Sunday, March 19, 2006

ประชาธิปไตย จากคำตอบ ของข้าพเจ้า

“ประชาธิปไตย คืออะไรในความคิดของท่าน”คุณพี่เล่นถามคำถามแบบเขียน Thesis ปริญญาเอกกับผมได้แบบนี้ก็แย่สิครับ แต่เอาว่าผมจะพยายามตอบก็แล้วกัน เพราะผมเปิดประเด็น ผมไม่เหมือนใครบางคนที่กล้าตอบคำถามเฉพาะที่ตัวเองตอบได้ พอตอบไม่ได้ทำเป็นไม่ได้ยิน หรือใช้วิธีดูถูกชาวบ้านเป็นการหนี

เอาละครับ

สังคมเป็นที่ๆ หนึ่งที่สมาชิกทุกท่านเลือกมาอยู่ด้วยกัน ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ทางเลือกเรายิ่งชัด ว่าจะไปอยู่ที่ไหน คุณอยากเป็นคนไทย หรือ คนมาเลย์หรือ อยากเป็น พม่า เขมร ออสเตรเลี อเมริกา ยุโรป มันมีทางเลือกอยู่ ทีนี้สังคมมันก็มี Hardware กับ Software Hardware ง่ายๆ ก็คือ แผ่นดิน และทรัพยากร หรือตึกรามบ้านช่อง Software คือกฎหมาย กฎเกณฑ์ ศิลธรรม ศาสนา ซึ่ง ในสังคม ก็จะมี Sub Software ตรงนี้ ย่อยลงไปตาม จุดของ Hardware ต่อไป

ประเด็นคือถ้ามองเป็น Computer ถ้ามีเครื่อง Hardware แบบสุดยอด มันก็ไม่พอ เราจะต้องมี Software ที่ดี มาทำงาน จึงจะนับว่าเป็น Computer ที่สุดยอด สามารถนำไปใช้งานได้ อย่างดีทีนี้

ประเด็นก็คือ คนใช้งานนี่ล่ะ

ใครๆ ที่อ่านหนังสือ กังฟู ก็จะรู้ อันว่าผู้ไร้ฝีมือ แม้จะมีกระบี่อันเจิดจรัสทำโดยยอดฝีมือ ก็ไม่สามารถตัดได้แม้แต่เต้าหู้ แต่ยอดฝีมือนั้น แม้จะหยิบจับเพียงกิ่งไม้ไผ่ ก็อาจจะยกขึ้นประหัตประหารศัตรูให้แตกพ่ายได้

ประชาธิปไตย เป็นระบบที่เราทุกคนเป็นผู้ใช้ Computer ตัวนี้ ซึ่งในกรณีของเรา ก็คือ คน 1 คนที่ประกอบด้วยเซลล์ 65 ล้านเซล์ ทุกๆ เซลล์ เป็นผู้ใช้ ไม่ใช่เซล์ที่เป็นนักการเมืองในสภา ผมไม่ได้พูดเป็นปรัชญาสวยงามนะครับ แต่นี่เป็นเรื่องจริง อย่างที่เราเห็นได้ในถนนทุกวันนี้ ทุกๆ อย่างก็ยังเป็นไปตามกฎที่อยู่ใน Software ตัวนี้ และถึงแม้ว่า มี Virus มี Spy Ware อะไรก็ตาม แต่เราก็มี Norton มี อะไรมา Clean ได้ และถ้าสุดๆ จริงๆ เราก็ Format ได้ และบางครั้งเราก็ อาจจะต้อง Format หลายครั้ง แล้ว Clean อีกเพื่อแก้ปัญหา

แต่เมื่อเราเลือกให้เซลล์ทั้ง 65 ล้านเซล์มาเป็นผู้ใช้ Software ตัวนี้ ผลงานที่ออกมาของคน 1 คนนี้ ก็จะเป็นภาพรวมของ 65 ล้านเซลล์ ไม่ใช่ ผลงานของ ตัวแทน ไม่ใช่ผลงานของผู้ที่มีปัญญาและธรรมมะแบบท่าน Veera ไม่ใช่คนแบบผม ไม่ใช่คนที่มีความสามารถอื่นๆ แต่เป็นผลงานที่ออกมาของคนทั้ง 65 ล้านเซลล์ นี่คือประชาธิปไตย ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน และงานนี้ ประเทศไทย คือ คนหนึ่งคนที่เดินหน้าทำงานไป

การที่เรายังเป็นประเทศที่ มีปัญหา เพราะคนส่วนใหญ่มีปัญหา ยังเป็นหนี้ มีปัญหาติดเหล้า ติดการพนัน นั่นคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาไม่มีโอกาส เขายังขาดความรู้ ก็เหมือน Cell ที่อ่อนแอ ก็เป็นหน้าที่ ของ Cell ที่แข็งแรงกว่าต้องไปช่วย ช่วยทุกวิถีทางให้ เขาดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้ใช้ Computer ตัวนี้ทำงานพัฒนาไปได้พร้อมๆ กันสำหรับผม นี่ละครับ ประชาธิปไตย เราทุกๆ Cell ก็ depends on ทุกๆ Cell เหมือนกัน เราแยกกันไม่ได้ เหมือนที่น้อง Byrdy บอกว่า ให้เอาคนจนออกไป ให้คนจบปริญญาตรีไปตั้งประเทศใหม่ ก้เหมือนแยกสังขาร เราจะอยู่ได้อย่างไร เมื่อเรา ต้องพึ่งแต่ละ Cell เราก็ต้องมีการรับฟังความเห็นของทุกๆ คน และต้องมีการพึ่งพาอาศัย เอิ้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพื่อให้เราเป็นหนึ่ง และมีชีวิตต่อไปข้างหน้าได้

อันนี้ล่ะ มันมาถึง การสนทนาระหว่างท่าน Veera กับผม

ถ้าเป็นในสหรัฐ รัฐธรรมนูญข้อแรก “First Amendment” คือ Freedom of Speech หรือ สิทธิ ในการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ และแน่นอนว่า เป็นสิทธิที่มาพร้อมความรับผิดชอบ ท่าคนพูดไปโจมตีใคร เขาก็มีสิทธิ โจมตีกลับ หรือฟ้องร้องได้ เขาไม่เคยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเลยมาตั้งแต่ตั้งประเทศ เขาแก้เฉยๆ ทีละนิดทีละหน่อยเราจะมีประชาธิปไตยที่เข้มแข็งได้ Cell ทุก Cell ต้องแข็งแรงทั้ง Physical, Mental และ Spiritual (สามด้านนี้ ท่านพุทธทาสเคยพูดไว้นะครับ ) ซึ่งผมก็ยังมองในแง่ดีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ล่ะ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ทำให้คนไทย มาแกร่งได้ ทั้ง 3 ด้าน อีกหน่อยถ้าประเทศเรา มีเซลล์ที่ดีๆ มาเป็นผู้นำแล้ว gear นโยบายทุกอย่างเข้าหาเรื่องการพัฒนา Cell ทั้ง 65 ล้านเซลล์ เป็นหลัก เราก็จะเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าในแบบของเราได้ (ย้ำว่าแบบของเรา) ทำไม เยอรมันนี ญี่ปุ่น หรือ อิสราเอล ถีงเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าได้ ทั้งๆ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเขาโดนทำลายย่อยยับ ไม่มีอะไรเหลือ ส่วน อิสราเอลนั้น ไม่มีแผ่นดินเลยด้วยซ้ำ สำหรับผมคิดว่าเป็นเพราะเซลล์ของเขาส่วนใหญ่เป็นเซลล์ที่แข็งแรงมาก ทั้งสามด้าน แต่ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นแบบเขานะครับ ให้เป็นแบบอิสราเอล มีเรื่องกับเพื่อนบ้านหมดทุกแห่ง หรือคอรัปชั่นเชิงนโยบายสุดขั้วแบบญี่ปุ่นก็ไม่เอานะครับ

ผมไม่เห็นด้วยว่านี่คือ การทำให้แตกกัน ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าความจริงครับ ความจริงจะเป็นคำตอบของทุกๆ อย่าง ท่าน Veera_arch บอกให้ทั้งสองฝ่าย หรือสามฝ่าย ถอยคนละก้าว นั่นก็เป็นความคิดของท่านนะครับ ซึ่งผมก็ต้องฟัง แต่ผมสนใจแค่ว่า ปัญหาคราวนี้ จะ Resolve ยังไง ซึ่งทั้งสามฝ่ายก็มีการตกลงกันแล้ว ว่าจะมาคุยกันออกทีวี ให้คนตัดสิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ Fair ที่สุด ถ้าสนธิ ลวงโลกมาตลอด ออกทีวีเจอฝ่ายนายกชี้แจงทุกคำถามได้หมด สนธิก็ตายกลางเวที แล้วม๊อบ แสนคนหน้าทำเนียบก็จะเหลือ พันคนในพริบตา และนายกก็จะได้เป็นนายกไปนานเท่าที่อยากจะเป็น แต่ว่า ถ้านายกตาย ก็ต้องยอมรับว่า ม๊อบทั้งประเทศ หรือคนที่เขาอยู่เฉยๆ จะเข้าหาพันธมิตรประชาธิปไตยทันทีถ้ามาออกทีวี

โต้กันทั้งสามฝ่ายปัญหาจะจบทันที แต่เราก็เห็นกันแล้วว่า ใครไม่กล้ามา

ประเด็นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมะแล้ว ตอนนี้เป็นเรื่องของความจริง ต้องเอาความจริงมาพูดกันให้หมด

สุดท้าย คนเรียนสูงไม่จำเป็นต้องมี Ego สูงทุกคนหรอกครับ และผมไม่คิดว่า Ego เป็นสิ่งที่ไม่ดี มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราสู่จนถึงจุดสุดท้าย ไม่ให้เราเขวไปกลางคัน เป็นความมั่นใจในตัวของตัวเองที่ผมว่า คนที่ไม่ได้เรียนจบอะไรเลยเขาก็มีได้ ตราบใดที่เรามีความรับผิดชอบในสิ่งที่เราพูด ในสิ่งที่เราทำ เรายอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อืน รู้จักแพ้ รู้จักชนะ เคารพกติกา (ไม่ใช่กติกูนะครับ)

สุดท้าย ผมตอบท่านแล้ว แล้วผมไม่ถามท่านกลับนะครับ เพราะฉะนั้นผมไม่ติดค้างอะไรท่าน และท่านก็ไม่ติดค้างอะไรผมนะครับ ผมต้องขอตัวแล้ว ช่วงนี้มีสอบและมีงานเยอะมาก แล้วผมก็บอกน้อง Byrdy ไปแล้วด้วยว่าจะ “เว้นวรรค” ไม่เขียนกระทู้การเมืองสักพัก อยากจะรักษาคำพูดตัวเองหน่อยนะครับ

No comments: