Sunday, January 14, 2007

เราควรจะดีใจหรือเปล่า กับการรัฐประหารครั้งนี้

เราควรจะดีใจหรือเปล่า กับการรัฐประหารครั้งนี้

เขียนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2006 - วันปฎิวัติโดยทหารของพระเจ้าอยู่หัวเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ


อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าขอ แขวน คีย์บอดร์ดจนกว่าจะถึงปีใหม่ แต่เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ ก็คงต้องขอคุยสักหน่อย

ก็แน่นอนว่าถามว่าดีใจมั้ย คนที่ไม่ชอบทักษิณแบบผมก็คงดีใจที่ทักษิณหมดอำนาจแล้ว (อาจจะกลับมาใหม่ได้ แต่อย่างน้อยวันนี้ก็หมดแล้ว) แต่ถามว่าเสียใจมั้ยก็คงต้องบอกว่าเสียใจเหมือนกัน

เหตุผลที่เสียใจก็คือ ผมรู้สึกว่า เหมือนเป็นคนที่ทำงานด้วย Computer ใช้ software เป็นใช้ งานทั่วๆไปเป็น แต่ก็ใช้อย่างหนัก download อะไรต่อมิอะไร ไม่เคยดูแล defrag ป้องกัน virus หรือ spyware พอใช้ไปมากๆ หนักๆ จนมีปัญหาลุกลามแก้ไขไม่ได้ ก็ใช้วิธี format เครื่องใหม่ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด มีปัญหาอะไรก็นิยมที่จะ format เครืื่องใหม่ แล้วก็ลง program ใหม่หมด แต่ก่อนที่ผมจะ format ผมก็ต้องเอา file ที่ผมทำงานอยู่ออกมา ซึ่งก็ต้องเอาไป clean พอเครื่อง format แล้วก็ต้อง เอา ไฟล์พวกนี้มาทำงานต่อ ก็ติดไวรัสอีก พอเป็นหนักก็ format อีก

ผมไม่เคยลองที่จะเรียนการแก้ไข ให้ระบบดำเนินไปตามปกติ ลองดูวิธีป้องกัน ใช้ firewall, ใช้ anti-virus อย่า download อะไรพิเรนทฺ์เข้ามา แล้วก็ update วิธ๊ป้องกันเสมอๆ มีอะไรก็แก้แต่เนิ่นๆ อย่าปลอยให้ลุกลาม มันก็คงจะใช้ Computer ไปได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้อง format ใหม่

ไม่อยากให้ท่านที่เป็นเซียนคอมพ์มองในแง่ technical ว่ามันมีวิธีแก้ไขหลายวิธีกว่าที่ผมพูดมา ที่ผมพูดคือการเปรียบเทียบในเชิงสังคมเท่านั้น การรัฐประหารก็เหมือนกันการ format เครื่อง เริ่มต้นใหม่ ลง program ใหม่ สะอาด เราคนใช้เปี่ยมด้วยความหวัง แล้วก็บอกตัวเองว่าต่อไปนี้จะใช้ดีๆ แต่พอเวลาผ่านไป ก็ทำตัวเหมือนเดิม เราก็ต้องมา format แล้ว format อีกมาเป็น สิบๆ ครั้ง แต่สิ่งที่เราไม่เคยเปลี่ยนคือ พฤติกรรมของเรา เราไม่เคยพัฒนาการวิธีการใช้ computer ให้ถูกวิธี เพราะเรารู้่ว่า มีปัญหาอะไร ก็ format ได้ ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง ไม่ต้องพัฒนาอะไร

พอ format บ่อยๆ ก็ดัน format เร็ว ลง program เร็ว มีระบบการจัดการ format เขียนเป็นแผน format ได้ ทำเสร็จภายใน 2 ชั่วโมงได้ เป็นงั้นไป แทนที่จะใช้ คอมพิวเตอร์ดีๆ ไม่ต้องมา format

แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าปุ่ม format นี้หายไป ไม่มีอีกแล้ว เราจะทำอย่างไรถ้า computer มันพัง หรือมันช้าจนใช้การอะไรไม่ได้ เราจะไปหาคนนอกมาช่วยซ่อมให้เรา แล้วถ้าเขาเอา spyware ของเขาใส่ไว้ในเครื่องเรา เราจะรู้หรือไม่ แล้วพอเราทำอะไรไม่ได้ ซ่อมไม่เป็น ก็คงทำได้อย่างเดียวคือ …….“ทิ้งเครื่อง computer เครื่องนี้ไป” ? ไปหาเครื่องใหม่มาใช้ ?

การพยายามเรียนรู้ และเปลี่ยนพฤติกรรมก็คือการทำงานตามระบบ ไม่ว่าจะเป็นศา่ล หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมคิดอยู่ว่า ถ้าทักษิณ กลับมาเป็นนายกอีก ก็ไล่ต่อไป ฟ้องศาลต่อไป ประท้วงต่อไป ผมไม่คิดว่าเขาจะมาเป็นนายกอลังการแบบ 377 กะรัตได้อีกแล้ว แต่สิ่งที่จะพัฒนาชัดๆซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือ “ตัวของเรา” ซึ่งก็คือการเมืองและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ที่นับวันมีแต่จะมากขึ้น เป็นยุคที่คนพูดเรื่องการเมืองมากที่สุด ตั้งแ่ต่ผมเคยเห็น (เกิดปี 2520 ไม่ทันเหตุการณ์เดือนตุลา)คนเริ่มสนใจประเด็นทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับซับซ้อน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สื่ออาจจะถูกปิดตา แต่เราก็มีช่องทางในการเลือกรับข้อมูล โลกเรามีเทคโนโลยีขนาดนี้ เราจะปิดตาใครได้

ตอนนี้ ก็คือ เหมือนกับเรากลับไป ยุค รสช อีกแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาว่า ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์คนนี้ที่เพิ่ง format ให้เราเสร็จไปเมื่อกลางดึกที่ผ่านมานี้ จะไม่เอา spyware ใส่เครื่อง หรือว่า ยึด computer ของเราไป แล้วให้เราใช้ได้เฉพาะเวลาที่เขาอนุญาติเท่านั้น …. ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องของเราแท้ๆ

หวังว่า เขาคงจะเป็นคนดี ที่เข้ามาช่วยเราดูแลอย่างจริงใจ และสอนให้เรารู้จักปรับพฤติกรรมตัวเอง และให้เราใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี จะได้ไม่ต้อง format กันอีก

และแน่นอนว่า ตัวเราเองก็ไม่ควรจะหยุด การปรับพฤติกรรมเพื่อใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้อง ไม่กลับไปใช้แบบไม่ยั้งคิดอีก

อยากฟังความเห็นของ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ท่านอื่นบ้างครับ

No comments: