษัทจดทะเบียนเป็นแสน ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมาย แล้วไปจดทำไม แล้วใครก็ไม่รู้เคยออกวิทยุบอกว่า คนที่ไปตั้งบริษัทในเกาะพวกนี้พื่อจุดประสงค์ในการหลบเลี่ยงภาษีเป็นพวกที่ไม่รักชาติ

Quote “ประเทศไทยเรามีบริษัทไปจดทะเบียนอย่างนี้เยอะไม่ได้ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น ทีพีไอ ของคุณประชัย ที่เป็นนายทุนม็อบ ก็จดเหมือนกัน ก็จดทะเบียนที่เคแมน” ข้อสงสัย: คนที่ทำไม่ดีก็ต้องทำตามเขาหรือไง ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีน่าจะทำตัวเป็นตัวอย่างของคนในประเทศไม่ใช่หรือQuote: ครอบครัวผมเขาขายทรัพย์สินของเขาไม่ได้เอาของคนอื่นมาขายนะ
ข้อสงสัย: สิทธิในการควบคุมธุรกิจ วงโคจรดาวเทียม ทีวีเสรีของประเทศที่เกิดมาจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แล้วก็จะบบสื่อสารโทรคมนาคมนี่เป็นสมบัติของครอบคัวคุณเองแต่ผู้เดียวเลยหรือเนี่ย

Quote: “แต่ปรากฏว่าตอนระหว่างแก้อยู่นี้ ยูคอม ขายหุ้นให้ฝรั่ง เทเลนอร์ 38 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่กฎหมายยังใช้ 25 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครโวยแฮะ”
ข้อสงสัย: อีกหน่อยเห็นสุนัขอุจจาระกลางถนนก็อาจจะต้องถ่ายตามมันบ้างมั้ง เพราะมันสบายดี ง่ายกว่าเข้าห้องน้ำเยอะ

Quote: “เพราะฉะนั้นพี่น้องครับ อีกอันหนึ่ง เขาว่าผมเป็นฮิตเลอร์ เผด็จการ พี่น้องครับ ฮิตเลอร์มันต้องฆ่าหมู่แน่ะ ไม่ฟังใครเลยนะ ของผมนี่ ชาวบ้านบอกว่า สู้ๆ ผมยังไม่กล้าออกเลย”
ข้อสงสัย: ตายทั่วประเทศ จากการค้ายา 3000 คน ปักษ์ใต้ อีกเกือบๆ พันคน แค่เหตุการณ์ตากใบ ก็ 80 กว่าคน ไม่ถึง 6 ล้าน แบบ ฮิตเลอร์ แต่เอาว่า ไม่น้อยหน้าก็แล้วกัน

Quote: ที่ผมบอกว่าจีดีพีต้องโต 4 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ ทำไมครับ ถ้าจีดีพีไม่โต แสดงว่าการจ้างงานไม่ขยาย แล้วลูกท่านจบการศึกษามาจะไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ
ข้อสงสัย: ไม่มีเขาเถียงเรื่องนี้ เขาสงสัยแค่ว่า GDP นี่มันไปรวมศูนย์อยู่ที่ไหน

Quote: “รายคุณหญิงจารุวรรณ โอ้โฮผมโดนหนัก ผมกับคุณหญิงรู้จักกันดี ไม่เคยมีอะไรบาดหมางหรือต้องขอร้องกันเลย แต่ว่ามันเป็นเรื่องของกลไกทางวุฒิสภา แล้วเรื่องมันหมุนไปหมุนมาแล้วมันหาทางออกไม่เจอ ผมเป็นคนซึ่งเข้าไปกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตทำแบบนี้ แล้วผมก็ทำจดหมายไปถึงประธาน คตง. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน แล้วก็เอาคุณหญิงจารุวรรณกลับไปเป็นผู้ว่าฯ อีกครั้งหนึ่ง ผมเป็นคนเซ็นจดหมายไปเองครับ ถ้าอยากให้กลไกตรวจสอบมันใช้ได้ช่วยกันหน่อย”
ข้อสงสัย: ทำไมรอมาตั้ง 2 ปี ไม่ทำอไร แต่ไปรีบเขียนจดหมายไปให้ คตง. พอเขียนจดหมายไป คตง ก็เปลี่ยนจากมีมติไม่ให้คุณหญิงกลับมาไม่กี่วันก่อนหน้านั้น กลายมาเป็น เอกฉันท์ให้คุณหญิงกลับมาทันที แถมชิงเขียนก่อนที่ ในวังจะมีคำสั่งมาไม่ถึง 24 ชั่วโมง สุดยอดๆ มากๆ

Quote: เอาล่ะ ถ้าหากว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน ถึงวันนี้ ถึงเดี๋ยวนี้ ฟังผมแล้วไม่ยอมใจอ่อน ไม่ยอมลงแข่ง ผม เพื่อต้องการให้พี่น้องได้สบายใจ การจัดซื้อจัดจ้างหลังเลือกตั้งเสร็จ เกิน 100 ล้านขึ้นไป จะมีที่นั่งของกรรมการพิจารณา 1 ที่นั่ง ให้สื่อมวลชนผลัดกันมาเป็นกรรมการได้เลย จะได้สบายใจ ไม่ต้องห่วง มาดูเลย นี่ๆ เปิดให้ดูหมดเลย
ข้อสงสัย: แสดงว่ารู้แน่แล้วว่าจะไม่มีฝ่ายค้านในรัฐบาลชุดต่อไปใช่หรือไม่ ซึ่งก็จะหมายถึงการเป็นรัฐบาลโจ๊ก ใช่หรือไม่ การแข่งขันที่ไม่มีคู่แข่ง จะบอกว่าชนะได้ยังไง

Quote: ท่านจำลอง ไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็บอกกัน ไม่สบายใจโดยไม่ได้คุยกับผมเป็นแน่ เพราะผมไม่รู้ อาจจะลูกน้องผมโทรมา ไม่ได้นัดแนะหรือเปล่า ผมไม่รู้ ถ้ารู้เดี๋ยวเขกกระบาลให้
ข้อสงสัย: เขาส่งจดหมายเปิดผนึกอ่านออกทีวีแล้ว คนเขาดูกันทั้งประเทศ ไม่ได้ดูหรือไง

Quote: พี่น้องครับ ผมอยากจะฝากบอกไปยังพี่บรรหาร พี่หนั่น คุณอภิสิทธิ์ ขอเถอะครับ เห็นแก่บ้านเมือง แล้วปีนี้เป็นปีมหามงคลครับ ลงเลือกตั้งเถอะครับ
ข้อสงสัย: ก็พอเขาจะขอทำสัตยาบันเอาคนกลางมาแต่งตั้งโดยพระเจ้าอยู่หัว คุณก็ไม่เอา พอเขาboycott การเลือกตั้ง ก็ออกมาบอกว่ายอมแล้วทุกอย่าง บอกว่าสัญญาประชาคมใหญ่กว่าสัตยาบัน (ที่จัดการโดยคนที่แต่งตั้งโดยพระเจ้าอยู่หัว) แล้วคุณให้สัญญาประชาคมมากี่รอบแล้ว บอกว่าจะไม่ยุบสภาก็ยุบ บอกว่าจะบอกลูกพรรคก่อนก็ไม่บอก บอกว่าจะแก้ไขรถติดให้ได้ในหกเดือน บอกว่าจะให้มีรถไฟใต้ดินนั่ง 10 บาทตลอดสาย มีอันไหนทำได้บ้าง? ตอนนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าต่อให้ตั้งรัฐบาลได้ก็จะเป็นเรื่องตลก จะมีประโยชน์อะไรถ้า

Quote: แล้วถ้าหากว่า กกต.ไปพิจารณาเลื่อนเวลารับสมัครเมื่อไร ผมไม่ขัดข้องเลย แล้วแต่ครับ เป็นอำนาจของ กกต. จะไม่ขัดข้องคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น
ข้อสงสัย: นี่มันก็ชัดๆ อยู่แล้วว่า ใครเป็นขาใหญ่ ที่จะสั่งองค์กรอิสระได้

Quote: วันนี้พี่น้องครับช่วยแสดงพลังหน่อยเถอะ แสดงว่า คนไทยทั้งประเทศอยากเห็นความรัก ความสามัคคี อยากเห็นประชาธิปไตย ใช่ไหมครับ ถ้าใช่พี่น้องครับ ส่งไปรษณียบัตรมายังตู้ ปณ.888 ทำเนียบรัฐบาล ส่งมาแสดงพลังให้รู้ว่า เราต้องการให้ชาตินี้อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ต้องการให้มีการฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งต้องการเห็นแต่สันติ ใช่ไหมครับ
ข้อสงสัย: ตอนที่บอกให้ส่งไปรษณีย์ ก็บอกว่าไม่อยากให้คนมาลำบาก แล้วก็เปิดปราศัยวันที่สามทำไม ให้คนเขามาลำบากทำไม ไหนบอกว่าไม่อยากให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย แล้วนี่กฎอะไรที่ท่านทำ ไหนบอกพวกผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยให้อยู่ในกฎระเบียบ อย่าทำให้ประชาชนเืดือดร้อน แต่วันนี้ทำไมทำรถติดเสียบาน?

Quote: ผมก็อยากจะให้เพื่อนสนธิ มาคุยกันหน่อย หรือให้ผมไปกินข้าวที่บ้านพระอาทิตย์ก็ได้ มีอะไรไม่สบายใจ คุยกันเลย หันหน้าเข้าหากันเถอะ
ข้อสงสัย: วันนี้คือเพื่อนสนธิ วันก่อนหน้านี้บอกว่า พวกใช้อารมณ์ อิจฉา เสียผลประโยชน์ ออกมาเห่ามาหอน พอผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามถึงสนธิ ก็บอกว่าไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่วันนี้คือเพื่อนสนธิ จะไปกินข้าวที่บ้านพระอาทิตย์ด้วย สุดยอดจริงๆ ท่านนายก

Quote: ส่วนท่านเสนาะ ถึงขนาดจะให้ผมแขวนคอผมเลยเหรอ โหย พี่เหนาะเอ๋ย ใจร้ายกับน้องขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ขนาดผมยังไม่ใจร้ายกับลูกน้องพี่เหนาะเลย ลูกน้องพี่เหนาะ วังน้ำเย็น ที่ด่าผมเนี่ย ผมส่งลงหมด ผมให้อภัยหมดแล้ว เพราะผมต้องการความเป็นหนึ่ง
ข้อสงสัย: ก็วันนี้ท่านมีคนลงพื้นที่ได้กี่คนกันล่ะครับ ไม่ส่งคนเก่าแล้วจะส่งใคร ท่านมีคนพอจะกระจายทั้งประเทศหรือเปล่า จะเป็นรัฐบาล 500 เสียงแล้วนะพร้อมมั้ย ภูมิใจมั้ย

Quote: พี่น้องครับ รถไฟฟ้า 300 กิโลเมตร 10 สายทาง จะเริ่มก่อสร้างปลายปีนี้ ประเทศซึ่งเพิ่งมีปัญหาวิกฤติไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่กล้าบอกว่าจะสร้างรถไฟฟ้า 5 แสนล้าน
ข้อสงสัย: จะเอาให้กรุงเทพเป็นอัมพาตไปเลย สามปีใช่มั้ย สร้างพร้อมกันหมดเนี่ย แล้วค่าโดยสารที่บอกว่า 10 บาทตลอดสายตอนหาเสียงอยู่ไหนครับ

Quote: ผมจะเปลี่ยนรถเมล์แอร์ 2,000 คัน ใช้แก๊สเอ็นจีวีทั้งหมด ติดแอร์ให้หมด
ข้อสงสัย: เอาให้ประตูปิดได้สนิท แล้วก็ดูแลสวัสดิการของพนักงาน ขสมก ให้ดีเพื่อที่ ให้เขาดูแลผู้โดยสารได้ดีก่อนดีมั้ยครับ แล้วรถธรรมดาจะยกเลิกหรือ คนจนทำยังไงดีละเนี่ย ขึ้นครั้งละตั้ง 12 บาทนะ หรือว่าจะสัญญาว่า 3 บาทตลอดสาย แบบรถใต้ดิน?

Quote: ลูกหลานครับ ลูกหลานทั้งหลาย ลูกที่ท่านเรียนจะเข้าประถม ตั้งแต่ปีการศึกษา 2550 ท่านจะเข้าโรงเรียนประถม ผมจะให้ลูกประถม 1 ของท่านนี่ล่ะ ถือคอมพิวเตอร์ไปโรงเรียน เอามั้ย เท่ห์มั้ย
ข้อสงสัย: เอาให้ทุกบ้านมี มีน้ำกิน มีข้าวกิน มีไฟฟ้าใช้ ก่อนดีมั้ยครับ แล้วบริษัทที่จะได้โครงการนี้ไป เป็นบริษัทไหนน้า

Quote: ผมไม่อยากให้เรื่องของบ้านเมืองเป็นเรื่องอารมณ์ครับ ผมอยากให้เป็นเรื่องของสติและปัญญาครับ ผมจึงได้ขอให้อธิการบดีของมหาวิทยาลัย 137 แห่งทั่วประเทศ ให้ไปทำวิจัย จะไปทำเดี่ยวของมหาวิทยาลัยเดียวหรือว่าจะเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยก็ได้ เพราะอยากให้มีศาสตร์แห่งวิชามาตอบรัฐธรรมนูญไม่ใช่ใช้อารมณ์
ข้อสงสัย: ใครกันที่เวลาตอบคำถามผู้สี่อข่าวใช้อารมณ์มากที่สุด ใช้คำหยาบมากที่สุด ทั้งหมดที่พูดมา ไม่ได้ตอบเลยคือเรื่องการยุบสภาว่ายุบทำไม ทั้งๆที่สภาไม่ถึงทางตัน ไม่มีปัญหาในการออกกฎหมาย ไม่มีปัญหาเสียงปริ่มน้ำหายใจไม่ได้ บอกแต่ว่ายุบสภาแล้วดี แปลกจัง จะเป็นเจ้าภาพแก้รัฐธรรมนูญทั้งๆ ที่ตัวเองมีข้อกังขาเยอะแยะมาก แถมจะแก้เองโดยไม่มีพรรคการเมืองหลักอื่นๆ และภาคประชาชนเข้ามาแก้ด้วย มีแต่พรรคตัวเองกะพรรคเล็กๆ อื่นๆ สัญญาไว้แล้วนะว่าถ้าแก้เสร็จจะจัดการเลือกตั้งเลย ดูซิว่าจะรักษาสัญญาหรือเปล่า มีอะไรรักษาสัญญาได้บ้างตั้งแต่เป็นนายกมา

คุณหมอเป็นกองเชียร์ ช่วยบอกผมด้วย เออ คุณหมอครับ กกต นี่เขาต้องเลือกกันภายใน 45 วันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมตายไปตั้งนานแล้วยังไม่เลือก แล้วพอไม่เลือก มาแทนแล้ว มันจะทำหน้าที่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีหรือครับ หรือว่า ตายไปก็ช่าง ไม่มีบทลงโทษหรือบทสังให้หยุด ตายไปอีกสักคนเหลือ สามคนก็ได้ จะได้เป็นไม่น้อยกว่า สี่ในห้าของที่มีอยู่ซึ่งก็คือ 2.4 คน เขาบอกว่า “ไม่น้อยกว่า” แต่คุณก็ปัดลง มันแต่ไปยึดกับคำว่า “ที่ีมีอยู่” เพื่อเข้าข้างตัวเอง ไมทราบว่า จะนับเป็นยังไงก็แล้วแต่คุณหมอจะตีความละกันนะครับ ท่านตีความได้ ประหลาดมาก ผมว่า

ถ้าเรื่องกฎหมายขายชาติเป็นวาระแห่งชาติที่หยุดไม่ได้ แล้วทำไมนายกเขาเอามาเป็นนโยบายละครับนี่ ว่าจะแก้? คุณหมอสรุปเองเลยว่าเป็นวาระแห่งชาติไปแล้ว ก็นี่เป้นอีกครั้งที่ ไม่รักษาสัญญา ซึ่งสำหรับนายกคนนี้ก็เ็ป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ทำไมเวลานายกบรรยายนี่ ถ่ายทอดสดออกทีวีนานมาก แต่ไม่เคยเห็นพันธมิตรประชาธิปไตย ช่องเก้าเลย มีแต่สะเก็ดข่าว หรือคุณหมอจะบอกว่าก็ได้ออกเห็นเหมือนกันแล้ว ก็แล้วแต่นะครับ ผมไม่เคยเห็นพันธมิตรได้ออกด้วยความยาวเท่ากันเลย แล้วไหน จะมี Casualties ในวงการข่าวที่โดนไล่ออก บางคนอย่างพี่บุญยอดผมก็รู้จักดี โดนเด้งเลย

แล้วไหนว่าไม่เคยคุกคามสื่อ แล้วตกลงปราศัยในนามพรรคไทยรักไทยนี่ ใช้ทีวีของรัฐได้เต็มที่ ฟรี เพื่อผลประโยชน์ของพรรคได้ใช่หรือไม่ รถ 3000 กว่าคัน เงินหัวละประมาณ 500 อาหาร น้ำดื่ม พร้อม จัดโดย นายห้อย และนายตู้เย็น รวมบิลออกมาร้อยกว่าล้านมั้ง เด็กๆ ผมมีตั้ง 73,000 ล้าน จะรอคำตอบนะครับ คุณหมอผู้ปราดเปรื่อง

อย่าโกรธว่าผมถามคำถามซ้ำเลยนะครับ ผมมันพวกย้ำคิดย้ำทำ อ้อ อย่าลืมสามคำถามของผมนะครับ

1. คุณหมอเคยช่วยทำงานให้กับ สมาคม อาษาหรือไม่ครับ น่าจะมาช่วยกัน อย่าเอาแต่ด่าเขาอย่างเดียวเลยนะครับ เขาอยากได้คนช่วยมากๆ เลยโดยเฉพาะคนเก่ง มีความสามารถ และมี “ความคิดที่แตกต่าง” อย่างคุณหมอ

2. นักวิชาการที่คุณหมอบอกว่า ทราบความจริง ทำไมตอนนี้ผมเห็นมีแต่คนออกมาไล่นายกละครับ คนที่เชียร์อยู่ไหนน้า ขอชื่อเสียงของนักวิชาการที่คุณหมออ้างสักคนได้หรือไม่ครับ ไม่ต้องมาบอกว่า วิษณุ บวรศักดิ์ หรือ โภคินนะครับ อันนั้นผมรู้แล้ว

3. คุณหมอมีความ “รู้สึก” อย่างไรกับเรื่อง ประเด็นการไม่ต้องเสียภาษีของครอบครัวท่านนายกครับ หรือท่านว่า ก็ตามกฎหมาย ผมคงไม่เถียงท่านนะครับ ได้เงินมา 70,000 ล้าน ไม่ต้องเสียสักบาท แต่คนได้เงินช่วยเหลือเยียวยาที่ปักษ์ใต้ต้องเสียภาษ๊ อาจจะัฟังดูยุติธรรมกับคุณหมอนะครับ เพราะมัน “ถูกกฎหมาย” ใช้มั้ยครับแถมอีกข้อ

4. คุณหมอคิดว่าคนที่จะเป็นผู้ำนำของประเทศควรจะเป็นคนที่เป็นตัวอย่างที่ดี เป็น Model Citizen ที่คนควรทำตามหรือ หาช่องทาง ในระบบของกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวให้มากที่่สุด เหมือนคนในสังคมคนอื่นๆ ที่อ้างว่าเขาทำ ตัวเองก็ทำได้เหมือนกัน ?

5. คนที่พูดตอนเช้าอย่าง เย็นทำอีกอย่าง ควรจะเป็นผู้นาของประเทศเราหรือเปล่า?

6. คุณหมอคิดว่า คนเราควรมีศักดิ์ศรีมั้ยครับ คนเราควรแหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดินมั้ยจริงๆน้า อยู่ต่อหน้าวัดพระแก้ว น่าจะสาบานว่าถ้าโกงบ้านโกงเมือง จะให้มีอันเป็นไป จะได้เห็นๆ เลยเวลาบอกว่า ให้รอชาติหน้า มันอาจจะไม่ได้ช้านะครับ ชาติหน้าที่บอกว่าจะยุบสภาก็มาถึงแล้วเมื่อ ไม่ถึง สองอาทิตย์ที่ผ่านมาจะตอบเรื่องกฎหมาย ตีความเข้าข้างตัวเอง แบบที่ท่านถนัดก็ตอบมานะครับ ผมเป็นคนธรรมดา

ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องกฎหมายหรอก แต่ผมคิดว่า จิตสำนึกและ “จริยธรรม” ที่ท่านไม่เห็นว่ามีความสำคัญ นั่นล่ะ คือสิ่งที่ผมจะยึดมั่นไปจนตาย ซึ่งคงต่างกับท่านละครับ เพราะท่านคิดว่า มัน “ตีความได้”ไม่ฆ่า ไม่ปล้น ไม่ข่มขืน ถ้าท่านคิดว่า สามอย่างนี้ เป็น อัตตา ตีความกันได้ ก็แล้วแต่ท่านนะครับ

ยงยุทธ มาแล้ว วันนี้ 7 มีนาคม 2006

ตามคำพูดก็ออกมาอีกแล้ว หาว่าไร้ความเป็นธรรม บอกว่าสื่อพยายามสร้างกระแสให้คนเกลียดรัฐบาล รัฐบาลถูกรังแก แค่ช่องเจ็ดออก Frame เล็กๆ ข้างจอทีวี ก็หาว่าเขาสร้างกระแส ทีตัวเองออกทีวี วันที่สาม อลังการ ไม่เป็นไร? ใส่ร้ายพวกพันธมิตรกระจาย ผมทำได้ ถูกต้อง (ใช้ช่องทีวีของประชาชนหาเสียงให้พรรคการเมือง)


พี่บุญยอด สุขถิ่นไทย ที่ผมรู้จักเป็นการส่วนตัว เพราะเป็นลูกศิษย์ของคุณพ่อผม ก็โดนเด้งเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากอะไรสักอย่าง ตอนนี้ก็ต้องไปจัดรายการกับพันธมิตรประชาธิปไตย กลางท้องสนามหลวง


นายกวันนี้บอกว่า สื่อไม่ Fair กับผม ผมไม่มีพื้นที่จะอธิบาย สื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง เล่นตามกระแส ผมมาแบบประชาธิปไตย ต้องไปแบบประชาธิปไตยเท่านั้น


พูดเองคนเดียวมาห้าปี ดันบอกไม่มีพื้นที่เลย สักเดี๋ยวเวลามาออกรายการพบสื่อ ตอบคำถามแบบสติแตก พอนักข่าวถามคำถามเด็ดๆ จน "ดาวพุธถอยหลัง" แล้วก็เลิก ไม่ยอมตอบคำถามอะไรเลย ไปจัดรายการพูดคนเดียวเหมือนเดิม ทีวีของรัฐก็มีเยอะแยะทำไมไม่เดินไปออก ชี้แจงมาให้หมดสิ คำถามทั้งหลายแหล่
แล้วคนเขามาทำอะไรนอกจากมาชุมนุมตามกฎหมาย เขาเอาปืนไปขู่ให้คุณลาออกหรือ?
นับถอยหลังกันหน่อย สาวกมารทั้งหลาย นายเหนือหัวของท่าน บ้าไปแล้ว:D
อ้อ ใครอยากลดน้ำหนักโดยใช้วิธีอ้วกเอาอาหารที่กินเข้าไปออกมาลองใช้ เพลงจาก website นี้นะครับ
www.thairakthai.or.th/thank.mp3

Sunday, February 26, 2006

ทักษิณ VS สนธิ

(เขียนลงหนังสือพิมพ์ Thai Nevada Post เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2006)

ท่านผู้ชมที่อยู่ในต่างประเทศได้ดู TV ไทยกันบ้างหรือเปล่าครับ

ถ้าท่านชม ไม่ว่าจะด้วย Box แบบไหนก็ตาม ท่านก็น่าจะได้รับชมอย่างน้อยช่อง 3-5-7-9-11 และช่อง ITV ใช่มั้ยครับ

ทุกวันนี้เทคโนโลยีของโลกเราเจริญก้าวหน้า คนไทยที่อยู่ในเมืองนอกไม่ได้รู้สึกเลยว่าห่างไกลบ้าน เพราะ ได้รับรู้อะไรทุกๆอย่างจากทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและอินเตอร์เน็ท

แต่ไม่ทราบว่ามีพี่น้องคนไทยที่ชมช่อง 3-5-7-9-11 และ ITV ได้ชมการเสนอข่าวเรื่องการชุมนุมของประชาชนประมาณ หมื่นหว่าคนที่สวนลุมพินีบ้างหรือไม่ ?

การชุมนุมที่ว่านี้ ถ้าหากเป็นที่หน้าทำเนียบ ก็ต้องถือว่าเยอะนะครับ เพราะปกติเกษตรกรที่มาชุมนุหรือที่เราเรียกว่า ม็อบ นั้น มาเป็นหลักพัน พอให้นักข่าวถ่ายรูปได้ ก็แย่แล้ว

แต่นี่เป็นหลักหมื่น และกลุ่มผู้ที่มาชุมนุมก็ไม่ใช่เกษตรกร แต่เป็นชาวบ้่าน มากจากทั่วประเทศ วัยเล็กถึงวัยชรา ตั้งแต่ อาซิ้ม อาม้า อาแป๊ะ มาจนถึง วัยรุ่นจบนอก
ตั้งแต่คนเรียบจบ ป สี่ไปจนถึง คนจบปริญญาเอก

คนพวกนี้เขามาทำอะไรกันที่สวนลุม วิรุฬห์ก็จะอธิบายต่อไปนะครับ เอาเ็ป็นว่า บอกตรงนี้ก่อนก็แล้วกันว่า นี่เป็นการชุมนุมทาง “การเมือง”
โดยในงานแห่งนี้ มีป้ายตัวอักษรใหญ่ที่สุด ที่อ่านได้คือ
“เอาประเทศไทยของเราคืนมา”

แต่ต้องถามอีกทีว่า มีช่องไหนบ้างที่ถ่ายทอดข่าวนี้?

ไม่มีหรอก

ประหลาดมั้ยครับ? ข่าวของการชุมนุมทางการเมืองที่มีผู้คนหลากหลายมาชุมนุมเป็นหลัีกหมื่น แต่ไม่มีช่องโทรทัศน์แม้แต่ช่องเดียวมาถ่ายทอดทีวีเลย

ทั้งๆ ที่ศุกร์หน้า อาจจะมีคนมาชุมนุมถึงห้าหมื่นคนด้วยซ้ำ !!

มันเกิดอะไรกันขึ้น?

ถ้าจะพูดถึงคำตอบ ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 เดือน 9 เวลา 9:00PM ณ ช่อง 9 อสมท (นี่เรื่องจริงนะครับ ไม่ใช่นิยาย ตัวเลขแบบนี้)ของปีนี้ โดยมีรายการหนึ่ง ที่เป็นรายการวิจารณ์เหตุการณ์บ้านเมืองชื่อว่า “เมืองไทย รายสัปดา์ห์” โดยออกอากาศ ก่อนรายการ “ถึงลูกถึงคน” ของคุณสรยุทธ สุทัศนจินดา อันลือลั่น

รายการเมืองไทยรายสัปดาห์นี้ ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ โดยจะนำประเด็นข่าวที่สำคัญของทั้งในและต่างประเทศ มาวิจารณ์ โดยเชื่อมโยงกับบริบทของสังคมไทย วิธีการดำเนินรายการคือ นางสา่วสโรชา พรอุดมศักดิ์ จะเป็นผู้นำคำถามจากทีมงาน เข้ามาถาม และนายสนธิ ลิ้มทองกุล จะเป็นผู้วิเคราะห์และทำการวิพากษ์วิจารณ์

สองคนนี้เป็นใคร ก็อยากจะขอแนะนำคนที่แนะนำได้ง่ายๆ ก่อนก็คือ นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นผู้หญิงทำงาน ความสามารถสูง ในวัย ยี่สิบปลาย เคยทำงานเป็นสื่อมวลชลมาในต่างประเทศในหลายๆ ประเทศ มีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ถึงขนาดที่ บริษัท รถไฟฟ้ามหานคร หรือรถไฟใต้ดิน นำเสียงของเธอไปบันทึกเพื่อ เป็นเสียงบอกสถานี

สำหรับ สนธิ ลิ้มทองกุลเป็นใคร ก็คงจะต้องพูดกันยาวสักเล็กน้อย สนธิ ลิ้มทองกุล ปัจจุบันอยู่ในวัยใกล้ หกสิบปี เป็นผู้ที่ทำงานเป็นสื่อมวลชนมาร่วมๆ สามสิบปี เคยทำนิตยสาร และ่สร้างธุรกิจสื่อ ร่วมกับเพื่อนฝูง โดยใช้วิสัยทัศน์ ของวิชาประวัติศาสตร์และการวิเคราะห์กระแสโลก มาสร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเอง มีการซื้อบริษัท โรงพิมพ์ ดาวเทียม และกิจการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในอเมริกา หรืออังกฤษ นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ เอเชียไทมส์ ซึ่งเป็นเหมือนกับ Times ของโลกตะวันออก ได้รับการยกย่องจากทั้งคนในวงการสื่อ และธุรกิจทั่วโลกว่าเป็น “Media Mogul of Asia” มีเงินเป็นพันๆล้าน กลายมา เป็นมหาเศรษฐีและนักธุรกิจสื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย อันเนื่องมาจากสิ่งทีืทุกๆคนทราบกันว่า ถ้าจะล้มรัฐบาลไหน ถ้าให้สนธิร่วมด้วย ล้มได้แน่ แต่คนที่ใกล้ชิดทุกๆคนก็ทราบกันดีว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนที่ รักในวิชาชีพสื่อมวลชน และจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอย่างยิ่ง ถ้าจะเรียกกันในแง่ของประเทศไทยก็คือ เป็น Democratist/Royalist อย่างสุดโต่ง

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ที่เกาะติด technology และค่อนข้างจะตอบสนองต่อความก้าวหน้าตรงนี้ได้เร็วกว่า คนอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจสื่อ โดยนับตั้งแต่ได้ก่อตั้งเครือ “ผู้จัดการ” ก็มีการ เช่าดาวเทียม สร้างระบบข่าว online และทำกิจการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง ASTV ของตัวเอง โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับสัมปทานโครงข่ายของรัฐ ทำให้เป็นกลุ่มธุรกิจสื่อหนึ่งในจำนวนไม่กี่กลุ่มในประเทศไทย ที่ปราศจากความสัมพันธ์กับรัฐอย่างสิ่นเชิง และในปัจจุบัน เว็ปของหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ http://www.manager.co.th/ ก็เป็นเว็บข่าวไทยที่มีคนเข้าชมมากที่สุด และได้รับการยกย่องว่ามีข่าวหลากหลายและจัดการระบบได้ดีที่สุดเช่นกัน

ย้อนกลับมาที่ รายการเมืองไทยรายสัปดา์ห์ วันที่ 9 เดือน 9 อีกที

รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ก่อนหน้านี้ เป็นรายการที่จัดกันมาติดต่อกัน โดยไม่มีปัญหาอะไร โดยในช่วงแรกๆ นั้น นายสนธิ ก็วิจารณ์สนับสนุนรัฐบาลมาโดยตลอด แต่ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทิืศทางไปทีละน้อยๆ โดยเฉพาะเมื่อหยิบยกประเด็นที่สำคัญขึ้นมาทีละประเด็นๆ โดยหลักๆ แบ่งเป็น สี่ประเด็นก็คือ

ประเด็นสมเด็จพระสังฆราช สองพระองค์ - โดยปัญหานี้มาจากการจัดการของนาย วิศณุ เครืองงาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ีมีการออกมาแถลงว่า สมเด็จพระญาณสังวรณ์ พระสังฆราชของประเทศไทย นั้นมีพระอาการประชวร และให้รัฐบาลใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช โดยให้สมเด็จวัดศระเกศดำรงตำแหน่งแทน โดยที่มีหลักฐานแล้วว่าสมเด็จพระญาณสังวรณ์ นั้น ไม่ได้ทรงพระประชวรจริง และไม่ได้มีจดหมายยอมรับการแต่งตั้ง จากสมเด็จพระญาณสังวรณ์จริงๆ แล้ว นายวิศณุ เอาความชอบธรรมในการตั้งมาจากไหน
ประเด็นคุณหญิงจารุวรรณ หัวหน้าสำนักงานผู้ตรวงเงินแ่ผ่นดิน - คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน นั้นเป็นตำรวจต่อต้านการคอรัปชั่นในวงราชการโดยดูเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง คุณหญิงจารุวรรณเป็นที่รู้จักกันดีว่า ทำงานอย่างเฉียบขาด จนเป็นที่เกรงกลัวของข้าราชการและนักการเืมืองที่ “กิน” กันจนเคยตัว แต่แล้วเมื่อคุณหญิงทำงานมา 1 ปี กลับโดน วุฒิสภา vote ให้ออกจากตำแหน่ง เพราะอ้างว่าการแต่งตั้งไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากว่าทำไมพึ่งมาถอดตอนนี้ และมีการขุดโดยนายสนธิว่า วุฒิสภาซึ่งสมควรจะมีอิสระ กลับมีบุคคลที่มีความน่าสงสัยว่าจะมีผลประโยชน์กับรัฐบาล เลยเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น เพราะเหมือนกับว่า รัฐบาลไปดึงให้วุฒิสภาถอดคุณหญิง จะได้ปลอดภัยจากการถูกดำเนินคดี โดยเฉพาะคดี คอรัปชั่น สนามบินสุวรรณภูมิ และที่เป็นเรื่องสะเืืทือนแผ่นดินก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เลื่อนขั้นคุณหญิงจารุวรรณหนึ่งขั้น และไม่พระราชทานรับรองชื่อของประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ ที่ชื่อนายวิสุทธิ์ มนตรีวัฒน์ จนนายวิสุทธิกดดันมากจนถึงขนาดต้องลาออกไปเอง และก็กลายเป็น Dead lock จนทุกวันนี้ เกิดกระแสการวิเคราะห์เรื่องพระราชอำนาจขึ้นมา (ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังนะครับ)
ประเด็นการแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจ โดยเน้นกรณี การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย - ราคาน้ำมันแพงลิ่ว คนไม่มีจะกิน ต้องหาเงินเติมน้ำมัน แต่ ปตท กำไร แสนกว่าล้าน และได้รับการ vote เป็นบริษัททำกำไรอันดับหนึ่งของทวีปเอเชีย นายสนธิ ก็สงสัยว่าในเมื่อเป็นองค์กรของรัฐ ทำไมไม่ลดกำไรกันเพื่อช่วยเหลือประชาชนบ้าง และก็เกิดความน่าสงสัยว่า หลังจากมีการแปรรูปแล้ว ปตท ทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรอย่างเดียว และใน หุ้น 30% ที่แปรไปให้เอกชนนั้น สัดส่วนใหญ่ที่ผู้ถือหุ้นนั้นเป็น “norminee” หรือ ตัวแทน โดยที่ไม่มีการเอ่ยชื่อคน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นมาซื้อ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคือ นักการเมืองในประเทศไทยนั่นเอง (30% ของ แสนล้านนี่ ท่านผู้อ่านคิดกันเองเอานะครับ) โดยนายสนธิ ระบุว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ กำไร แทนที่จะมาช่วยชาติกลับต้องเอาไปแบ่งให้เอกชน และการแปรรูปนี้ ก็ไม่ได้มีการพัฒนาองค์กรแต่อย่างใด กรรมการชุดเดิม โครงสร้างเดิม ไม่ีีมีการลงทุนเพิ่ม มีแต่การใหุ้หุ้นเอกชนไปถือ
ประเด็นการทุจริตทั่วไปในวงรัฐบาล โดยเฉพาะ กรณีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - อภิมหารับประทานมานับศตวรรษกับโครงการนี้ อย่างที่หลายๆ ท่านรู้ๆ กัน โดยที่คนที่รู้เรื่องมากที่สุดเกี่ยวกับการโกงก็คือ คุณหญิงจารุวรรณที่โดนปิดปาก นายสนธิ ก็ไ่ม่ได้ทำอะไรมาก เอาข้อมูลที่คุณหญิงมีมาออกทีวี แค่นั้นเอง

หากคิดว่านี่คือนิยายกำลังภายใน และคำถามทั้งสี่หัวข้อคือ กระบวนท่าในวิทยายุทธแล้วละก็ ต้องนับว่าเป็นกระบวนท่า “รุก”

รัฐบาลเจอไปสี่กระบวนท่านั้น ก็ถึงกับเสียกระบวน ปัดป้องเป็นพัลวันไม่เป็นท่า

ที่วิรุฬห์วิเคราะห์แบบนี้ก็เพราะ่ว่า ทั้งสี่ประเด็นนั้น รัฐบาลไ่ม่ตอบคำถามโดยตรง ใช้วิธีเฉไฉ

คำว่ารัฐบาลนั้น ก็ต้องมีการ ระบุให้ชัดเจนว่าคืออะไร รัฐบาลในปัจจุบัน คือรัฐบาลพรรคเดียวของพรรคไทยรักไทย โดยมีที่นั่งในสภา 377 เสียงจาก 500 เสียง มีอำนาจเด็ดขาด ฝ่ายค้านไม่มีเสียงมากพอที่จะ ตั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีได้ โดยคณะรัฐมนตรีที่มาจากพรรคไทยรักไทย ทั้งหมดนั้น เป็นคณะรัฐมนตรีที่ถูกเปลี่ยนเป็นว่าเล่น โดยคนที่ีมีอำนาจในการตัดสินใจทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือ “พันตำรวจโท ด๊อกเตอร์ ทักษิณ ชินวัตร”

ดังนั้นการตั้งคำถามๆ รัฐบาล ก็คือการตั้งคำถาม ถามนายกรัฐมนตรีคนนี้โดยตรงนั่นเอง

ทีนี้ กลับมาที่ กระบวนท่า เฉไฉ ก็มีรายละเอียดดังนั้น

ประเด็นพระสังฆราช - ผมไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของมหาเถระสมาคม
ประเด็นคุณหญิงจารุวรรณ - รัฐบาลไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของวุฒิสมาชิก
ประเด็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ - ต้องแปรเพราะเราต้องแข่งขันในโลกทุนนิยม
ประเด็นทุจริตสนามบินสุวรรณภูมิ - ไม่มีทุจริตแน่นอน

สำหรับวิรุฬห์แล้ว ท่านนายกไม่ชี้แจง หรือนำหลักฐานมาหักล้างกระบวนท่าของนายสนธิเลย สิ่งที่ท่านทำคือ ป้ดป้อง

สนธิก็ได้ถามคำถามเหล่านีืมาตลอด แล้ววันที่ 9 เดือน 9 นั้น เกิด อะไรขึ้น เรื่องของเรื่องก็คือ สนธิ ได้ออกกระบวนท่า ที่รุนแรงมาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกระบวนท่า “แลกชีวิต” อันเป็นท่าที่ ในวิทยายุทธจีนก็เรียกได้ว่า เสี่ยง แต่อานุภาพสูงสุด เพราะเอาชีิวิตเข้าแลก โดยกระบวนท่าีนี้มีชื่อว่า “พ่อของแผ่นดิน-ลูกแกะหลงทาง”

โดยนายสนธิ ได้หยิบยก ถ้อยคำที่ีมีการ post ไว้บน website ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ มาอ่านออกอากาศ ดังนี้

(กอง บก ช่วยลงเนื้อหาตรงนี้ เน้นตัวใหญ่นะครับ-)

“พ่อมีความรักอันอบอุ่นให้ลูกเสมอ พ่อไม่เคยเกรี้ยวกราด ด่าทอลูกว่าโง่ เวลาพ่อจะบอกลูกถึงปัญหา พ่อมักมีแง่คิดดีๆ มีนิทานแฝงคติให้ลูกได้นำไปคิดเสมอๆ ซึ่งเมื่อลูกๆ ได้คิด ก็จะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น พ่อมักเตือนให้ลูกๆ แปรงฟันก่อนนอนเพื่อฟันจะได้ไม่ผุ แต่ลูกๆ ก็มักจะคิดได้หลังจากที่ต้องถอนฟันไปซี่แล้วซี่เล่า พ่อมักบอกให้เราซื่อสัตย์ทำงานหนัก เพื่อที่เราจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีตามอัตภาพ พ่อไม่เคยบอกให้เราต้องร่ำรวยเพื่อจะมีความสุข พ่อมักบอกเสมอๆ ว่าเรามีความสุขได้ตามอัตภาพโดยไม่ต้องร่ำรวย พ่อที่มีลูกๆ ของท่าน 60 กว่าล้านคน ไม่เคยคิดที่จะยอมขายลูกของตัวเอง เอาเปรียบลูกของตัวเอง เพื่อฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้แต่พาหนะเดินทางของพ่อ รองเท้าเก่าๆ ของพ่อก็ยังคงมัธยัสถ์ทะนุถนอม ใช้ของเดิมๆ เมื่อชำรุดก็ให้คนเอาไปซ่อม ไม่เคยคิดแม้แต่จะไถเงินจากลูกครั้งละ 40 สตางค์ เพื่อความมั่งคั่งส่วนตัวของพ่อเอง พ่อมักบอกกับลูกเสมอๆ ว่าเราต้องก้าวไปพร้อมๆ กัน ถ้าลูกคนโตสบายอยู่คนเดียว ในขณะที่ลูกๆ อีก 60 กว่าล้านคนต้องลำบากต้องโดนเอาเปรียบ

โดยการเปลี่ยนแปลงพี่น้องให้เป็นทาส มอมเมาพี่น้องด้วยเงินทอง โทรศัพท์มือถือ การพนัน ไม่ถือเป็นการพัฒนา พ่อบอกว่าให้ลูกๆ เลือกตัวแทนมาทำงาน มาบริหารครอบครัว โดยมีเป้าหมายเพื่อความสุขสูงสุดของลูกๆ ทุกคน ไม่ใช่เพื่อกำไรสูงสุดของครอบครัว แต่เพื่อความสุขสูงสุดของครอบครัว ภายใต้เงื่อนไขที่มีอยู่มากมาย ทั้งภายในบ้าน และรอบๆ บ้าน แต่มีลูกที่ดื้อรั้น หยิ่งผยองอวดดี ที่บังเอิญสวมหนังลูกแกะ และคุณธรรม คิดวัดรอยเท้าพ่อ ใช้พี่น้องคนอื่นๆ ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบางคนก็รู้และสมยอมเพราะพี่ชายคนโตมีท่าไม้ตายคือ เงินฟาดหัว จากลูกๆ ที่เป็นแกะดำเพียงไม่กี่คน ลัทธิรวยแล้วโก้ รวยแล้วเท่ รวยแล้วกร่าง ก็เริ่มแพร่หลายในสังคม จากลูกแกะเซื่องๆ ที่มาจากศรัทธาของพี่น้อง ไหว้แม้แต่พี่น้องที่อาศัยอยู่ข้างถนน กลายเป็นคนใจร้อนกำแหง เกรี้ยวกราดกับทุกคน จากคนเดิมๆ ที่พ่อยอมให้เข้ามาบริหารครอบครัวแม้มีความไม่โปร่งใสเรื่องทรัพย์สิน จากผู้นอบน้อม กลายเป็นศาสดาซึ่งมอบความกลัว ความเกลียดชัง การลบหลู่และข้อกล่าวหาว่าโง่แก่พี่น้องทุกคนที่เห็นตรงกันข้าม กลายเป็นศาสดาที่กำแหงถึงขนาดกล้าชี้ผิดชี้ถูก รุกคืบในสิทธิมนุษยชนของพี่น้องคนอื่นๆ เข้าไปถึงในความคิด ในวิถีชีวิตของพี่น้องอีก 60 ล้านคน จากผู้ที่ดูเหมือนจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง กลายเป็นบุคคลปริศนาที่ไม่ยอมตอบคำถามใดๆ กลัวการตอบคำถาม และยึดครองสมบัติของครอบครัวเป็นของตนแต่ผู้เดียว พ่อบอกว่าพ่อเกลียดคนโกง ลูกแกะหลงทางบอกว่า ไม่ต้องตรวจสอบผมรับประกัน ผมใหญ่ที่สุดแล้วในครอบครัว ถ้าใครมีปัญหาระวังจะไม่มีงานทำ พ่อบอกว่านี้คือลูกที่ดีของฉัน ลูกชายผู้หลงผิดบอกว่าต้องขับออกจากพรรค พ่อบอกว่าเราควรมีเศรษฐกิจแบบพอเพียง พวกลูกแกะหลงทางกลับบอกว่าจะเอาอะไรกิน เราไปอยู่กระต๊อบกันดีไหม

พวกโง่ทั้งหลาย พ่อบอกว่าเราต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน ลูกแกะหลงทางขายสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อทำกำไรแก่คณะตนเอง ลามไปถึงการจัดตั้งกองกำลังคุ้มกันบ้าน ลูกแกะหลงทางกล่าวกำแหง ผมจะเอาคนนี้ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะพ่อต้องอยู่ใต้กฎบ้าน ลูกแกะคนโตยังหลงทางต่อไป...ต่อไป..และต่อไป ลูกๆ ทั้งหลาย ตื่นเถิด ตาสว่างได้แล้ว ชีวิตนี้ของพวกท่านเป็นของพ่อโดยไม่ต้องมีกฎใดๆ มารองรับ... กราบแทบเท้าพ่อของแผ่นดิน


นี่คือกระบวนท่า ไม่ตายดังกล่าว ก่อนจบรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เมื่อวันที่ 9 เดือน 9

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา เป็นสิ่งที่ไม่ีมีใครคาดคิด แต่สนธิ ลิ้มทองกุลได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า ไม่ได้แปลกใจ
ก็คือ คณะกรรมการบริหารของช่อง 9 อสมท (องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย) ได้ ทำการสั่งปิดเมืองไทยรายสัปดาห์ ทันที !!

โดยวันที่แถลงข่าว คือ วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน เวลา 14:00 เพียง วันเดียวก่อนที่จะมีกำหนดออกรายการ คือวันศุกร์ที่ 16 กันยายน

โดยคณะกรรมการทั้งหมดที่ได้ออกแถลงการณ์ ได้แก่ นายธงทอง จันทรางศุ นายเรวัฒ ฉ่ำเฉลิม และ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ (รับฟังการแถลงข่าวของทั้งสามคน เป็น Audio File ณ website http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9480000126193) โดยให้เหตุผลในแถลงการณ์การปลดเมืองไทยรายสัปดาห์ออกจากผังรายการ ว่า

(1) รายการนี้ก่อให้เกิดคดีความในศาลยุติธรรมหลายคดี
(2) กล่าวอ้างถึงบุคคลอื่น โดยที่บุคคลนั้นไ่ม่สามารถออกมาตอบโต้ได้
(3) เอ่ยอ้างถึงการแ่ต่งตั้งพระสังฆราชซึ่งเป็นการละเิมิด พระราชอำนาจ
(4) แสดงความเห็นถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่สามารถออกมาตอบโต้ได้

โดยในวันเดียวกัน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็แถลงการณ์ตอบโต้ทันที โดยยืนยันว่า คำถามทั้งหลายแหล่ที่ถามไปนั้น เป็นคำถามที่คนไทยทั่วๆ ไปทุกๆคนควรจะถาม และไม่ใช่การละเมิดเบื้องสูง พร้อมกับกล่าวว่า ถ้า อสมท เป็นสื่อมวลชนที่แท้จริง ควรจะไปหาคำตอบของคำถามที่ตนถาม ไม่ใช่มาปิดปากตน นอกจากนี้ นายสนธิ ก็ได้กล่าวโจมตีรัฐบาล อย่างรุนแรง โดยกล่าวว่ารัฐบาลคือคนที่รับผิดชอบต่อการปิดรายการในครั้งนี้ และ อสมท ก็เป็นเครื่องมืออันหนึ่งของรัฐบาลนั่นเอง โดยก่อนจบการแถลงการณ์นั้น ยังได้ถามคำถาม “รุก” สี่คำถามเดิม และได้กล่าวโจมตีรัฐบาลอย่างรุนแรง ว่าบ้านเมืองเราถึงกลียุคแล้ว เพราะคนถูกปิดหูปิดตาแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

ถึงตรงนี้ วิรุฬห์ก็ต้องกลับไปดู และก็ต้องวิเคราะห์สักเล็กน้อยว่า ข้อหาเหล่านี้ ไม่ค่อยจะตรงไปตรงมาสักเท่าไหร่ เพราะ (1) ที่ว่าคดีความหลายคดีนั้น ไม่เป็นจริง มีเพียงคดีเดียว และศาลยกฟ้อง (2) รายการใน อสมท อื่นๆ ก็มีรายการที่ มีคนออกมาวิจารณ์ผู้อื่น โดยทีบุคคลที่ถูกอ้างไม่สามารถออกมาตอบโต้ได้ แต่ก็ยังออกอากาศอยู่จนถึงทุกวันนี้ (3) การเอ่ยอ้างถึงกรณีสมเด็จพระสังฆราช พุ่งเป้าไปที่แถลงการณ์เรื่องการแ่ต่งตั้ง รักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราช ที่ออกมาจากสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ตรงไหน (4) อันนี้จริง แต่สนธิ ไม่ได้จาบจ้วงสถาบันว่าไม่ดี แต่ออกจะยกย่อง และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยซ้ำ โดยบทความลูกแกะหลงทางนั้น ยกย่องล้วนๆ

มันก็น่าสงสัยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !

โปรดสังเกตุตรงนี้สักเล็กน้อยว่า เรื่องเหล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย นักข่าวที่จะออกไปถามคำถามก็ไม่รู้จะไปถามใคร

เอาล่ะ ขอหยุดตรงนี้เล็กน้อย!!

เพราะเรื่องนี้มันซับซ้อน ก่อนจะไปต่อต้องขอเล่าอีกเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ที่จะเชื่อมโยงกัน

เรื่องดังกล่าวก็คือ ในเวลานั้นก็มีข่าวที่ใหญ่มากในประเทศไทยอีกเรื่อง ที่เป็น Layer ที่คลุมข่าวการปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เกือบสนิท ก็คือข่าวเีกี่ยวกับ Hostile Takeover ที่บริษัท GMM Grammy นำโดย นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม กระทำต่อ มติชนกรุ๊ป นำโดย ขรรชัย บุญปาน ซึ่งเป็นเหตุการณที่ทำให้สื่อมวลชนในประเทศไทยตื่นตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากหลายๆคนก็สรุปกันว่า นี่ต้องเป็นอีกความพยายามหนึ่งของรัฐบาลที่จะควบคุมสื่อให้ได้แบบเบ็ดเสร็จ โดยหลังจาก ที่ได้ควบคุม ช่องโทรทัศน์เกือบทุกช่องแล้ว ก็จะเริ่มทำการควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ที่ “เหลือ” ให้ได้

ที่บอกว่าเป็นที่เหลือนี่ก็เนื่องมาจากว่า หนังสือพิมพ์ ส่วนใหญ่ก็เป็นของกลุ่มทุนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาล หรือคนในรัฐบาล หรือไม่็ก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่เป็นแนว ตลาด หน่อมแน้ม เน้นละครน้ำเน่าในทีวี โดยหนังสือพิมพ์ที่ “เหลือ” ดังกล่าวเหล่านี้ ก็ได้แก่ (1) มติชน (2) คม ชัด ลึก (3) กรุงเทพธุรกิจ (4) Bangkok Post โดยในกลุ่มนี้ ฉบับที่ได้ชื่อว่าเป็นอิสระ และเป็นคนหนังสือพิมพ์มืออาชีพจริงๆนั้น ได้แก่ กลุ่มมติชน

ดังนั้นการเข้าซื้อหุ้น ของ GMM Grammy ที่เป็นบริษัทบันเทิง นั้น คนในมติชนจึงทำการต่อต้านอย่างรุนแรง และทำให้เกิดกระแส “ฉงน” ในสังคมเป็นครั้งแรก ว่าบริษัทแกรมมี่กำลังทำอะไรอยู่ และเมื่อมีการแถลงข่าวและออกข่าวอย่างต่อเนื่องของกลุ่มมติชน เกี่ยวกับภูมิหลังของความสัมพันธ์ระหว่าง นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ด้วยแล้วนั้น ก็เป็นครั้งแรกที่สายตาของคนทั้งสังคม ที่ก็มีความคลอนแคลนอยู่บ้างแล้ว เกี่ยวกับพฤติกรรมของรัฐบาล จากเรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา เริ่มที่จะมองรัฐบาลในแง่ลบ

นี่เป็นครั้งแรก และเป็นขั้นแรกของ หินที่หล่นลงในน้ำ ที่กำลังจะเป็นคลื่นที่กระจายออกไป โดยภาพสะท้อนของคลื่นลูกแรกที่คนเห็นได้นั้น ไม่ใช่อะไร เป็นใบหน้าของของคนที่ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล

เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะคนเริ่มจะถามคำถามง่ายๆกันว่า “เอ รัฐบาลจะเอาคนของตัวเองเข้าไปคุมมติชน แล้วรัฐบาลทำอะไรไปแล้วอีกบ้างในการควบคุมสื่อ” และนี่ก็เป็นคร้งแรกที่ คนที่ไม่ค่อยได้ดูทีวี ได้ยินชื่อ ราบการ “เมืองไทยรายสัปดาห”์ และ ชื่อ “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”

จะว่าศิลปินชื่อดังมักจะมีชื่อเสียงหลังจากเสียชีวิตไปแล้วฉันใด รายการเมืองไทยรายสัปดา์ห์ก็เป็นฉันนั้น เพราะคำถามที่คนถามไปว่า เอ แล้วที่โดนปิดไปนี่ เพราะอะไร

และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่คนในสังคมส่วนใหญ่ได้รับรู้ถึงคำถาม “รุก” 4 ข้อดังกล่าว

ทีนี้ก็วงแตกสิครับ เพราะไม่เคยมีใครรู้เรื่อง 4 ข้อนี้มาก่อน เนื่องจากไม่เคยมีสำนักข่าวของรัฐบาลแห่งไหนเคยออกเรื่องดังกล่าวมาก่อน

ใน ขณะเดียวกันนั้น นายสนธิ ก็ได้ปรับแผนการรบ ทันที โดยกลับไปจัดรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ สถานี ASTV ที่ ถนนพระอาทิตย์ โดยใช้เวลาจัดฉากและเตรียมการเพียงคืนเดียว แล้วก็ออกทันที สด ในวันที่ 16 กันยายน โดยก็ถามคำถามเดิม พร้อมกับ เอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับ โผทหารใหม่ ที่นายก ร่างเอง แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช้เวลานานมากในการอนุมัติ (24 วัน โดยที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์คือ 2 วัน) และคำพูดของ พลเอกไชยสิทธิฺ์ ชินวัตร น้องชายท่านนายก ที่ออกมาเอ่ยว่า “โผทหาร นายกเซ้นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่ยน”
แต่ กระแสก็เจอจางลงไป เนื่องจาก บริษัท Grammy และ มติชนก็ตกลงกันได้ เรื่องการถือหุ้น ซึ่งถ้านายสนธิ ยังจัดรายการบน ASTV ของตัวเขาเอง ที่คนไทยส่วนใหญ่ ไม่มีทางรับได้ที่บ้าน เรื่องก็คงค่อยๆ จบไป

เหนื่อยหรือยังครับท่านผู้อ่าน อย่าเพิ่งนะครับ เพราะเรื่องจะเริ่มเข้มข้นตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไป!!!

แล้วนายสนธิ ก็ได้ปรับกลยุทธ ครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยเริ่มจัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร” โดยไปออกเป็นครั้งแรกที่ หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ได้รับการตอบรับดีมาก จากคนส่วนใหญ่ และเนื้อหาที่ออกก็เข้มข้นขึ้น โดยหากจะให้วิรุฬห์วิเคราะห์แล้วละก็ ต้องนับได้ว่า การทำรายการจากนี้ไป ความเกรงใจที่เคยมีต่่อกันระหว่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พันตำรวจโท ทักษิณชินวัตรนั้น จบลงแล้ว เหลือแต่ความรุนแรงของสงครามช้อมูลเท่านั้น (นายสนธิเคยสนับสนุนนายกทักษิณเป็นอย่างมากสมัยเข้ารับตำแหน่งครั้งแรก)

มาลองดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น วันต่อวัน นะครับ

อย่ากระพิบตาเด็ดขาด ท่านผู้ชม!!

22 กันยายน 2005 - นายสนธิฟ้อง อสมท 4 ข้อหา ได้แก่

สำนวนแรกนั้นเป็นคดีหมิ่นประมาท โดยที่จำเลยก็มีี 4 ส่วน จำเลยที่ 1 เรวัต ฉ่ำเฉลิม จำเลยที่ 2 ธงทอง จันทรางศุ จำเลยที่ 3 มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ และจำเลยที่ 4 คือ บมจ. อสมทฯ รายละเอียดของการฟ้องคือความบิดเบือนเกี่ยวกับการหมิ่นเบื้องสูง
สำนวนที่ 2 คือสำนวนคดีแพ่ง ลำเมิดสิทธิส่วนตัวนายสนธิ ทำให้เสียหาย จากกรณีที่ยกเลิกรายการแล้วมาให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชน โดยเฉพาะช่องของตัวเอง ออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เสียสิทธิแล้วก็ถูกละเมิด โดยนายสนธิเสียหาย “1 บาท” เป็นสัญลักษณ์ว่าสิทธิได้ถูกละเมิด แต่ขอเรียกค่าเสียหายแค่ 1 บาทเท่านั้น เพราะว่าต้องการฟ้องให้เป็นสัญลักษณ์ เป็นบรรทัดฐาน และนอกจากนี้ อสมท ก็เป็นของประชาชน ไม่ต้องการเอาเงินประชาชน สำนวนที่ 3 คือสำนวนของการยกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม ระหว่างบริษัทกับบริษัท อันนี้ เป็นความสูญเสียทางธุรกิจ ซึ่งเขาคงจะคำนวณกันว่า การซึ่งบริษัทไม่ได้จัดทำรายการนี้ ถูกยกเลิกออกไป จนถึงสิ้นสุดสัญญา สิ้นเดือน สิ้นปีนี้ บริษัทจะเสียหายเท่าไร
สำนวนสุดท้าย ถึงแม้ว่าจะเป็น บมจ.อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม แต่กรรมการทุกคนเป็นข้าราชการทั้งสิ้น ดังนั้นนายสนธิฟ้องในกรณีมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันมีเหตุมาจากการให้สัมภาษ์ของนายธงทองเอง ที่่ว่านายสนธิหมิ่นเบื้องสูง ดังนั้นนายสนธิใช้ตรรกะเดียวกันว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องเอาตำรวจมาัจับตน ถ้าไม่มาก็คือว่าละเว้น

24 กันยายน 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 1 - หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
จำนวนคนดู ประมาณ 1000 กว่า

สนธิเริ่มต้นด้วยการประกาศเกี่ยวกับการวางระบบรายการเพื่อเผยแพร่ทั่วโลก นายสนธิ เริ่มแถลงข้อมูล ที่เก็บมานานเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งของท่านนายกรัฐมนตรี ที่เวลาหนึ่งพูดอย่างหนึ่งและพอมาอีกเวลาหนึ่งพูดอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเป็นการเตือนความจำคนไทยที่เคยได้รับคำสัญญามาก่อนการเลือกตั้งเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2005 ที่ผ่านมา และนายสนธิก็ได้พุ่งประเด็น ใหม่ได้แก่
- ประเด็นภาคใต้ ที่นายกย้ายข้าราชการท้องถิ่น ออกและเอาคนของตัวเองเข้าไป หนึ่งในนั้นคือนายพลากร สุวรรณรัตน์ ที่พอถูกย้ายกลับเข้ากระทรวงมหาดไทย ก็เสียความรู้สึกมาก ลาออกจากราชการทันที และก็ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นองคมนตรีทันที
- เปิดเผยความสัมพันธ์ในอดีตระหว่าง ตัวนายสนธิเอง กับ นายกทักษิณ โดยนายสนธิกล่าวว่าเคยช่วยนายกทักษิณมาก่อน
- ประเด็นการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัทมติชน โดย GMM Grammy ที่สนิทกับนายก ว่านี่คือการพยายามเข้าควบคุมสื่อมวลชน และเป็นการคุกคามที่ร้ายยิ่งกว่าการกระทำโดยเผด็จการทหาร
- เปิดประเด็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อปล้าชาติ โดยผู้มีอำนาจทางการเมือง โดยยกตัวอย่าง ปตท

1 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 2 - หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
คนดูร่วม 2000 ล้นออกมาจากหอประชุมมาก ต้องมีการติดกล้องวงจรปิด

มีการเปิดประเด็นใหม่ที่ทำให้รัฐบาลเริ่มสะดุ้ง ได้แก่

- ความสัมพันธ์ระหว่างภรรยาของนายกรัฐมนตรี คุณหญิงพจมาน ชินวัตร กับ นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา (ที่ควรจะเป็นอิสระจากรัฐบาล) ที่กำลังอื้อฉาวเรื่องคุณหญิงจารุวรรณ ดังกล่าว โดยทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องเป็นเครือญาติกัน และพี่น้องนายสุชนก็มีตำแหน่งหน้าที่ในบริษัท AIS ของตระกูลชินวัตร ก็แปลว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน
- เปิืดประเด็น นายกทักษิณเข้าไป ทำพิธีในวัดพระแก้ว โดยไปนั่งในตำแหน่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่งเป็นประจำ มีรูปหลักฐานพร้อม (และจะประเด็นที่ร้อน “มาก” ในเวลาต่อมา)
- ถามนายกว่าทำไมไม่ไปงานศพ นาวิกโยธินสองนายที่สละชีพที่ภาคใต้ ทั้งๆ ที่สมเด็จพระเทพไปร่วมงานศพ ด้วยพระองค์เอง (เรื่องนาวิกโยธินนี้ ท่านผู้อ่านต้องไปติดตามกันเองนะครับ เรื่่องใหญ่และยาวมาก)
- ร่าย รายละเอียดการโกงสนามบินสุวรรณภูมิอย่างขุดคุ้ยไม่เหลือซาก แ้ล้วถามนายกว่า พิธีเปิดสนามบิน ทำไมถึงต้องทำยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งๆ ที่สนามบินยังไ่ม่เสร็จด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องมี F-14 คุ้มกัน อลังการ มากมาย

3 ตุลาคม 2005
นายกทักษิณ ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลข้อหาหมิ่นประมาท เป็นจำนวนเงิน 500 ล้านบาท และบังเอิญว่า ในตอนนั้นมีคดีอีกคดีของ นางเยาวเรศ ชินวัตร ที่ฟ้องนายอลงกรณ์ พลบุตร สส พรรคประชาธิปปัตย์ เป็นเงินจำนวนเดียวกัน เกิดเป็นมุข “ตระกูล 500” ขึ้นมา

8 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 3 - หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
คนดู 2000 เกือบๆ 3000 คน

- นายสนธิ แถลงการณ์โต้ตอบการฟ้องร้องของนายก และเปิดประเด็นใหม่ได้แก่ประเด็นการคุกคามของตำรวจต่อนายสนธิ และเครือบริษัทหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
- ความขัดแย้งภายในรัฐบาลเอง โดยนายสนธิ ระบุถึงอิทธิพลของ คุณหญิงพจมานต่อการทำงานของรัฐบาล โดยระบุกรณีนายแพทย์สุชัย ที่เป็นแพทย์ประจำตัวของ มารดาของคุณหญิงพจมาน และต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข

9 ตุลาคม 2005
นายกทักษิณ ฟ้อง “หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ” หมิ่นประมาท อีก 500 ล้านบาท ในข้อหาที่นำคำเทศน์ของหลวงตามหาบัว (พระผู้ใหญ่ที่โด่งดังมากในเรื่องการเรี่ยไรทองช่วยชาติ มีคนนับถือเป็นล้าน) ที่บอกว่า ทักษิณเหมือนเทวทัต (ที่โดนทรณีสูบ) โดยที่จริงๆ แล้วผู้จัดการ นำข้อความมาลง ทุกๆ คำพูด ไม่ได้ดังแปลงแ้ม้แต่น้อย และก็เริ่มมีคำครหาว่า ทำไมตอนที่้ฟ้องสนธิ ครั้งแรก ไม่ฟ้อง อสมท ซึ่งเป็นสื่อที่ให้ออก แล้ว ทำไมคราวนี้ กลับกัน โดยฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่เป็นสื่อ แต่ไม่ฟ้องหลวงตามหาบัว

14 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 4 - หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
คนดู ร่วม 5000 เริ่มมีคนเดินทางมาชมจากทั่วประเทศ และเริ่มมีบุคคลสำคัญของประเทศมาร่วมรายการมาก ราวกับเป็นการเปิดโฉมหน้า ผู้ที่ “ไม่ชอบ” รัฐบาล

- ย้อนรำลึก เหตุการณ์ 14 ตุลา โดยโจมตี คนในรัฐบาลที่เป็นกลุ่มคนผู้นำันักศึกษาเหตุการณ์ 14 ตุลา ว่าเป็นคนที่อยู่ในอเวจี เรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นรัฐบาลคอรัปชั่น
- โจมตี นายวิษณุ เครืองามที่กล่าวจาบจ้วง หลวงตามหาบัว
- รายงานการเริ่ม ขายหุ้นทิ้งของคนในตระกูลชินวัตร
- “เปิดโปงวิธีการที่นายกทักษิณทำตัวเองให้เข้ามาร่ำรวย โดยเน้นการผูกขาด และทำลายคู่แข่งอย่างไ่่่ม่เป็นธรรม โดยใช้อำนาจรัฐ”

20 ตุลาคม 2005
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายก ทักษิณให้สัมภาษณ์ “คนที่โจมตีผม มีผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งนั้น”

21 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 5 - หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
คนดู ร่วม 5000

- นายสนธิ สวนกลับทันทีว่า ไม่เคยได้อะไรจากนายก แต่เคยให้หุ้นนายก เป็นมูลค่าถึง 400 ล้านบาท
- นายสนธิ โจมตีนายกทักษิณที่ กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่ฟ้องหลวงตามหาบัวหรอก เพราะท่านเมตตาผมมามาก ผมต้องเมตตาท่านบ้าง” โดยบอกว่า นายกจาบจ้วง และไ่ม่เข้าใจ พรหมวิหารธรรม
- เปิดประเด็นพระสังฆราชอีกครั้งในรายละเอียด และแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง สมเด็จวัดสระเกศที่ รัฐบาลตั้งรักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราช กับตระกูลของนายกทักษิณ (คิดเอาเองนะครับ ว่าแปลว่าอะไร)
- เปิดประเด็นนคร สุวรรณภูมิ ที่่เป็นเมืองใหม่ มีเขตการปกครองพิเศษของตัวเอง จะทำอะไรก็ได้ เหมือนเป็นเืมืองหลวง แห่งใหม่ โดยนายสนธิ บอกว่า นี่จะเป็นนครที่ไ่ม่ต้องขึ้นกับกฎหมายของประเทศ และคิดว่านี่คือนครที่ นายกทักษิณอยากตั้งเป็นเมืองหลวงของตนเอง
- เปิดประเด็น ความล้มเหลวของกองทุน หมู้บ้าน (ให้เงินกู้ หมู่บ้านละล้าน) โดยส่งนักข่าว ไปทั่วประเทศเพื่อทำ สารคดีพิเศษนี้
- สนธิ ประกาศ จะจัดรายการนี้ไปจนกว่านายกจะออกจากตำแหน่ง

(ถึงตอนนี้ บอกได้เลยว่ารัฐบาลเครียดมาก กับผลของรายการนี้ ต่อสาธารณชน)

29 ตุลาคม 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 6 - สวนลุมพินี เปิด Campaign ว่า “เอาประเทศไทยคืนมา”
คนดู เกือบๆ 7000 คน
(สำหรับ วิรุฬห์แล้ว การออกมากลางแจ้ง เป็นการประกาศศักดากับรัฐบาลแบบ เต็มที่)

- นายสนธิ โจมตีนายกเรื่องการที่นายกทักษิณอยากจะเป็น นักการเมืองโพธิสัตว์ แต่ยังไ่ม่มีศีลเพียงพอ
- โจมตีนายกทักษิณ ที่เอาแต่ไปหาเสียงเลือกตั้งซ่อม โดยไม่สนใจปัญหาที่เกิดขึ้นที่ปักษ์ใต้ ปล่อยให้สมเด็จพระราชินี ทรงงานหนัก
- โจมตีเรื่องการเล่นการเมืองของพรรคไทยรักไทย ที่ยับยั้งแผนการของ ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร อภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่จะทำรถไฟฟ้าไปฝั่งธน โดยไม่ต้องการให้เป็น Credit ของพรรคประชาธิปปัตย์ โดยโจมตีว่า ทีตัวเองยังซื้อเครื่องบินส่วนตัว “ไทยคู่ฟ้า” ที่ใช้เงิน 2000 ล้านบาท เท่ากันกับงบประมาณสร้างรถไฟฟ้าได้
- โจมตี สส ในรัฐบาล โดยใช้คำ่ว่า “สุนัขรับใช้” ที่ตัดเคเบิ้ลท้องถิ่น โดยกล่าวหานายสนธิว่า ทำการถ่ายทอดโดยผิดกฎหมาย และมีการขู่ว่า เพื่อตัดโครงข่ายการถ่ายทอดรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ แต่นายสนธิสวนกลับว่าไม่มีทางทำได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ
- โจมตีนโยบาย ประชานิยม ที่ออกมาโดยรัฐบาล แต่เจ๊งหมดแล้ว และยังทำตัวร่ำรวย เที่ยวแจกเงินชาวบ้าน และสัญญาทำโครงการ หลายแสนล้าน หลายล้านๆ ทั้งๆ ที่รัฐบาลถังแตกแล้ว
- โจมตีการเพิ่มภาษี ชาวบ้านตาดำๆ ที่ทำรถเข๊ญขายก๋วยเตี๋ยว เป็นอีกหลักฐานหนึ่งว่ารัฐบาลถังแตก

3 พฤศจิกายน 2005
รัฐบาล โดยนายวิษณุ เครืองาม ได้แถลงว่า สมเด็จญาณสังวรณ์ ได้เซ็นรับการแต่งตั้งรักษาการแทน สมเด็จพระสังฆราชแล้ว และในคืนนั้นก็มีเหตุการณ์ ระเบิดที่ทำการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แต่ไม่ได้รับควาเสียหายอะไร เป็นเพียงระเบิดขู่เล็กๆที่ริมรั้วเท่าน้น แต่นายสนธิก็ได้จับมาเป็นประเด็นใหญ่

4 พฤจิกายน 2005
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 7 - สวนลุมพินี ต่อเนื่อง Campaign “เอาประเทศไทยของเราืคืนมา”
คนดูประมาณ กว่า หนึ่งหมื่นคน

- เปิดประเด็นต่อเนื่องเรื่องซื้อเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” ของตัวเองก่อน ว่าเป็นความสิ้นเปลือง ในขณะที่ไม่ยอมซื้อ เครื่องบินให้ พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี (กำลังจะกลายมาเป็นเื่รื่องใหญ่มากอีกเรื่อง)
- ฉีกลึก ประเด็นแต่งตั้งพระสังฆราช จับโกหก นายวิษณุ โดยนำเอกสาร การรับการแต่งตั้งของสมเด็จพระญาณสังวงรณ์มาดู ปรากฎว่าพระองค์ไม่ได้เซ้นอะไรเลย!!!
- เปิดประเด็น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเข้าตลาดหุ้น ว่าเป็นการขายชาติ เพราะไม่ควขายสายส่ง ที่อยู่บนพื้นดินทืี่เวรคืนมา และไม่ควรขายเขื่อน อันมีน้ำซึ่งเป็นของแผ่นดิน

นายสนธิได้ประกาศ ระดมพล 5 หมื่นคน ในวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน!!!

ในขณะที่วิรุฬห์เขียนนี้ คือวันที่ 10 พฤศจิกายน เวลาดึกๆ ของ Pacific อันเป็นเวลาบ่ายๆ ของประเทศไทย จะมีคนมาถึง ห้าหมื่นคนหรือไม่ที่สวนลุมพินี ก็สุดแล้วแต่

เช้าวันนี้ สส ของรัฐบาลก็ฟ้องนายสนธิ ข้อหากบฎและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้ว (ไปกันใหญ่ และก็เป็นอีกครั้งที่นายกไม่อยู่ในประเทศไทย) โดยเน้นไปที่เรื่องของการที่นายกเข้าไปนั่งทำพิธีในวัดพระแก้วในจุดเดียวกับพระเ้จ้าอยู่หัว โดยกล่าวว่าได้รับอนุญา่ติเรียบร้อย แล้วทางหนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็สวนกลับโดยการแสดงเอกสารของ สำนักราชเลขาธิการ แล้วว่า เซ็นออกมาคนละวันกับที่ สำันักนายกอ้าง และ ในเอกสารก็ระบุว่า นายกต้องเป็นคนเข้าร่วมพิธี (แต่จริงๆนายกไปนำพิธี)พร้อมกับองคมนตรี (แต่ไม่มีองคมนตรีมาี่ร่วมแม้แต่คนเดียว)

ทีนี้ ก็อยากจะขอให้ความเห็นในฐานะผู้ที่ติดตามข่าวในเมืองไทยอย่างใกล้ชิด โดยวิรุฬห์คิดว่า สิ่ง่ที่น่าสนใจมากสำหรับเหตุการณ์ทั้งหมดนี่คือ การที่รัฐบาลเป็นผู้ที่ควบคุมสื่อทั้งหมด ยกเว้น เครือผู้จัดการของนายสนธิ และมติชน ซึ่งถ้าคนสังเกตุ จะเห็นได้ว่า ข่าวในโทรทัศน์ของรัฐบาลจะหลีกเลี่ยงการวิจารณ์การเมืองระดับใหญ่แบบตรงไปตรงมามาก คนอย่างคุณ สรยุทธ สุทัศนจินดา ที่เป็นนักข่าวช่างวิจารณ์ รู้จักการเืืมืองอย่างลึกซึ่ง ที่นักข่าวหลายคนยกย่องให้เป็น “ราชสีห์” รุ่นเยาว์ วันนี้กลายเป็นแมวไปซะแล้ว ทำแต่เรื่องสังคม และการเมืองระดับชาวบ้าน ทิ้งเรื่องใหญ่เทียมฟ้า อย่างเรื่องต่างๆ ที่นายสนธิอ้างถึงให้เป็นที่สงสัยของคนในสังคมไป

บ้านเมืองยุคนี้ เป็นบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยคำถาม โดยคำถามหลักๆ ก็คือ ทำไม กูถึงทำงานหนักขึ้น แต่จนลงๆทุกวัน แต่ครอบครัวนักการเมืองทำไมรวยกันอุตลุตนัก ท่านายกของเราคนนี้ก็ได้รับการเลื่อนขึ้นจาก มหาเศรษฐีอันดับ ที่ 21 ของโลกมาเป็นอันดับ ที่ 14 มีเงินเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ ทำไมมาเป็นนายกแล้ว กิจการครอบครัวตัวเองใหญ่โต ในขณะที่บริษัทคู่แข่งหลักๆ อย่าง DTAC พากันขายหุ้น หนีไปทำกิจการอื่นๆ กันแล้ว แล้วทำไม เรื่องปักษ์ใต้ที่นายกสัญญาแล้วสัญญาอีก บอกหลายครั้งว่ารู้ตัวหมดแล้วว่าใครทำ ทำไมถึงมีแต่รุนแรงขึ้นทุกวัน ทำไมคนในตระกูล และเครือญาติท่านนายก มาดำรงตำแหน่งในรัฐบาลและทหารมากมายนัก และคำถามอื่นๆ อีกมากมาย

ตอนนี้ในสังคมไทย มีคนๆ เดียวที่กล้าถามคำถามเหล่านี้

แต่รัฐบาล และท่านนายกไม่เคยตอบเลยแม้แต่คำถามเดียว

ทำไมถึงไม่ตอบ ? วิรุฬห์เองก็จนใจที่จะเดา

ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องถามด้วยว่า นายสนธิ ทำไมจึงดึงเบื้องสูงมาเยอะขนาดนี้ นายกทำอะไร เป็นพันไปกับ พระมหากษัตริย์ได้หมด และยังใส่เสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ตลอดเวลา เป็นอะไรที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่มาก ซึ่งก็ต้องถามต่อไปว่า ถ้าคุณกำลังทำสิ่งที่เป็นธรรม และถูกต้อง ทำไมต้องเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาอ้างตลอดเวลา ?

แม้ว่าในสังคมไทยชั้นกลางตอนนี้ จะมีกระแสต่อต้านรัฐบาลอยู่มากมาย แต่ท่านผู้อ่านก็ควรจะใช้วิจารณญาณอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะปักษ์ใจเชื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะสถาณการณ์ตอนนี้ ตึงเครียด และเปราะบางมาก

ถ้าย้อนกลับไปที่การมองสถาณการณ์อย่างง่ายๆ ว่า นี่คือการปะทะกันระหว่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ นายกทักษิณ ชินวัตร ละก็ นี่คือสงครามประสาท เพราะที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต้องตั้งสติให้มั่น ถ้าใครสติแตกก่อนอาจจะถึงขั้นจบชีวิตเลยก็ได้ หลายๆคนอาจจะเห็นว่า นายกทักษิณช่วงหลังๆ จะให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำที่แปลกๆ เช่น “ถ้าใครเลือกพรรคไทยรักไทย ก็จะช่วยก่อน ไม่เลือกก็ช่วยทีหลัง” หรือ “ผมเมตตา หลวงตามหาบัว” เป็นต้น ทำให้เป็นการเปิดประเด็นให้นายสนธิ “ขุด” ได้มากขึ้น แต่ ในขณะเดียวกัน คนก็เริ่มสงสัยว่า การที่สนธิเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มานำหน้า และพูดด้วยอารมณ์มากในช่วงหลังนี่ นายสนธิีมีอะไรแอบแฝงมากกว่าเจตนาที่บริสุทธิ์หรือเปล่า

อย่าถูกคนใดคนหนึ่งดึงเป็นเครื่องมือ ใช้กาลามสูตรเยอะๆ เลยครับ ถ้าคิดดีแล้ว พิจารณาดีแล้ว จะเชื่อใครก็ค่อยๆ ว่ากันไป

รักประเทศไทยของเราให้มากๆ ละกันนะครับ

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป วิรุฬห์ไม่ขอวิจารณ์ แต่อยากขอให้ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณ และหากต้องการชมรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เก่าๆ ก็ชมได้ที่
http://www.manager.co.th/